หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 226
เปิดประมูลราคา
“พ่อ เรื่องเงินสดพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ของเหล่านั้นสำหรับผมแล้วมันมีประโยชน์มาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้”
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนภายในร่างกายจะมีโรคที่ไม่อาจเปิดเผยได้แต่ก็ถูกกำจัดออกไปแล้ว เพียงแต่ว่าผมของเขายังไม่เป็นสีดำทั้งหมด จึงเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับพ่อ ถ้าไม่อย่างนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องราง นั้นก็จะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่
“ไอ๊ เจ้าเด็กคนนี้ทำไมไม่รีบพูด” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็กระโดดขึ้นมา เงินก็สำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับสุขภาพของลูกชาย
เยี่ยเทียนยิ้มพูดว่า ” พ่อ ไม่เป็นไร คนแซ่อวี๋คือนักธุรกิจ เขาโกรธแต่เขาก็คงไม่ประมูลราคาที่สูงออกมา ตอนนี้ผมยังพอมีเงินอยู่.”
จริง ๆ แล้วเยี่ยเทียนก็รู้สึกสำนึกผิด เมื่อครู่ที่ตัวเองแสดงอาการตื่นเต้นเกินไปออกมา ถ้าเกิดว่าเขาค่อยเป็นค่อยไป เกรงว่าแซ่อวี๋คนนั้นอาจจะไม่ซื้อเครื่องหยกเหล่านี้
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ผู้เฒ่าที่ขายหยกนั้นกำลังจะได้ประโยชน์จากการขายหยกครั้งนี้เจเดิมทีเกือบหมื่นก็สามารถซื้อของได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่แล้ว
แต่พวกของเหล่านี้ก็หายากจริง ๆ ในเวลานั้นเยี่ยเทียนไม่ได้ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ให้ดี ถ้าเกิดว่าพูดอีกครั้งหนึ่ง เดาว่าเยี่ยเทียนก็อาจเกิดการขัดแย้งกับเถ้าแก่อวี๋อีก
สำหรับเรื่องของเงิน เยี่ยเทียนกลับวางใจ ในมือของเขายังมีบัตรธนาคารอยู่ในนั้นมีเงินอยู่หนึ่งล้าน อย่างมากก็แค่เสียหนึ่งล้านซื้อพวกเครื่องรางเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรที่ฮ่องกงมียังมีคนแซ่ถังที่ยอมเสียเงินให้เขา ขอเพียงแค่ตัวเองเอ่ยปาก ผู้เฒ่านั้นก็จะรีบส่งเงินมาทันที
………………-
“เหล่าอวี๋ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อาชีพค้าขายวัตถุโบราณนี้ก็มีกลุ่มของตัวเอง ในวันธรรมดา ๆ มีบางคนก็สนิทสนมกันดีกับอวี๋คู่ ในอีกด้านหนึ่งก็มีคนล้อมเถ้าแก่อวี๋ไว้
ครั้งนี้ความโกรธของเถ้าแก่อวี๋็ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว โมโหจนหายใจไม่ทันพูดว่า เจ้าเด็กไร้มารยาทคนนั้นไม่รู้เรื่องกฏ ผู้ใหญ่ก็ไม่ดูของแล้ว เขาก็ยังอยากจะซื้อมัน แถมยังแย่งมันออกไปจากมือของผม พวกคุณว่า ผมจะทนได้ไหม
หลังจากได้ยินคำพูดของอวี๋คู่ คนที่รู้จักเยี่ยตงผิงเหมือนกันพูดว่า “ เหล่าเยี่ยปกติเป็นคนใจเย็น ทำไมลูกชายของเขาถึงได้ใจร้อนแบบนี้นะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเจตนาของเขาหรือเปล่า อวี๋คู่ส่งเสียงไม่พอใจหนึ่งที พูดว่า “แซ่เยี่ยที่เดินอยู่นั้นคือช่องทางของท่านประธานจี่ บางทีก็อาจจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา”
