หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 218
ตอนนั้นที่เยี่ยเทียนออกไปท่องยุทธภพกับนักพรตเฒ่า เขาเห็นเด็กเร่ร่อนพเนจรถูกคนบังคับให้ออกไปคอยขอเงินจากคนอื่นก็ไม่น้อย สภาพน่าสงสารมาก แต่เมื่อเทียบกับเด็กทารกที่อยู่ในเปลแล้ว เด็กเหล่านั้นกลับมีความสุขมากกว่า
ถึงแม้เด็กทารกที่อยู่ตรงหน้านี้จะยังพูดไม่ได้ กระทั่งยังไม่รู้ประสีประสากับโลกใบนี้ แต่ความเจ็บปวดและความหวาด กลัวที่เผยออกมาจากในดวงตาของเขา กลับปรากฏต่อหน้าเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน
“ผู้ใหญ่ก่อกรรมชั่ว แต่ให้เด็กต้องมารับความทุกข์ทรมาน ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ก็จะไม่เหลือรถคันนั้นให้เขาด้วย!” เมื่อมองดูสภาพของเด็กทารกที่อยู่ในเปลแล้ว เยี่ยเทียนจึงสบถด่าออกมาไม่หยุด และยิ่งรู้สึกเกลียดการกระทำของตู้เฉียงมากขึ้น
“เป่าเป่า เด็กดี ไม่ร้องไห้นะ!”
เยี่ยเทียนไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก แต่จะว่าไปก็แปลก ตอนที่เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าเปล ร่างกายของเด็กทารกที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่ในเปล จู่ๆ ก็หยุดร้องไห้ทันที
“เวลาที่ตู้เฉียงอยู่ใกล้เว่ยหรงหรงจะรู้สึกสงบใจ ส่วนฉันเข้าใกล้เด็กทารก เขาก็จะยิ้มและหยุดร้องไห้ หรือว่า?”
การเปลี่ยนแปลงของเด็กทารก ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึง พลางพลิกมือขวา จากนั้นเหรียญจึงปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเขา เยี่ยเทียนคีบเหรียญด้วยสองนิ้ว แล้วส่ายไปมาต่อหน้าของเด็กคนนี้
“เกอเกอ…เกอเกอ!” เดิมทีเด็กทารกที่ร้องไห้เสียงแหบแห้ง จู่ๆ กลับเผยรอยยิ้มบนใบหน้า และสองมือเล็กที่ถูกยึดไว้บนเปลก็พยายามดิ้น เพื่ออยากจับเหรียญที่อยู่ในมือของเขาเยี่ยเทียน
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เครื่องรางของขลังมีผลต่อเวทย์มนต์ดำ!”
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าแห่งความเข้าใจได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเยี่ยเทียน เขารู้แล้วว่าเว่ยหงจวินได้ซื้อของขลังชิ้นนั้นไปจากมือของตัวเองแล้วมอบให้กับเว่ยหรงหรง และเหตุผลที่ทำให้ตู้เฉียงมีความรู้สึกแบบนั้น ก็มีต้นเหตุมาจากสิ่งนี้
“วิชาแบบนี้ดูจะแปลกประหลาดไปหน่อยไหม?”
