หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 223
“แกจะไปเข้าใจอะไร หลายปีมานี้ของโบราณในประเทศจีนได้รับความนิยมมากในตลาดศิลปะของต่างประเทศ ไม่ช้าก็เร็วภายในประเทศก็จะถูกกระตุ้นอยู่แล้ว คิดจะทำธุรกิจใหญ่เรอะ? ฉันว่าแกน่ะแค่ปากดีมากกว่า!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะพูดเสียงดังไม่มาก แต่เยี่ยตงผิงก็ได้ยิน พลันถลึงตามองเขาทันที เมื่อปีก่อนได้มีการคำนวณยอดการซื้อขายของบริษัทประมูลแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้มียอดถึง 7.8 ล้าน แบบนี้ก็ถือว่าเป็นธุรกิจใหญ่แล้ว
“โอเค พ่อพูดถูก พ่อครับ รีบไปดูของเถอะ ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวของดีจะถูกคนอื่นเลือกไป!” เยี่ยเทียนยิ้มโดยไม่เถียง เพราะในใจของเขา เรื่องฮวงจุ้ยยังทำเงินได้มากกว่าการค้าขายของโบราณเสียอีก
“ก็จริง ฉันจะมาเถียงกับแกทำไม อ้อใช่ อีกเดี๋ยวอย่าพูดอะไรมั่วซั่วนะ จะได้ไม่ผิดใจกับใครเขา”
เยี่ยตงผิงพยักหน้า พูดกับเยี่ยเทียนสองสามประโยค การซื้อขายของโบราณในสถานที่แบบนี้ หนึ่งห้ามถามถึงที่มา สองห้ามทำตัวสนิทสนมเพื่อล้วงข้อมูล ชอบชองชิ้นไหนก็คุยเรื่องราคาได้เลย ทางที่ดีไม่ต้องพูดอะไรมากถึงจะดีที่สุด
“ครับ ผมรู้แล้ว พ่อ พวกเราแยกกันดูนะ” เยี่ยเทียนโบกมืออย่างรำคาญ แล้วจึงขอแยกกับพ่อไปเลย เพื่อไม่อยากฟังเขาพร่ำบ่น
“ไอ้ลูกคนนี้!” เยี่ยตงผิงไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกชายดี แต่เขารู้ว่าเยี่ยเทียนรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี จึงไม่กังวลว่าลูกชายจะก่อเรื่องอะไร
“แม้ว่าธุรกิจค้าขายของโบราณจะเริ่มดีขึ้น เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่นี่ทำให้เกิดกระแส” เยี่ยเทียนมองดูคนที่นั่งยองๆ มองดูของที่อยู่บนพื้น ในใจก็เข้าใจทันที
แต่นี่ก็เป็นการแสดงว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราเริ่มดีขึ้น ถึงได้คิดอยากสะสมของโบราณ หากเป็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ยังไม่มีข้าวจะกิน คุณส่งให้คนฟรีๆ เกรงว่าคนอื่นยังจะไม่ชอบของพวกนี้เพราะมันกินพื้นที่
เยี่ยเทียนพลางส่ายหน้า เพื่อสะบัดความคิดแปลกประหลาดออกไปจากหัว เขาเดินเล่นอยู่ในนี้ไปเรื่อยๆ พูดตามจริงวันนี้เขามาเป็นเพื่อนพ่อเท่านั้น ไม่ได้คิดจะหาของดีอะไรจากที่นี่หรอก
และแล้วพอเดินดูไปได้เจ็ดแปดร้าน เยี่ยเทียนก็ไม่เจอของดีอะไรเลย แน่นอนว่าก็เป็นแค่การพูดไปเท่านั้น เพราะของเหล่านี้ในสายตาของคนอื่น อาจจะเป็นของล้ำค่าที่มีค่าสูงมาก
คนที่ทำธุรกิจที่นี่ จัดวางของไม่เหมือนกับที่พานเจียหยวน โยนของไว้บนพื้น แล้วคุณก็ดูเอาเองว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ พวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายเรียกลูกค้าก่อน ถึงอย่างไรก็เป็นของเก่าคร่ำครึ หากคุณไม่ซื้อเดี๋ยวก็มีคนอื่นมาซื้อเอง
ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังดูโคมไฟหงส์แดง ความสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร หงส์แดงยืดอกเชิดหน้ายกหางขึ้น ขาเหยียบผ่านหลังมังกรที่ไม่มีทางขึ้นสู่สวรรค์ที่ขดตัวบิดเกลียวไปมา ปากคาบถาดไฟ กางปีกเหมือนกำลังจะบิน ถาดไฟนั้นมีลักษณะเป็นวงแหวนแล้วมีร่องเว้าตรงกลาง ภายในแบ่งเป็นสามช่อง แต่ละอันจะเป็นเชิงเทียน
เยี่ยเทียนสังเกตว่าของชิ้นนี้ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของโคมไฟสำริดสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่ขุดพบจากในสุสานเหมือนที่เขาเข้าใจ และเพราะพลังพิฆาตรุนแรงที่แฝงอยู่ในโคมไฟสัมฤทธิ์ น่าจะอยู่ในสถานที่ที่มีกระแสพลังพิฆาตไหลเวียนและถูกสะสมมาเป็นเวลานาน
สำหรับคนที่รู้เรื่องฮวงจุ้ย จึงไม่มีใครที่จะไม่รู้เรื่องการฝังศพในโบราณ เพราะว่าในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นพวกกษัตริย์และขุนนางหรือครอบครัวที่ร่ำรวยก็ตาม ก่อนที่ฝังศพนั้น ต่างก็ต้องหามาคนดูชัยภูมิของฮวงจุ้ยอยู่แล้ว
และสุสานของจักรพรรดิ จะต้องหาอาจารย์ฮวงจุ้ยมาดูชัยภูมิก่อนที่จะเริ่มสร้างสุสาน แม้กระทั่งของที่จะนำไปฝังศพรวมทั้งตำแหน่งการวางโลงศพ ก็ต้องฟังคำแนะนำของอาจารย์ฮวงจุ้ยทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่ของชิ้นนี้ ก็รู้ว่ามันน่าจะวางไว้บนผนังของประตุสุสานที่อยู่รอบนอก ที่นั้นเป็นสถานที่ของ พลังชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นพลังหยิน จึงได้รับพลังพิฆาตเกาะกินได้ง่ายที่สุด
แต่เยี่ยเทียนแบ่งของสิ่งนี้ตามยุคสมัยไม่ถูก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างหลังแผงขาย “พี่ชาย ของชิ้นนี้มีอายุประมาณกี่ปีแล้วครับ”
ของที่วางอยู่บนแผงขายนั้นมีไม่มากเท่าไร นอกจากโคมไฟสำริดนี้แล้ว ยังมีกระจกสำริดสี่ห้าอันที่ถูกสนิมเกาะเกรอะกรังไม่เป็นรูปแล้ว หรือบางทีอาจจะมีสาเหตุจากของคุณภาพค่อนข้างแย่และค่อนข้างน้อย จึงมีแต่เยี่ยเทียนคนเดียวที่หยุดอยู่ตรงนี้
“ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก!” คนที่วางของขายนี้มีอายุมากกว่าเยี่ยเทียนสองสามปี แต่กลับสุขุมมาก หลังจากพูดคำว่าราชวงศ์ฮั่นตะวันตกอออกมาจากปากแล้ว ก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
“พี่ชาย ของชิ้นนี้พี่ขายราคาเท่าไรครับ?”
พอเยี่ยเทียนถามออกไป พ่อหนุ่มคนนั้นจึงเงยหน้ามองเขาหนึ่งที จากนั้นจึงใช้มือรวบรวมกระจกสำริดทั้งหมดมารวมกัน แล้วพูดว่า “ชิ้นเดียวไม่ขาย ต้องเหมา!”
“พูดเยอะกว่านี้หน่อยมันจะตายหรือไง?” เยี่ยเทียนคิดในใจ
เยียเทียนหัวเราะกับคำพูดและวิธีการพูดที่ออกมาจากปากของชายคนนี้ เพียงแต่เขาอยากซื้อของชิ้นนี้จริงๆ จึงใช้มือดีดกระจกสำริดที่อยู่ข้างล่างนิดหน่อย แล้วเยี่ยเทียนก็พูดว่า “เหมาก็ได้ เสนอราคามาเลย!”
“มา มาจับมือกัน!”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจก็คือ ชายหนุ่มคนนั้นยื่นมือขวามาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าที่มีอายุมากกว่าตัวเองไม่กี่ปี จะใช้วิธีแบบนี้?
