หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 219
เยี่ยเทียนคิดสักครู่แล้วพูดต่อว่า “เด็กไม่ได้เป็นอะไรมาก เขายังเล็กนัก คุณพาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตุ่มน้ำพวกนั้นแตกหมดแล้วเนื้อก็จะขึ้นมาเอง น่าจะไม่ถึงกับเสียโฉมหรอก…”
“ขอบคุณ ขอบคุณคุณเยี่ยมากที่ช่วยชีวิต!”
เห็นเม็ดเหงื่อที่หน้าผากของเยี่ยเทียน ตู้เฉียงรีบรินน้ำชาและยกไปให้เยี่ยเทียน กล่าวต่ออย่างระมัดระวังว่า “คุณเยี่ย เชิญดื่มชา!”
แม้จะไม่ทราบว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่ความไม่สบายตัวที่ตู้เฉียงเคยรู้สึกกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ปัญหาที่รบกวนเขามาตลอดหลายปี ตอนนี้มลายหายไปหมด ทำให้ตู้เฉียงเต็มเปี่ยมไปด้วยซาบซึ้งในตัวเยี่ยเทียน
นอกจากตู้เฉียงแล้ว พวกจี่หรานก็มองเยี่ยเทียนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป กลับยิ่งซับซ้อนขึ้นมาแล้ว
นอกจากความเคารพในตัวเยี่ยเทียน พวกจี่หรานยังรู้สึกหวาดเกรงด้วย เพราะเมื่อครู่พวกเขาได้ยินตู้เฉียงพูดว่า เยี่ยเทียนสามารถปราบผีร้ายจากยุโรปได้ด้วย เป็นการบ่งบอกว่า เยี่ยเทียนเป็นคนเยี่ยมยุทธคนหนึ่ง
นึกไปถึงหลายปีก่อนเรื่องที่เหรินเจี้ยนโดนผีเข้าตอนนั้น พวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเยี่ยเทียนได้อย่างไร? โดย เฉพาะเหรินเจี้ยน นึกได้ว่าตอนนั้นนอนฝันร้ายทุกคืนใช้ชีวิตอย่างคนตายทั้งเป็น ก็ทนไม่ไหวจนเหงื่อซึมไหลไปตามไขสันหลังแล้ว
“ชาเอาวางไว้ตรงนั้นก่อน ตู้เฉียง เมื่อกี้ที่ผมบอก จำได้ไหม?” เยี่ยเทียนโบกมือ และไม่ได้สนใจพวกจี่หรานที่นั่งกร่างกันอยู่บนโซฟา
“ผมจำได้แล้วครับ คุณเยี่ย เรื่องนี้ถึงคุณไม่บอกผมก็ไม่กล้าทำอีกแล้ว พอถึงเวลาหาผู้หญิงสักคนหนึ่งมาใช้ชีวิตร่วมกันก็ดีแล้ว”
พูดจบด้วยความกลัวเยี่ยเทียนเข้าใจผิด จึงรีบแก้ต่างต่อ “คุณเยี่ยวางใจครับ ต่อไปผมจะไม่ไปรบกวนคุณหนูเว่ยอีกเป็นอันขาด”
“อืม จำได้ก็ดี….”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ยื่นนิ้วไปเคาะถ้วยชาสองสามทีพูดว่า “สามวัน ภายในสามวันเอาบ้านกับรถของคุณไปขายให้หมด ผมต้องการจะเห็นเช็คเงินสดกับใบเสร็จรับเงินจากมูลนิธิแห่งความหวัง
ตั้งแต่เยี่ยเทียนออกมาทำงาน ยังไม่เคยเจอใครที่อยากได้เงินจนไม่สนชีวิตมาก่อน แต่เขายังต้องตักเตือนตู้เฉียงอีกครั้ง หากฝ่ายตรงข้ามคิดตุกติก เยี่ยเทียนก็ไม่สนที่จะให้เขาได้ลิ้มรสชาติของวิชาอาคมของจีนอีกครั้ง
“สามวัน?” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดจบ ตู้เฉียงแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา
“หือ…ทำไม่ได้เหรอ?” เยี่ยเทียนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา เล่นกับไฟอีกแล้ว จะให้ดูอีกครั้งว่าผีจีนหน้าตาเป็นยังไง
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหน้าตึง ตู้เฉียงยิ้มแห้งแล้วอธิบายต่อ “คุณเยี่ย ไม่ใช่ว่าผมไม่ยินยอม บ้าน…บ้านหลังนี้พอขึ้นป้ายขาย ไม่ได้จะขายออกในไม่กี่วันนะ คือว่า…ผมจะขายก็ต้องมีคนมาซื้อถึงจะได้!”