เยี่ยเทียนปล่อยพลังชี่ดั้งเดิมภายในร่างกายออกมา และภายในห้องทั้งหมดได้อยู่ในบริเวณการรับรู้ของเขาอย่างฉับ พลัน ไม่ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม ก็ไม่อาจเล็ดรอดความรู้สึกของเยี่ยเทียนไปได้ และการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเด็กที่อยู่ในเปล ก็ถูกสังเกตออกจากความรู้สึกอันเฉียบไวของเยี่ยเทียน
ภายในร่างกายของเด็กทารก มีกลิ่นอายของพลังชี่พิฆาตแฝงอยู่ แต่ไม่เหมือนกับพลังชี่พิฆาตที่เยี่ยเทียนคุ้นเคย และกลิ่นอายของพลังชี่พิฆาตนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวที่ยากจะสังเกตได้
การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับมีจิตวิญญาณอยู่ด้วย หลังจากเยี่ยเทียนปล่อยพลังชี่ดั้งเดิมออกไป มันก็หยุดเคลื่อนไหวทุกอย่างทันที จากนั้นมันก็นำพลังชี่พิฆาตทั้งหมดเข้าไปสิงอยู่ในเส้นลมปราณของเด็กทารก ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนมีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อพลังชี่พิฆาตเป็นพิเศษ มันก็คงจะหลบซ่อนโดยที่เขาไม่รู้ตัวจริงๆ
เยี่ยเทียนเคยเห็นหลุมศพจำนวนมากและยังเคยสัมผัสดินแดนที่มีพลังหยินสุดพิฆาตมาก่อน แต่พลังชี่พิฆาตที่เหมือนมีความคิดแบบนี้ เยี่ยเทียนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ เขาเอามือคลึงตรงกลางระหว่างคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด เขาพยายามดึงข้อมูลที่สืบทอดจำนวนมหาศาลที่อยู่ในหัวออกมา เพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
“เป็นพลังของคำสาปจริงๆ ด้วย และวิชาพวกนี้ก็มีอยู่จริง!” หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เยี่ยเทียนจึงเผยสีหน้าแห่งความหวาดกลัวออกมา
สิ่งที่เรียกว่าคำสาป ก็คือการใช้คำพูดที่ชั่วร้ายโจมตีคนอื่น แท้จริงแล้วในชีวิตของคนเราก็ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยคำสาปต่างๆ มากมาย เพียงแต่คนปกติทั่วไปไม่สามารถสัมผัสได้เท่านั้นเอง คุณจึงไม่รู้ว่าพวกมันมีตัวตนอยู่จริง
ก็เหมือนกับข้างกายของพวกเราถึงแม้จะมีสายไฟอยู่ทุกที่ แต่ถ้าพวกเราไม่ไปตัดมัน เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บ ขอเพียงไม่ไปโดนแผ่นเหล็กที่อยู่ตรงเบ้าเสียบของมัน ก็เหมือนกับการเปิดไฟทุกวัน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไฟดูด
แต่ในวิชาของพ่อมดและแม่มดกลับมีวิชาพวกนี้ สามารถทำให้คนเกิดโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าผ่านคำสาปได้ กระทั่งมีอันตรายถึงชีวิต ทว่าวิชาที่อยู่ขั้นสูงมากกว่านี้ได้หายสาบสูญไปแล้ว แต่สิ่งที่พบบ่อยที่สุดกลับได้รับการสืบทอดต่อมา
เหมือนกับพิธีกรรมต๋าเสี่ยวเหริน (ตีคนตัวเล็ก ซึ่งหมายถึงคนเลวหรือสิ่งชั่วร้ายก็ได้)ในโลกมนุษย์ วันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนกุมภาพันธ์ ตามปฏิทินจันทรคติจีน เดิมทีจะทำกันในวันจิงเจ๋อ (วันที่แมลงตื่นจากการจำศีล) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันเสือขาวเปิดปาก ซึ่งถือเป็นวันต๋าเสี่ยวเหรินตามประเพณีนิยม
