หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 230
สำหรับเรือนของเยี่ยเทียนหลังใหม่นี้ เว่ยหงจวินใช้ความคิดไปไม่น้อย นอกจากเรื่องเงินที่เขาไม่ได้ออกแล้ว เรื่องอื่นๆในบ้านที่เขาสามารถนึกขึ้นได้ เขาก็ทำทุกอย่างจนเสร็จ
ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ในห้องไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบเครื่องทำความเย็นกับความร้อนก็คงไม่ต้องพูดถึง เขาสั่งให้คนเอาต้นเศรษฐีเรือนใน ว่านหางจระเข้และต้นลิ้นมังกรไปไว้ทุกห้อง เพื่อใช้ต้นไม้พวกนี้ดูดซึมอากาศที่เป็นพิษภายในห้อง
และสั่งให้คนซื้อถ่านกัมมันต์มาไม่น้อย ไว้สำหรับวางตามมุมต่างๆของห้อง สีทาบ้านที่ใช้และอุปกรณ์วัสดุก่อสร้างต่างๆล้วนเป็นของที่ระดับมลพิษต่ำมาก บวกกับการระบายอากาศที่ดีทำให้เยี่ยเทียนสามารถเข้ามาอยู่ได้ทันที ถึงแม้เพิ่งจะสร้างเสร็จก็ตาม
หลังจากที่ส่งเว่ยหงจวินกับคนที่บ้านเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ปิดประตูเรือนสี่ประสาน เสียงของข้างนอกถูกกั้นออกไปทันที เวลาเงยหน้าขึ้นสิ่งที่มองเห็นนอกจากกำแพงสูงแล้วก็คือท้องฟ้า สายตาจะมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างอื่นๆเลย
และนี่เป็นจุดเด่นของการพักอยู่ใกล้ๆพระราชวังต้องห้าม เพื่อคงความเป็นเมืองหลวงแบบโบราณเอาไว้ สิ่งปลูกสร้างในวงแหวนรอบสองล้วนถูกจำกัดความสูง เวลาปิดประตูเรือนสี่ประสาน มันคือสวรรค์น้อยๆที่แยกออกจากโลกภายนอกนั่นเอง
“อยู่เรือนใหญ่ขนาดนี้คนเดียว สิ้นเปลืองจริงๆ?” มองดูประตูบานใหญ่ของเรือนที่เพิ่งปรับแก้เสร็จ เยี่ยเทียนก็รู้สึกประทับใจไม่น้อย
จากข้างหน้าถึงข้างหลังมีทั้งหมดสามช่วงมีห้องด้านข้างสิบกว่าห้อง เพียงพอสำหรับเจ็ดแปดครอบครัวเลยทีเดียว และมีเฟอร์นิเจอร์ครบทุกห้อง แต่ตอนนี้มีแค่เยี่ยเทียนคนเดียวที่อยู่เรือนนี้
ถ้าพูดจากมุมของฮวงจุ้ย ห้องที่ใหญ่เกินไปและมีคนอาศัยอยู่น้อยพลังชี่ชีวิตจะถูกดึงออกไป ทำให้พลังพิฆาตเข้ามาแทนที่ในแนวราบ ซึ่งคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับฮวงจุ้ยเคยกล่าวไว้แล้วว่า “ห้องใหญ่คนน้อย เป็นห้องอัปมงคล”
เยี่ยเทียนเดินอยู่ในเรือนสี่ประสานที่กว้างใหญ่หลังนี้ รู้สึกได้จริงๆว่าอุณหภูมิที่นี่ต่ำกว่าข้างนอกไม่น้อยทีเดียว
เมื่อก่อนเยี่ยเทียนเปิด”ประตูผี” ทำให้พลังพิฆาตที่เข้ามายังกำจัดไม่หมด แม้ว่าต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวจะถูกย้ายไปข้างหน้าข้างหลังหลายช่วงของเรือนโดยเว่ยหงจวินแล้วก็ตาม แต่ก็ยังวิเวกวังเวงอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนที่ขี้กลัวนิดหน่อย คงไม่กล้าอยู่ที่นี่คนเดียวแน่ๆ แต่สำหรับเยี่ยเทียนที่นี่กลับเป็นสถานที่ที่ฝึกกำลังภายในที่ดีที่สุดเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าต้องรอเขาเปิดใช้งานค่ายกลก่อน ไม่เช่นนั้นสถานที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามีเขาอาศัยอยู่คนเดียวละก็ คงจะเป็นดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า”ห้องใหญ่คนน้อย เป็นห้องอัปมงคล”จริงๆ