“กล้าเรอะ เขาเพิ่งมาปักกิ่งได้นานแค่ไหนกัน”
“คือว่า พวกเราทำอาชีพนี้มาก็สิบกว่าปีแล้ว เขายังต้องการที่จะแทนที่พวกเราเหรอ”
เหล่าอวี๋ ต่อไปนี้คุณก็อย่าใจอ่อนนะ อย่าให้พวกเขาคิดว่าพวกเราพวกคนแก่นี้ถูกปั้นขึ้นมาจากดิน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา มีคำกล่าวว่าจริง ๆ แล้ว เพื่อนร่วมงานก็อาจเปลี่ยนเป็นศัตรูได้ ไม่มีใครอยากให้มีคนอื่น ๆ มาแย่งกินอาหารในถ้วยเดียวกันกับเรา ทุกคนก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
เห็นทุกคนให้กำลังใจตัวเอง อวี๋คู่ก็แอบดีใจ โค้งคำนับไปรอบ ๆ พูดว่า “ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราทำงานกันมาหนักมาก จะต้องไปกลัวใครที่ไหน ลองดูสินค้าที่เขาอยากได้สิ ทุกท่านช่วยส่งเสริมผมหน่อยก็แล้วกันนะ”
อวี๋คู่พูดร้องขอความช่วยเหลือ ความหมายของเขาก็คือ หากเยี่ยตงผิงพอใจกับของชิ้นไหน ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันโก่งราคา อย่าให้เขาทำธุรกิจ
แต่ทว่าเถ้าแก่อวี๋ไม่รู้ว่า ในกระเป๋าของเถ้าแก่เยี่ยในตอนนี้เหลือไม่ถึงพันหยวน ดังนั้นเมื่อครู่ที่ดูพวกเครื่องหยกอยู่ จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมา
……………………-
เวลาในการเริ่มประมูลนัดไว้ที่เวลาบ่ายสองโมง โดยจะจัดขึ้นที่เพิง ดูเหมือนว่าสถานที่จะทำอย่างง่าย ๆและหยาบ แต่ว่าขั้นตอนกลับเป็นไปตามมาตรฐาน แล้วก็ผู้ประมูลทุกคจะต้องมีใบรับรองในการประมูล
แต่ว่ากฏในการประมูลที่นี้จะต่างกับการประมูลในสถานประมูลสินค้าทั่วไป เจ้าของสินค้าเป็นผู้ตั้งราคาสินค้าได้ตามใจชอบ ในการประมูลจะตะโกนบอกราคาสามครั้ง ถ้าหากไม่มีใครประมูลต่อก็ถือว่า
ในเวลาประมาณบ่ายโมง พวกเจ้าของที่ตกลงค้าขายกันไม่ได้ ก็ค่อย ๆเก็บของที่อยู่ตรงหน้ารวมเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนใหญ่แล้วคือห่อรวมเข้าไว้ด้วยกันเพราะ พวกเขาไม่มีเวลาที่จะขายมันแบบแยกชิ้น
การขายของผู้ขายจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ บางคนเอาของที่คนไม่ค่อยนิยมออกมา ไม่มีใครถามหา บางคนก็ตรงกันข้าม ของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อผ่านการประมูลก็ได้ราคาที่สูง
“ทุกท่าน ถึงเวลาในการประมูลแล้ว หวังว่าทุกท่านจะสามารถซื้อของที่ตัวเองชอบได้ เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตอนนี้จะเริ่มการประมูลแผงขายของหมายเลขหนึ่ง”
เสียงของผู้ประมูล “ในหนึ่งแผงมีของอยู่กี่ชิ้น นำมันมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของผู้ประมูลได้เลย”
คนที่ขายของที่นี้ กลับดูไม่เหมือนแผงขายของตลาดวัตถุโบราณ ตั้งแต่ภาพอักษรจนถึงเครื่องทองสัมสำริดมีทุกอย่าง ส่วนใหญ่เป็นของสี่ห้าชิ้น เยอะขึ้นมาหน่อยก็จะมีไม่เกินเจ็ดแปดชิ้น
ผู้ประมูลใส่ถุงมือสีขาวหนึ่งคู่ หลังจากที่ดูของที่อยู่บนโต๊ะอย่างละเอียด เปิดปากพูดว่า “นี้คือรูปปั้นม้าสามสีกับรูปปั้นคนสามคน สมัยราชวงศถัง เจ้าของขอออกราคาที่สองหมื่นห้า มีเพื่อนคนไหนสนใจเริ่มการประมูลได้”