สิ่งของที่ต้องเตรียมในการทำพิธีกรรมต๋าเสี่ยวเหรินก็มีเสื้อผ้ากระดาษ รวมทั้งกระดาษรูปคนชายหญิง กระดาษรูปเสือขาวหนึ่งตัว เงินทอง ธูปเทียนกับของเซ่นไหว้ โดยของเซ่นไว้จะรวมถึงเนื้อหมู (เอาไว้เซ่นเสือขาว) ถั่วลิสง ผลไม้สด เหล้ากับน้ำ ไข่ไก่และถั่วห้าสีเป็นต้น
หลังจากเตรียมสิ่งของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ก็นำพวกมันไปวางไว้ข้างทาง โดยจุดธูปเทียนก่อน แล้วนำกระดาษเสื้อผ้าของชายหญิงออกมา แล้วตัดให้เป็นรูปร่างลักษณะของคนที่เราต้องการ ถ้าพิถีพิถันมากหน่อย ก็สามารถตัดแปะดวงตา จมูกปากและลิ้นได้ด้วย เป็นต้น
จากนั้นเขียนชื่อหรือวันเดือนปีเกิดบนกระดาษ (เสี่ยวเหริน) ตามด้วยการถอดรองเท้า โดยใช้ส้นรองเท้าตีกระดาษให้หนำใจ นอกจากนี้ยังสามารถนำกรรไกรไปวางไว้บนปากและลิ้นของกระดาษ หมายถึงตัดลิ้นออกไป ทำให้มันไม่สามารถนินทาใครได้อีก
และยังสามารถนำกรรไกรวางไปที่ท้องของกระดาษ เพื่อเป็นตัวแทนการชำแหละท้อง ควักหัวใจที่ชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็ตามด้วยโซ่กระดาษ มัดขาของกระดาษเอาไว้ ไม่ให้เขาวิ่งไปไหน มั่วซั่ว
การกระทำต๋าเสี่ยวเหรินแบบนี้ ความจริงแล้วเป็นวิธีของพ่อมดแม่มดอย่างหนึ่ง เพียงแต่การทำพิธีต๋าเสี่ยวเหรินแบบนี้จำเป็นต้องใช้คำสาปในการสื่อสารกับพลังชีวิตแห่งฟ้าดิน เพื่อประกอบในการแสดงพิธีกรรม
แต่คำสาปเหล่านี้หายสาบสูญไปแล้ว ตอนนี้ผู้คนใช้วิธีนี้เพื่อระบายความไม่พอใจในใจมากกว่า แต่กลับไม่สามารถใช้วิชาทำร้ายใครได้
แต่วิชาพ่อมดแม่มดแบบนี้ที่บันทึกอยู่ในหัวของเยี่ยเทียน กลับให้ใช้หัวงูพิษสี่หัว แมงป่องสามตัว ตำขาบดำหนึ่งตัว จิ้งจกหนึ่งตัว การบูรหนึ่งร้อยกรัม ใส่เข้าไปในเหล้าแล้วปิดผนึกไว้สามเดือน
หลังจากครบสามเดือนแล้ว นำเหล้ามากรองเอาสิ่งสกปรกออก แล้วจึงจะได้น้ำยา จากนั้นนำกระดาษจดหมายวางลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์ ใช้พู่กันจุ่มลงไปในน้ำยาแล้วจึงเขียนคำสาปลงไปข้างบนรวมทั้งชื่อและวันเดือนปีเกิดของคนที่ถูกสาปแช่งด้วย
หลังจากรอให้น้ำยาแห้งแล้ว จึงพับกระดาษใส่ไปที่มือหรือในห้องของคนที่เราอยากจะแช่ง คนที่สัมผัสจะไม่มีความรู้สึกใดในตอนแรก แต่หลังจากนั้นจะค่อยๆ รู้สึกคันและเริ่มมีแผลเน่าเปื่อย แล้วลามไปทั่วทั้งตัวในไม่ช้า ยากที่จะรักษาได้
ถึงแม้วิธีการทำจะไม่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้วิชานี้ กลับมีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเด็กทารกที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก เพียงแต่คนหนึ่งใช้สิ่งของ กับอีกคนหนึ่งใช้คำสาปแช่ง
เมื่อสำรวจอย่างละเอียดก็รู้สึกถึงพลังคำสาปภายในตัวของเด็กทารกอีกครั้ง จากนั้นเยี่ยเทียนจึงพูดอย่างทอดถอนใจ