พอถึงช่วงค่ำ เยี่ยเทียนได้แวะกลับไปที่เรือนเก่าและกินข้าวเย็นง่ายๆที่นั่น จากนั้นเขาก็เอาของที่เก็บจากห้องเดิมไปไว้ที่เรือนสี่ประสานของตัวเอง กลับมาครั้งนี้มีเจ้าหางสั้นตามมาด้วยหนึ่งตัว
เสี่ยวเหมาโถวตามเยี่ยเทียนมาที่บ้านหลังนี้หลายต่อหลายครั้ง ดูเหมือนมันรู้ว่าต่อไปนี้ตัวเองจะอยู่ที่นี่ยาว จึงตื่นเต้นไม่หยุด หลังจากที่เข้ามาถึงข้างในมันก็กระโดดและหายเข้าไปทันที ไม่รู้ว่าวิ่งไปอยู่มุมไหนแล้ว
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจเจ้าตัวน้อยนั่นอีก เขากลับไปที่ห้องของตัวเองเริ่มนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ เขาจะปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้อยู่ในจุดที่ดีที่สุด เพื่อที่จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลได้อย่างสำเร็จ
ค่ายกลที่เยี่ยเทียนติดตั้งไว้ มีชื่อเรียกว่า “ค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิง” ถ้าอธิบายตามหลักของฮวงจุ้ย เฉียนคุนคือสองในแผนผังแปดทิศ เป็นตัวแทนแห่งฟ้าและตัวแทนแห่งดิน ซึ่งทำให้เกิดหยินหยาง ชายหญิงและสรรพสิ่ง
ค่ายกลที่เขาสืบทอด นี่เป็นหนึ่งในค่ายกลที่เข้มงวดที่สุด โดยปกติมีเพียงที่ๆมีจุดคู่หยินหยางเท่านั้นถึงจะมีหวังตั้งค่ายกลให้สำเร็จ แต่เพราะเงื่อนไขนั้นมีจำกัด ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็รู้ว่ากลุ่มคนที่มีความสามารถที่ซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาแม่น้ำ พวกเขานั้นสามารถทำได้
แต่ตัวเยี่ยเทียนกลับเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ที่แห่งนี้อยู่เขตพื้นที่เมืองหลวง เป็นแหล่งรวบรวมพลังชี่โชคชะตาไว้เป็นหนึ่งเดียว กล่าวได้ว่าเป็นหยาง ขานได้ว่าเป็นสวรรค์
แต่พลังพิฆาตที่สะสมมาเรื่อยๆนานเป็นร้อยๆปีของพระราชวังต้องห้ามและสถานที่นี้เป็นแหล่งตัวแทนหยินขั้นสุดอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้หยินหยางมีพร้อม ทุกอย่างก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดของค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิง
แต่การจะนำและย้ายพลังชี่โชคชะตาเขตเมืองหลวงกับพลังพิฆาตในพระราชวังนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับกำลังของเยี่ยเทียนอาจจะทำได้แต่ต้องฝืน ถ้าผิดพลาดเพียงขั้นตอนเดียว มีความเป็นไปได้ว่าความพยายามที่ทุ่มเทนั้นจะสูญเสียเปล่าๆ
ดังนั้นทุกสิ่งที่ต้องเตรียมล้วนจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าวู่วามเลยแม้แต่น้อย แล้วถ้าค่ายกลไม่ทำงาน พลังชี่ดั้งเดิมที่เขานำและย้ายทั้งหมด เป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง
เยี่ยเทียนนั่งสมาธิใช้เวลาไปแล้วกว่าสามสี่ชั่วโมง พอถึงช่วงกลางดึกสี่ทุ่ม เยี่ยเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่จู่ๆก็เปิดม่านตาขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแสงสว่างขึ้นและหายไป