การเป็นผู้ประมูลของประเภทวัตถุโบราณนั้น หากไม่เคยพูดคุยกับเจ้าของสินค้ามาก่อน จึงจำเป็นต้องมีความรู้ และประสบการณ์เป็นอย่างมาก หากพูดอะไรผิดพลาดไป ก็จะกลายเป็นตัวตลกขึ้นมาทันที
“สองแสนหนึ่งหมื่น” ผู้ประมูลเพิ่งออกเสียงมา ก็มีคนตะโกนราคามาอีก
“สองแสนห้าหมื่น”
“สามแสน”
“ฉันขอประมูลสามแสนแปดหมื่น”
“ฉันขอประมูลห้าแสน”
ภายในงานพวกเถ้าแก่ต่างก็เกิดสนใจพวกของในสมัยราขวงศ์ถังเหล่านี้ขึ้นมา ต่างพากันประมูลราคาที่สูงขึ้นมา ในระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งนาทีกว่า เจ้าของชิ้นนี้จากราคาเริ่มต้นที่สองแสนราคาพุ่งขึ้นมาสูงสุดอยู่ที่ห้าแสน
“ถังซันไฉ่” คืองานศิลปะของประเทศจีนยุคแรกที่นักสะสมนานาประเทศต่างตามหากัน ขายดีมากในต่างประเทศ และอีกอย่างราคาสูงมาก ในยุคแปดศูนย์เคยถูกประมูลไปแล้วในราคาสูงสุดถึงสิบล้าน
ถึงแม้ว่าถังซันไฉ่ตอนนี้ราคาลดลงในตลาดนานาชาติ แต่ว่าของชิ้นนี้มีคุณสมบัติที่ดีมาก ของเพียงแค่สามารถทำออกมา ก็จะขายได้ในราคาห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นของที่อยู่บริเวณนี้ เริ่มประมูลราคากันอย่างดุเดือด ได้เห็นรอยยิ้มที่หุบไม่อยู่ของเจ้าของถังซันไฉ่ ถ้าเกิดขายของชิ้นนี้ได้ ก็เท่ากับว่าล้างมือในอ่างทองคำแล้ว
บางคนอาจพูดว่า เจ้าคนนั้นเริ่มราคาที่สองแสนเอง แค่ส่งต่อก็สามารถขายได้ถึงล้าน เนื่องจากของเหล่านี้กำไรสูงเช่นนี้ จี่หรันก็ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมกับของที่ตัวเองเอาออกไปประมูล หรือว่าเขาจะได้ค่านายหน้า
และนี่ก็เป็นความฉลาดของจี่หรัน ของที่ได้จากพวกโจรขุดหลุมศพ มีบความเสี่ยงมาก ทุกคนค่อนข้างจะระวังตัวเป็นอย่างดี ครั้งนี้ขายให้คุณแล้ว ครั้งหน้าอาจจะไม่ทำการค้าขายกับคุณอีกเลยก็ได้
เพราะว่าของที่อยู่ในมือของพวกโจรขุดหลุมศพนั้นไม่ได้มาในทางที่ถูกต้อง พวกชอบสะสมวัตุโบราณ จึงมักกดราคาให้ต่ำลง จริง ๆ แล้วพวกโจรขุดหลุมศพ น้อยครั้งที่จะสามารถทำกำไรจากของเหล่านี้
แต่ว่าจี่หรันทำตรงกันข้าม เขาเสนอวิธีการค้าขายให้พวกโจรขุดหลุมศพ ตลอดจนการให้ผลประโยชน์สูงสุดกับพวกเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกโจรขุดหลุมศพบริเวณรอบ ๆ มณฑลก็จำเขาได้ ไม่ไปทำการค้าขายกับคนอื่น นั่นก็คือ จี่หรันได้เป็นผู้ผูกขาดตลาดเพียงคนเดียวสำหรับสินค้าพิเศษนี้
แน่นอนว่า ถ้าเกิดเจอพวกของล้ำค่า จี่หรันกับพวกโจรขุดหลุมศพก็จะปรึกษาหารือกันก่อน มิฉะนั้นในหนึ่งปีก็จะมีของไว้ประมูลมากมายมหาศาล คงไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าหรอก
“หนึ่งล้านสองแสน เถ้าแก่หูประมูลอยู่หนึ่งล้านสองแสน ยังมีเพื่อนคนไหนต้องการประมูลอีกไหม”
“ดี หนึ่งล้านสองแสน จบการประมูล ขอเชิญเถ้าแก่หูกับเพื่อนไปข้างในนั้นตกลงซื้อขายกันได้เลยนะครับ”
พร้อมกับเสียงที่ก้องกังวาน ผู้ประมูลประกาศให้เจ้าของแผงขายเบอร์หนึ่งเอาของออกมาตกลงซื้อขาย อยู่ในที่แบบนี้ประมูลได้ราคาที่สูงถึงหนึ่งล้านกว่า จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีให้เห็น