“ต้องการเวลาเท่าไร?” เยี่ยเทียนเข้าใจเหตุผลนี้ เขาซื้อเรือนสี่ประสานของผู้เฒ่าอู๋ว่าเร็วแล้ว ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ
“ผมประกาศราคาถูกหน่อย ภายในหนึ่งเดือนน่าจะมีคนมาซื้อ”
ตู้เฉียงมองดูเยี่ยเทียนอย่างระมัดระวัง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ส่วนหุ้นผมจะขายพรุ่งนี้ คุณเยี่ย ไม่งั้น…พรุ่งนี้ผมโอนเงินหนึ่งล้านหยวนไปก่อน แล้วค่อยเอาเงินที่ขายหุ้นได้บริจาคไปได้ไหมครับ?”
ความจริงแล้วตู้เฉียงก็เป็นคนงั้นๆ แต่ความฉลาดไหวพริบนั้นเป็นที่หนึ่ง เขาไม่เคยคิดจะคืนคำ เงินทองถึงจะสำคัญแต่ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของตัวเอง
“เอาเถอะ พรุ่งนี้คุณไปหาผมที่นี่ ก่อนไปโทรศัพท์หาผมก่อน” เยี่ยเทียนหยักหน้า เห็นมีกระดาษกับปากกาวางอยู่บนชุดน้ำชา จึงหยิบมาเขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป
“พี่จี่ คุณชายเหริน ผมขอตัวก่อนล่ะ ตู้เฉียง ไม่ต้องส่ง ข้างนอกมีรถเยอะอยู่…”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นมา เดินไปถึงประตูแล้ว จู่ๆ ก็หันกลับมามองเจ้าอ้วนที่หน้าตาลอกแลก พูดด้วยว่า “พี่ซาง มีผู้หญิงเยอะระวังจะมีปัญหาตามมา ผมว่าคุณน่ะน้อยๆ หน่อยก็ดี…”
“ฉัน…ฉัน ฉันก็ไม่ได้ไปบังคับใครมาหนิ?” ซางปู้ฉี่ผู้ซึ่งอัดอั้นมานาน เมื่อถูกเยี่ยเทียนพูดเข้าก็สีหน้าเปลี่ยน กำลังจะอ้าปากอธิบาย เยี่ยเทียนก็ยิ้มแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไป
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ตู้เฉียง ทำไมถึงขายบ้าน?” เมื่อรอให้เยี่ยเทียนออกไปแล้ว พวกจี่หรานก็จดจ้องมาที่ตู้เฉียง
“พวกคุณคิดว่าวิชาไล่ผีสยบวิญญาณที่เยี่ยเทียนทำขึ้นน่ะเป็นการแสร้งทำเปล่าหรือ?”
ตู้เฉียงสีหน้าขมขื่น “ไม่แค่ต้องขายบ้านหลังนี้ เงินเก็บของผมที่เป็นหุ้น ทุกอย่างต้องขายแล้วเอาเงินไปบริจาคทั้งหมด ประธานซาง สิ่งที่คุณเยี่ยพูด ต่อไปเรื่องผู้หญิงน่ะให้เพลาลงบ้าง!”
เยี่ยเทียนเล่นไม้นี้ทำให้ตู้เฉียงจำไปจนวันตาย วันหน้าเขาจะต้องหาภรรยาดีๆ สักคนอยู่ด้วยกันไปตลอด ไม่กล้านอก ใจอีกแล้ว
“เขา เขาต้องการสมบัติพันล้านของคุณ?”
คำพูดของตู้เฉียงทำให้พวกจี่หรานได้แต่งุนงง พวกเขาไม่คิดว่าคำพูดลอยๆ ของเยี่ยเทียนจะทำให้ตู้เฉียงเสียบ้านสูญทรัพย์กลายเป็นคนจนได้?