ควรทราบว่า วิธีการจับมือต่อรองราคานั้น เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปในตอนที่มีการซื้อขายม้าวัวแกะของเขตทางด้านทิศเหนือของกำแพงเมืองจีนในปัจจุบันมานานแล้ว การสวมใส่เสื้อผ้าของคนในเขตด้านทิศเหนือของกำแพงเมืองจีนจะค่อนข้างหลวมใหญ่ ตอนที่ทำการซื้อขายจะเอามือไว้ในแขนเสื้อ โดยอาศัยสัญลักษณ์ของมือในการเจรจา
แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน วิธีการเจรจาต่อรองแบบนี้ จะมีอยู่ในวงการของพวกเล่นของโบราณเท่านั้น ควรทราบว่า เวลาทำการซื้อขายของโบราณ สิ่งที่เป็นข้อห้ามเลยก็คือห้ามมีบุคคลที่สามมาดูอยู่ข้างๆ
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขายในราคาห้าร้อยหยวน ถ้าหากมีคนข้างๆ พูดว่า “ของชิ้นนี้ไม่ถูกนะ” หรือ “มากสุดก็แค่หนึ่งร้อยหยวน” ผู้ซื้อไม่อยากซื้อแล้ว ส่วนผู้ขายก็จะโมโห
ถ้าหากคนนั้นพูดว่า “น้องชาย นายนี่ดวงดีจริงๆ จับพลาด ของชิ้นนี้สามารถขายได้หนึ่งหมื่นหยวน” แน่นอนว่าผู้ขายก็จะไม่ขายทันที แล้วผู้ซื้อก็จะโมโห
ดังนั้นในวงการซื้อขายของโบราณจึงมีกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง คือของที่อยู่ในมือของคนอื่นแล้ว คนข้างๆ ห้ามต่อรองราคาเด็ดขาด และพวกคนแก่ ก็ชอบใช้สัญลักษณ์ของมือในการต่อรองราคากันมาก เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นก่อความวุ่นวาย
แต่วิธีแบบนี้ ก็ทำให้คนที่อยู่ข้างๆ ไม่สามารถรู้ได้ว่าของชิ้นนี้ซื้อขายกันในราคาเท่าไร จึงเป็นผลดีต่อการซื้อขายในวันข้างหน้า
ตอนที่เยี่ยเทียนท่องยุทธภพกับนักพรตเฒ่านั้น เขาได้เรียนรู้วิธีการต่อรองราคาในลักษณะนี้ ถึงในใจจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังยื่นมือขวาออกไป
สองมือจับกัน คนนั้นกระดกนิ้วชี้ขึ้นมา เคาะไปที่มือของเยี่ยเทียน จากนั้นก็เงยหน้ามองเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย ยกนิ้วกลางของมือขวาขึ้นมา เคาะไปที่อีกฝ่ายสามที จากนั้นก็ใช้นิ้วโป้งแตะไปที่นิ้วโป้งของอีกฝ่าย ปิดปากไม่พูดเหมือนกัน พลางจ้องเขม็งไปที่คนนั้น
การใช้สัญลักษณ์มือในการต่อรองราคา ทุกนิ้วล้วนมีความหมาย นิ้วโป้งเท่ากับหนึ่งล้าน นิ้วชี้เท่ากับหนึ่งแสน นิ้วกลางเท่ากับหนึ่งหมื่น นิ้วนางเท่ากับหนึ่งพัน นิ้วก้อยเท่ากับหนึ่งร้อย
แน่นอนว่า ราคาที่แสดงของนิ้วกลางที่เป็นสัญลักษณ์มือของแต่ละพื้นที่นั้นไม่เหมือนกัน แต่ในวงการซื้อขายของโบราณ การใช้วิธีแบบนี้ในการซื้อขายสิ่งของค่อนข้างมีค่าสูง ดังนั้นหน่วยของราคาที่น้อยที่สุดโดยทั่วไปก็มีถึงหลักร้อย
เมื่อครู่คนนั้นที่กระดกนิ้วขวาขึ้น แล้วแตะไปที่มือของเยี่ยเทียน ก็คือราคาหนึ่งแสน แต่เยี่ยเทียนกลับใช้นิ้วกลางเคาะติดต่อกันสามที เพื่อต่อรองราคาเหลือสามหมื่น จากนั้นจึงใช้นิ้วโป้งแตะไปที่อีกฝ่าย หมายความว่านี่คือราคาสุดท้ายแล้ว จะไม่ต่อรองราคาอีกแล้ว
หลังจากการกระทำของเยี่ยเทียน คนคนนั้นก็ตะลึงไปพักหนึ่ง และมองไปที่เยียเทียนอย่างไม่พอใจ พลางพูด ”ราคานี้ต่ำเกินไปหรือเปล่า? นี่โคมไฟหงส์แดงคุณภาพและลักษณะดีมากนะ!”
เยี่ยเทียส่ายหน้าแล้วพูด “เครื่องทองสำริดขายไม่ค่อยดี ถ้าหากไม่อยู่ ต่างประเทศ เกรงว่าราคานี้ก็คงขายไม่ออก ผมให้ราคาที่ถือว่าสูงมากแล้ว!”