ต้องรู้ว่า แม้ว่าในต่างประเทศ “ถังซันไฉ่” จะมีราคาสูง แต่ว่าจำเป็นต้องมีช่องทางในการลักลอบนำออกไป และต้องแบกรับความเสี่ยงนี้ไว้อย่างแน่นอน อีกอย่างถึงแม้ว่าลักลอบออกไปแล้ว ก็จะได้แค่ส่วนหนึ่งในการประมูลต่างประเทศ
ดังนั้นในที่สุดเถ้าแก่หูคนนี้จะได้รับเงิน น่าจะอยู่ที่ประมาณสองสามล้านได้ แต่หากว่าในกรณีที่ขั้นตอนไหนเกิดความผิดพลาด หนึ่งล้านของเขานั้นก็เท่ากับสูญไป
เพียงแต่ว่าของที่ขุดมาจากหลุมฝังศพ มีทั้งดีและไม่ดี เจ้าของหมายแผงเลขสองทำการประมูลของ แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่สนใจ ตกลงซื้อขายได้แค่สามหมื่นหยวน
ต่อกันที่พวกคนต่างพากันเอาของออกมา เมื่อเทียบกับถังซันไฉ่ก็ยังห่างกันอยู่มาก พวกผู้ขายเป็นที่รู้กันคือจะไม่มีการโก่งราคา แผงขายที่ทำการประมูลของได้เจ็ดแปดชิ้น ล้วนแล้วเริ่มต้นราคาที่หนึ่งหมื่นขึ้นไป
อีกทั้งก็ไม่ใช่ของทั้งหมดที่จะทำการประมูลสำเร็จ มีผู้ขายสามสี่คนเอาของออกมาประมูล ในที่สุดก็จบการประมูล คนพวกนั้นก็ทำได้แค่เก็บของไปด้วยความแค้นใจ คิดว่าครั้งหน้าจะไปขุดหลุมศพของใครเพื่อเอาของดีออกมา
“ต่อไปจะทำการประมูลเครื่องหยก พวกหยกสิบสองปีนักษัตรภายในมีเพียงหกปีนักษัตร ในสมัยโบราณคาดว่าอาจใช้ในการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เจ้าของเริ่มออกราคาที่สองหมื่น เพื่อน ๆ คนไหนสนใจสามารถเริ่มประมูลได้”
รอประมาณชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็ถึงรอบการประมูลพวกเครื่องหยกเหล่านั้น เสียงของผู้ประมูล ก็ส่งเสียงออกมาในการประมูลครั้งนี้
“ห้าหมื่น” คนที่เริ่มประมูลก่อนก็คือเถ้าแก่อวี๋ หลังจากที่ประมูลราคานี้ออกมา อวี๋คู่มองด้วยสายตาที่ยั่วยุไปที่เยี่ยเทียน
“หกหมื่น” เยี่ยเทียนไม่รอช้าที่จะตะโกนราคาของตัวเองออกไป ในใจเขามีราคาขั้นต่ำอยู่ หนึ่งล้านก็คงพอที่จะประมูลพวกหยกเหล่านี้มาได้แล้ว
“แปดหมื่น” ทำให้คนแปลกใจก็คือ นอกจากเยี่ยเทียนและอวี๋เหล่าป่านแล้ว เพิ่มคนที่ตะโกนบอกราคา คนนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เยี่ยเทียนกับอวี๋คู่โต้เถียงกัน ไตร่ตรองดูพวกเครื่องหยกเหล่านั้นอย่างละเอียดแล้ว
“หนึ่งแสนสองหมื่น” สำหรับคนนอกที่ประมูล เยี่ยเทียนไม่แปลกใจ ยกไม้ยกมือพูดราคาออกไป ครั้งนี้เยี่ยเทียนเพิ่มอีกสี่หมื่น
พวกหยกโบราณเหล่านี้ ล้วนแล้วคือเม็ดหยกจากเห่อเทียนที่ถูกแกะสลักอย่างดี ถูกฝังซ่อนไว้ใต้ดินในสุสานโบราณ ได้รับการกัดกร่อนจากพวกดินและน้ำ รวมทั้งแร่ชนิดต่าง ๆ ในหนึ่งชิ้นอย่างน้อยที่สุดต้องมีอยุ่อยู่สี่สี ในการประมูลครั้งนี้อย่างน้อยต้องได้ราคา สามถึงห้าหมื่นหยวน
“ห้าแสน”
อวี๋เหล่าป่านเสนอราคาครั้งนี้ แต่ว่าสีหน้าของเขาไม่สงบเหมือนกับเมื่อครู่แล้ว จากที่เยี่ยเทียนเสนอราคาไปแบบนั้น อวี๋คู่คือนักธุรกิจ โกรธได้ แต่ว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอนเพราะว่าความโกรธจะทำให้เขาขาดทุนในการค้าขาย
…………