พอคิดถึงสิ่งที่พวกเขาเคยล่วงเกินเยี่ยเทียนไว้ ต่างก็มองตากันไปมา แววตามีความหวาดกลัวแฝงอยู่ หากตอนนั้นเยี่ยเทียนเป็นเก่งกาจเช่นนี้ ตอนนี้สภาพพวกเขาก็คงไม่ต่างจากตู้เฉียงสักเท่าไร
“เงินหาใหม่ได้เรื่อยๆ แต่ชีวิตถ้าหายไปก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”
ตู้เฉียงปล่อยวางได้ หลังจากอธิบายให้คนเหล่านี้ฟังแล้ว จึงพูดต่อ “เหล่าจี่ นายน้อยเหริน ประธานซาง วันนี้ไม่ขอให้พวกคุณอยู่ต่อละ ผมยังต้องพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาล”
“ดี ดี เหล่าตู้ พวกเราขอตัวลาก่อน คุณมีเรื่องอะไรให้พวกเราช่วยก็บอกมาได้เลย ผมมีบ้านอยู่ทางตะวันออกของเมือง คุณย้ายไปอยู่ที่นั่นได้นะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของตู้เฉียง ทุกคนต่างยืนขึ้น เดินออกไปถึงประตู จี่หราน จู่ๆ ก็หันกลับมาพูดด้วยว่า “เหล่าตู้ พรุ่งคุณไปหาเยี่ยเทียนพาผมไปด้วยสิ?”
“หา? คุณจะไปเหรอ? ได้สิ ถึงเวลาแล้วผมจะโทรบอกคุณก่อน…” ตู้เฉียงคิดว่าเยี่ยเทียนกับจี่หรานเป็นเพื่อนกันมาก่อน จึงรับปากเขาทันที
“เหล่าจี่ แกไปหาคนนั้นทำไม?”
หลังจากออกจากคฟหาสน์แล้วขึ้นรถ ซางปู้ฉี่จึงถามออกมา นึกถึงประโยคที่เยี่ยเทียนพูดก่อนจากไป จึงทำให้เขาเหงื่อซึมศีรษะเลยทีเดียว และกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเตรียมสลัดดาราสาวที่คบอยู่ตอนนี้ทิ้งไป
จี่หรานมองเหรินเจี้ยนที่ขับรถอยู่ แล้วพูดว่า “เหล่าซาง แกไม่รู้สึกหรือว่าคนอย่างเยี่ยเทียนคุ้มค่ามากที่พวกเราจะคบหาด้วย?”
จี่หรานกับเยี่ยเทียนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เขาจึงมีความคิดนี้ขึ้นมา เพียงแต่วันนี้เยี่ยเทียนจากไปอย่างรีบร้อน คุณชายจี่ยังไม่ทันแสดงออกถึงความต้องการของตัวเองเลย
ต้องทราบว่า ในทางสีขาวเยี่ยเทียนมีตระกูลซ่งหนุนหลัง ส่วนในทางสีดำแม้แต่หม่าเหล่าซานยังไม่กล้าหือด้วย แล้วตัวเขาก็ยังมีวิชาลึกลับอยู่ด้วย การที่ได้คบหากับคนแบบนี้ ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะต้องให้เยี่ยเทียนช่วยเหลือตัวเองในบางเรื่อง
เมื่อจี่หรานพูดจบ ก็รู้สึกว่าจู่ๆ รถเบนซ์ได้ส่ายอย่างรุนแรง เพราะว่าเหรินเจี้ยนที่ขับรถอยู่เกิดมือสั่นขึ้นมา ล้อเล้นอะไรกัน แค่เขาได้ยินชื่อเยี่ยเทียนก็รู้สึกกลัวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปคบหาด้วยเลย
“เหล่าจี่ ช่างมันเถอะ ถ้าจะไปแกไปเอง ฉันกลัวเจ้านั่น สายตาอย่างกับมองทะลุเข้าไปถึงจิตถึงใจ อยู่ต่อหน้าเขาแล้วฉันไม่เป็นตัวเองของตัวเอง…”
ประธานซางกับเหรินเจี้ยนคิดเหมือนกัน โตมาขนาดนี้ เขาถูกต่อยครั้งแรกก็เพราะเยี่ยเทียน ดังนั้นเถ้าแก่ซางขอไปดูละครเบื่อๆ บนสะพานลอย ดีกว่าไปเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน
……
วันรุ่งขึ้นเมื่อตลาดหุ้นเปิด ตู้เฉียงได้นำเอาหุ้นมูลค่าหลายล้านขายทอดตลาดไป จากนั้นโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเข้าไปในบัตร แต่เมื่อเงินเข้าธนาคารไปแล้ว ต้องรอจนการโอนเสร็จในวันนั้นถึงเรียบร้อย