ในเวลานี้เยี่ยเทียนรู้สึกสภาพร่างกายของตัวเองดีมาก ถึงแม้จะให้ฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้อาจารย์ผู้เฒ่าอีกครั้งหนึ่งก็ตาม เยี่ยเทียนมั่นใจว่าจะทำสำเร็จแน่นอน และแน่นอน ผลที่ตามมาก็คงเป็นเหมือนเดิม เขาจะถูกพลังตีกลับ ความรู้สึกมันทรมานจนเหมือนเจ้าลูกหมาเลยทีเดียว
เยี่ยเทียนลุกขึ้นและหยิบของขลังนักษัตรที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกสองชิ้น และเดินออกไปจากห้อง เงยหน้ามองสีท้องฟ้า ตอนนี้เพิ่งผ่านพ้นวันไหว้พระจันทร์ พระจันทร์และดวงดาวจึงแจ่มชัด แสงดาวสีเงินตกลงมาที่ลานสวน
ก่อนอื่นเยี่ยเทียนเดินมาถึงข้างหน้าเรือน นำของขลังหนึ่งเม็ดวางไว้จุดใดจุดหนึ่งของสวนดอกไม้ ที่ตรงนี้เยี่ยเทียนสั่งให้คนเว้นที่ไว้ทำเป็นหลุมเท่าฝ่ามือไว้หนึ่งอัน ทำจากหินอ่อนขาวทั้งหมด
หลังจากนำของขลังใส่เข้าไปในหลุมสีขาว จากนั้นก็ใช้ฝาที่ทำจากหินอ่อนขาวเช่นกันล็อกเข้าไป ปิดสนิทดุจกล่องลับหนึ่งกล่อง
วางของขลังเสร็จ เยี่ยเทียนเดินมาถึงท้ายเรือน และนำของขลังอีกหนึ่งชิ้นใส่ไว้ในดวงตาของค่ายกล หินอ่อนขาวจะช่วยดูดและกระจายพลังหลิง ในสถานการณ์ที่ไม่มีกำลังเงินในการใช้หินอ่อนขาวทั้งหมด เยี่ยเทียนทำได้เพียงยอมแล้วค่อยใช้ครั้งต่อไป
หลังจากที่วุ่นวายกับสิ่งเหล่านี้จนเสร็จ เยี่ยเทียนก็มาถึงบริเวณกลางของเรือน เงยหน้ามองฟ้า การเป็นซินแซจะต้องเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ และเยี่ยเทียนกำลังดูการทำงานของเวลา บางครั้งเวลาที่โหราศาตร์คุมอยู่มีความแม่นยำมากกว่าเข็มนาฬิกาในยุคปัจจุบันเสียอีก
“ได้เวลาแล้วละ ยามไฮ่กำลังจะหมุนไปยามจื่อแล้ว!” ยืนตรงเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ดวงตาของเยี่ยเทียนสว่างขึ้นอย่างดุร้าย ปากพูดออกเสียงต่ำว่า “เฉียน!”
ในขณะที่พูด สองมือของเขาประสานออกมาเป็นเครื่องหมายอจละ ทันใดนั้นร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นใหญ่และสูงดุจเทือกเขาไท่ซานมั่นคงสูงสุด มีพลังนึงพุ่งทยานขึ้นสู่ฟ้า
เมื่อพลังที่ออกมาจากบนตัวของเยี่ยเทียนพุ่งถึงจุดสูงสุดแล้ว เยี่ยเทียนเริ่มขยับเท้า มุทราก็เปลี่ยนตามพร้อมพูดออกมาว่า “ปิง”
คำว่า”ปิง”ในเวทเก้าอักษรเป็นตัวแทนของพลังชีวิต หลังจากที่เยี่ยเทียนตะโกนออกมา พลังชี่ดั้งเดิมรอบตัวทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใบไม้ที่ร่วงจากต้นไม้ใหญ่กลางเรือนปลิวและม้วนดุจพายุหมุน
ภายใต้การควบคุมอย่างมีสติของเยี่ยเทียน พลังชี่ดั้งเดิมที่ออกมาจากบนตัวเขากลับพุ่งเข้าหาประตูผีโดยตรง ตอนนี้ประตูผีกั้นนอกไม่กั้นใน ทำให้พลังชี่ดั้งเดิมที่ถูกเยี่ยเทียนคุมอยู่ทะลุเข้าประตูผีในพริบตาเดียว และไปเชื่อมต่อกับพลังพิฆาตที่แน่นหนาของพระราชวังต้องห้าม
ณ เวลานี้ยามไฮ่กำลังจะหมุนไปยามจื่อ ซึ่งยามจื่อเป็นช่วงหยินสุดท้ายของวัน พลังพิฆาตภายในพระราชวังต้องห้ามกำลังจะถึงจุดสูงสุดเช่นกัน เพิ่งสัมผัสไม่ทันไรร่างกายของเยี่ยเทียนก็สั่นอย่างรุนแรงอีกทั้งยังกระอักเลือดออกมา
“แม่งเอ้ย ดีนะที่กำลังของฉันฟื้นฟูแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สามารถทำให้ค่ายกลเริ่มทำงานได้!”