เยี่ยตงผิงทำธุรกิจซื้อขายของโบราณมาหลายปี ส่วนเยียเทียนก็ถือว่าไม่คุ้นเคยกับอาชีพนี้ เครื่องทองสำริดถือเป็นสิ่งของที่ห้ามซื้อขายประเทศ ถ้าจับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจับได้ก็ต้องถูกตัดสินลงโทษ ดังนั้นนักสะสมของพวกนี้ภายในประเทศจึงมีไม่มาก
เมื่อคนสะสมน้อย ราคาจึงสูงขึ้นไม่ได้ แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ราคาที่เขาเสนอไปนั้นเป็นราคาเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนี้ราคาเครื่องทองสำริดกลับสูงขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว ดังนั้นพี่ชายคนนั้นจึงเผยสีหน้าที่เดือดดาลออกมา
“เพิ่มอีกหน่อยได้ไหม?” คนคนนั้นพูดอย่างไม่ยอมแพ้
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่พูดอะไร ควรทราบว่า ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของขลังที่เยี่ยเทียนตามหา แต่เป็นอาวุธที่ใช้ทำร้ายที่มีพลังพิฆาตรุนแรงชิ้นหนึ่งเท่านั้น
อาวุธที่ใช้ทำร้ายนั้นบางครั้งก็สามารถทำให้พลังพิฆาตปะทะกัน ส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงต่อเขตฮวงจุ้ย แต่เยี่ยเทียนแค่อยากซื้อเอาไว้เป็นตัวสำรองเท่านั้น สำหรับสิ่งของที่ต้องการหรือไม่ต้องการนั้น อย่างไรก็กัดฟันสู้ราคาแค่นั้น
ตลาดทองสำริดกิจการไม่ค่อยดีก็จริงอยู่ รอมาครึ่งค่อนวันก็มีแต่เยียเทียนที่มาถามราคา หลังชายหนุ่มคนนั้นลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงพยักหน้าพลางพูด “โอเค งั้นก็ตกลงราคานี้!“
“ตกลง คุณรอผมแป๊บหนึ่ง ผมจะไปเอาเงิน” สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว การใช้เงินสามหมื่นหยวนซื้อของชิ้นนี้ ถือว่าไม่ขาดทุน บางครั้งอาวุธที่ใช้ทำร้ายในเขตของฮวงจุ้ยก็อาจจะมีผล กระทั่งยังแรงมากกว่าของขลังเสียอีก
เยี่ยเทียนก็ไม่กลัวว่าเขาจะมีลับลมคมในสับเปลี่ยนของ เพราะพลังพิฆาตนั่นก็เหมือนกับหลอดไฟขนาดใหญ่ในตอนกลางคืน ที่กระพริบแสงอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนตลอดเวลา ถ้าเปลี่ยนเป็นของอย่างอื่นเยี่ยเทียนก็จะรู้สึกได้ทันที
เยี่ยตงผิงที่กำลังต่อรองราคากับใครบางคนที่แผงขายอันหนึ่ง ถูกเยี่ยเทียนดึงออกมา เพราะเงินล้วนอยู่ในกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือของเยี่ยตง
ตอนที่กลับมาที่แผงขายนั้น ชายหนุ่มนั้นก็เอาของทั้งหมดใส่เข้าไปในกระสอบแล้ว เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงเอ่ยพูดว่า “ไปกันเถอะ ไปทำการซื้อขายกันตรงห้องนั้น นายเข้าใจกฎเกณฑ์อยู่ใช่ไหม?”
“กฎเกณฑ์อะไรครับ?”
พอเยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง เพราะตกลงราคาให้เงินแล้วก็รับของ แล้วยังจะมีกฎเกณฑ์อะไรอีก? ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจเหมือนกัน
“นายไม่รู้เหรอ?” เมื่อครู่ตอนที่เห็นเยี่ยเทียนเจรจาเรื่องราคาอย่างช่ำชอง พอมาตอนนี้กลับไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของการซื้อขาย ชายหนุ่มคนนั้นจึงอดเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เข้าใจ น้องชาย ไปกัน พวกเราไปกันเถอะ!”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าลูกชายซื้อของอะไร แต่เมื่อเห็นเยี่ยเทียนถามคำพูดของคนนอกวงการ เยี่ยตงผิงจึงรีบกู้สถานการณ์ แล้วอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังเบาๆ
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ก็จริงนะ ไอ้หนุ่มนั้นไม่ทำความดีฟรีๆ หรอก…” หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อแล้ว เยี่ยเทียนก็เข้าใจทันที
จี่หรานเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยและสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด เมื่อเสนอให้ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ทุกครั้งหลังจากที่ตกลงการซื้อขายเสร็จจี่หรานก็จะเก็บค่านายหน้าสิบเปอร์เซ็นต์ และค่านายหน้านี้ผู้ซื้อต้องเป็นคนจ่าย