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะให้เวลาแค่สามวัน แต่ตู้เฉียงก็ไม่ได้รอช้าแม้แต่นิดเดียว เมื่อเบิกเงินออกมาแล้ว ก็ขับรถไปที่สำนักงานของมูลนิธิแห่งความหวังแห่งหนึ่ง เตรียมเช็คบริจาคไปสี่ล้านหยวน และเอาใบเสร็จกลับมา
ตอนที่รอติดต่อจี่หรานได้แล้วถึงรีบไปที่บ้านของเยี่ยเทียนก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่าแล้ว ถึงการมาตอนใกล้เวลาอาหารจะผิดมารยาท แต่ตู้เฉียงก็ไม่สนใจ
“พี่จี่ก็มาด้วยเหรอ เชิญด้านใน…”
ตอนที่เดินออกมารับตู้เฉียงนอกเรือนสี่ประสานนั้น เยี่ยเทียนตะลึงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจี่หรานจะตามมาด้วยทำไม? ถึงจะเคยพบกันสองสามครั้ง แต่ตัวเองกับเขากลับก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกัน?
บ้านของเยี่ยต้อนรับแขกในห้องด้านหน้า ที่เยี่ยตงผิงตกแต่งขึ้นในตอนนั้น
เยี่ยตงผิงทำธุรกิจค้าวัตถุโบราณ จึงนำเอาวัตถุโบราณทั้งหมดมาตั้งวางไว้ในห้องรับแขกที่ตกแต่งมาเพื่อการณ์นี้ ไม่ใช่แค่วัตถุโบราณพวกโถ ไห แจกันที่วางเรียงราย แม้แต่เก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ยังเป็นลายดอกลูกแพรสีเหลืองของแท้
“คุณเยี่ย นี่เงินหนึ่งล้าน นี่เป็นหลักฐานการบริจาคเงินสี่ล้านให้กับมูลนิธิแห่งความหวัง ผมใช้ชื่อของคุณเป็นผู้บริจาค!”
หลังจากเข้ามานั่งในห้องแล้ว ตู้เฉียงควักเอาเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งล้านกับใบเสร็จบริจาค เมื่อคืนหลังจากได้นอนหลับสบายที่สุดในรอบหลายปี ตู้เฉียงกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่พอใจแล้วสาปแช่งเขากลับไป อย่างนั้นเขาคงไม่เหลือทางรอดแล้ว
“อืม เรื่องขายบ้านรออีกสักเดือนสองเดือนก็ได้ รอให้คุณหาที่อยู่ใหม่ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
เยี่ยเทียนมองดูเช็คเงินสดตรงหน้า พยักหน้าให้ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยินยอม เขาจึงไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าตู้เฉียงจะใช้ชื่อของตัวเองเป็นผู้บริจาคเงิน
ตอนที่ยังท่องยุทธภพอยู่นั้น นักพรตเฒ่ามักจะเตือนเยี่ยเทียนเสมอ ว่าให้ทำบุญสร้างกุศล จะมีประโยชน์กับการบำเพ็ญฝึกวิชา แต่เมื่อก่อนเขาเองก็ยากจนมาก จะไปเอาเงินจากไหนมาทำบุญ?
ตอนนี้ตู้เฉียงได้ช่วยเขาบริจาคเงินจำนวนมหาศาล เยี่ยเทียนคิดอยากจะรีบกลับเข้าห้องไปนั่งสมาธิ ดูว่าเมื่อได้ทำบุญแล้ว จะช่วยเรื่องการฝึกวิชาจริงหรือไม่?
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะเอ่ยปากส่งแขก จี่หรานก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเยี่ย ไม่คิดว่าคุณจะชอบของโบราณด้วย?”
“อืม แค่เล่นๆ น่ะ ทำไมหรือ พี่จี่ก็ชอบของแบบนี้เหมือนกันหรือครับ?” เยี่ยเทียนตอบรับไปส่งเดช ขี้เกียจอธิบายว่านี่เป็นของสะสมของพ่อ