“ไม่คิดว่าฝั่งยุโรปจะมีคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย สงสัยจะดูถูกคนทั้งโลกนี้ไม่ได้จริงๆ…”
เพียงแค่ใช้คำสาปอย่างเดียวก็สามารถสาปแช่งให้คนมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่สามารถทำได้ เพราะวิชาของเขาจะใช้กระแสพลังของหยินหยางเป็นตัวนำในการดำเนินโชคชะตาของคนอื่นเสียส่วนใหญ่ เขาจึงไม่ค่อยชำนาญเรื่องเกี่ยวกับวิชาของพ่อมดแม่มดแบบนี้สักเท่าไร
แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า คำสาปที่ตู้เฉียงได้รับ เป็นคำสาปที่ชั่วร้ายอย่างหนึ่งในทวีปยุโรป และคนที่ทำพิธีกรรมจะต้องใช้เลือดของตัวเองเป็นตัวชักนำ หลังจากคำสาปถูกส่งออกไปแล้ว จึงทำให้คนที่ทำพิธีกรรมต้องเสียชีวิต
ซึ่งก็เหมือนกับการถ่ายทอดที่เยี่ยเทียนได้รับเช่นกัน และวิชาพ่อมดแม่มดแบบนี้จะแพร่หลายอยู่ในครอบครัวโบราณสองสามครอบครัวในยุโรป ซึ่งถือว่าตู้เฉียงซวยมาก ที่ไปหาเรื่องครอบครัวของผู้หญิงที่กำลังตกต่ำ จึงทำให้ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้
ถึงแม้จะพอเข้าใจกระบวนการในการทำวิชาเหล่านี้แล้ว แต่ถ้าเยี่ยเทียนอยากจะทำลายพลังคำสาปของพลังชี่พิฆาตที่สิงอยู่นี้ ก็ยังพอมีวิธีอยู่บ้าง และสิ่งที่เรียกว่าพลังคำสาป ความจริงแล้วก็คือพลังแห่งความมุ่งมั่น ซึ่งก็คือพลังจิตนั่นเอง
ต้องเข้าใจก่อนว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ประกอบด้วยกันสองส่วน อย่างแรกคือร่างกาย และอีกอย่างก็คือจิตวิญญาณ ซึ่งก็หมายถึงจิต และพลังของจิตก็มีความยิ่งใหญ่มาก
หากคนที่ใช้ประโยชน์เป็น ก็จะสามารถใช้พลังของจิตในการสาปแช่งผู้อื่นได้ และการสาปแช่งแบบนี้ยังรวมเข้ากับจิตของคนที่ทำพิธีกรรมอีกด้วย และผลลัพธ์ที่ได้จากการสาปแช่งก็เหมือนกับความรู้สึกที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้จากพลังชี่พิฆาตภายในร่างของเด็กทารกที่เหมือนกับมีจิตวิญญาณก็ไม่ปาน
การแก้คำสาป จะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะว่ายากก็ยาก และเหมือนมันจะท่องง่าย เพียงแค่ท่องบทสวดไคจิงเสวียนมันตรา ก็สามารถแก้พลังของคำสาปได้แล้ว
แต่ความยากอยู่ที่ คนที่ท่องบทสวดมนต์นี้ จะต้องสื่อสารกับพลังชีวิตแห่งฟ้าดินได้ ผ่านการสั่นสะเทือนของพลังชี่ดั้ง เดิมนำบทสวดผ่านเข้าไปภายในร่างกายของคนที่ถูกคำสาป แล้วจึงจะสามารถคลายพลังแห่งความชั่วร้ายของคำสาปนั่นได้
“เห็นแก่เด็กคนนี้หรอกนะ ถึงยอมช่วยตาแก่นั่น…”
เมื่อเห็นเด็กทารกที่อยู่ในเปลกำลังยิ้มให้ตัวเอง เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า ถ้าหากตู้เฉียงมีปุ่มเต็มตัวนอนอยู่ตรงนี้ เยี่ยเทียนจะไม่ช่วยรักษาให้เขาเด็ดขาด
“หยุนจ้วนไท่ซวี เฮ่าเจี๋ยจือชู จ้าเสียจ้าเอ่อร์ ฮั่วเฉินฮั่วฝู เฉินเออเหนิงจื้อฉวน เฉินเหลาหนี้เข่อฝู โยวหมิงเจียงโหย่วไล่ โหยวชื่อเชิงเซียนตู…”
หลังจากลุกขึ้นปิดหน้าต่างในห้องทุกบานหมดแล้ว เยี่ยเทียนจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้นข้างเปล สองมือจับข้อนิ้ว และปากก็เริ่มท่องบทสวดบทสวดไคจิงเสวียนหยุนมันตราขึ้นมา
วิธีการจับข้อมือสวดมนต์ของเยี่ยเทียนต่างจากนักบวชลัทธิเต๋าทั่วไป เมื่อเขาท่องบทสวดนี้ออกไป ผ้าม่านในห้องก็สะบัดขึ้นโดยไม่มีลม การเคลื่อนไหวของพลังชี่ดั้งเดิมที่มองไม่เห็น ได้สั่นสะเทือนขึ้นภายในห้อง
เสียงท่องมนต์ที่เบาและทุ้มต่ำของเยี่ยเทียน เหมือนถูกขยายเสียงด้วยลำโพงขนาดใหญ่ ทะลุผ่านออกไปถึงประตูที่อยู่แต่ไกล และเสียงของเขาเหมือนเต็มไปด้วยพลังแห่งเวทย์มนต์ เพราะทุกที่ที่ผ่านไป แม้แต่อากาศก็เหมือนจะแข็งตัวไปหมด
“ฮือ..เสียงอะไร?”
คนอื่นๆ ที่กำลังฟังตู้เฉียงพูดอยู่ ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาจากชั้นสอง ทำให้ทุกคนลืมสิ่งที่อยากจะพูดในทันที และพยายามฟังอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปร่วมยี่สิบนาทีกว่า เสียงสวดมนต์ที่ดังมาจากชั้นสองก็ค่อยๆ หยุดลง จากนั้นตู้เฉียงและคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนหัวใจได้ถูกชะล้างจนสะอาด และความคิดอันชั่วร้ายที่มีอยู่แต่ก่อนได้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว
ถ้าจะพูดว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ก็ต้องเป็นตู้เฉียงอยู่แล้ว เพราะตอนที่บทสวดมนต์เพิ่งจะหยุดลง เขาก็รู้สึกได้ว่า แรงกดดันที่พันธนาการเขาตลอดสองสามปีที่ผ่านมาได้หายไปหมดเกลี้ยง ทำให้สภาพของเขาทั้งตัวดีมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากผ่านไปอีกสองสามนาที ประตูห้องเด็กทารกที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก และเยี่ยเทียนที่เดินออกมาจากภายในห้อง ก็มาพร้อมกับเหงื่อละเอียดที่ปกคลุมขึ้นมาอีกชั้นบนหน้าผาก
เยี่ยเทียนไม่เคยสวดมนต์ผ่านการใช้พลังชี่ดั้งเดิมมาก่อน เขาไม่คิดว่าวิธีแบบนี้จะเสียพลังชี่ดั้งเดิมเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะการเดินทางไปภูเขาน้ำแข็งครั้งนี้ทำให้โรคที่ไม่อาจเปิดเผยได้หายดีแล้ว เยี่ยเทียนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจคำสาปของวิชานี้ได้อย่างชัดเจนและง่ายดายไหม
“คุณ…คุณเยี่ย เมื่อ…เมื่อครู่คือ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินลงมา ตู้เฉียงจึงรีบเดินไปต้อนรับ
“คุณกับคำสาปบนตัวของลูกชายคุณถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว จำไว้ ต่อไปต้องทำความดีสร้างบุญกุศลให้มากๆ ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าไปหาเรื่องผู้หญิงต่างชาติพวกนั้น!”
ตู้เฉียงได้ยินคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยเทียนแล้วจึงพยักหน้าไม่หยุด แต่เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดคำหยาบกะทันหัน ตู้เฉียงจึงฝืนยิ้มออกมาทันที พลางคิดว่าต่อให้เยี่ยเทียนไม่พูด ทั้งชีวิตนี้ของเขาก็จะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงต่างชาติอีกแล้ว