เยี่ยเทียนพบว่าตนเองมองพลังพิฆาตของพระราชวังต้องห้ามที่สะสมไว้ร้อยปีต่ำไป ขณะเดียวกันเขาก็มั่นใจในความสามารถของตนเองสูงไป
ถ้าแผลภายในไม่ได้รักษาด้วยบัวหิมะของเทือกเขาเทียนซาน เฉพาะพลังชี่ดั้งเดิมในตัวของเขา แค่สัมผัสพลังพิฆาตพริบตาเดียวเยี่ยเทียนก็คงได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและคงไม่ใช่แค่กระอักเลือดแค่นี้แน่นอน
แต่ผลตอบแทนของการกระอักเลือดในครั้งนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนสามารถเชื่อมต่อกับพลังพิฆาตของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งพลังพิฆาตที่หล่นมาจากฟ้ามีความหนาแน่นมืดมนดุจน้ำลึก และพลังนั้นถูกเยี่ยเทียนนำไปถึงดวงตาค่ายกลที่วางไว้ท้ายเรือน
แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดค่ายกล “โต่ว”เยี่ยเทียนตะโกนเวทเก้าอักษรอีกครั้ง สวรรค์และฟ้าดูเหมือนจะก้องกังวานตามเขา และพลังพิฆาตก้อนนั้นที่ถูกนำมาถูกเยี่ยเทียนกดทับไว้อย่างแน่นหนาที่ดวงตาของค่ายกล
ตอนนั้น เหตุการณ์บนท้องฟ้าเปลี่ยนไปทันใด ช่วงยามจื่อมาถึงแล้ว
โบราณเคยกล่าวไว้ว่า “จื่อคือการเริ่มต้นของหยาง” ยามจื่อคือช่วงเวลาการสลับกันของหยินและหยาง หยินจบลง หยางเกิดขึ้น เป็นช่วงจุดรวมกันของหยินกับหยาง และในฐานะเป็นยามเริ่มต้นของหกหยาง พลังชี่ดั้งเดิมขณะนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ มีพลังหยางอันหนึ่งทยานขึ้นมาจากพระราชวังต้องห้าม ปากของเขารีบตะโกนออกมาคำว่า
“สิง!”
เวทอักษรคำว่า “สิง” ช่วยให้สรรพสิ่งมีความสมดุล สามารถให้คนควบคุมพลังชี่ดั้งเดิมฟ้าสวรรค์ได้ง่าย
เมื่อเยี่ยเทียนยื่น”มุทราดวงสูรย์”ที่ตรงกันกับคาถาแล้ว พลังชี่โชคชะตาทั้งหมดของพระราชวังถูกดึงดูดโดยเขา เหมือนดั่งมังกรดั่งทะเล พลังทั้งหมดเข้าสู่ดวงตาค่ายกลจุดหยางที่วางไว้หน้าเรือน
“ค่ายกลหยินหยางประสานจงเปิด ฉี!!” ยามไฮ่กำลังจะผ่านไป ยามจื่อกำลังจะมา คาถามุทราของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนอีกครั้ง
พร้อมพูดออกมาคำว่า”ฉี” ของขลังสองชิ้นที่อยู่ในดวงตาค่ายกลทันใดนั้นปรากฏแสงสีสะท้อน และมีพลังดึงดูดที่ใหญ่มากเกิดขึ้น ทำให้พลังชี่หยินกับหยางที่ตรงข้ามกันภายในเรือนสี่ประสานถูกดูดเข้าไปในดวงตาของค่ายกล
ค่ายกลเฉียนคุนรวมพลังหลิงทั้งหมดขณะนี้ ถูกกระตุ้นหมดแล้ว หินอ่อนขาวที่กระจายอยู่ใต้เรือนสี่ประสานกำลังนำพลังหยินและหยางไปรวมกันที่กลางเรือน
หน้าผากของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยเหงื่อ ณ เวลานี้ เขาไม่มีแรงควบคุมพลังชี่ดั้งเดิมของฟ้ากับดินอีกแล้ว เขาเหนื่อยจนนั่งลงไปกับพื้น ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้น จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับขั้นนี้
ถ้าหากไม่สำเร็จ พลังชี่ดั้งเดิมที่ตรงกันข้ามจะชนกันและทำให้เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนกลายเป็นซากปรักหักพังอย่างแน่นอน เยี่ยเทียนเองก็ไม่มีทั้งความสามารถและไม่มีแรงอีกแล้ว เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับสิ่งที่เขาสืบทอดมาโดยที่ไม่ได้หลอกตัวเอง
แต่สถานการณ์กลับไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยเทียนคิดว่ามันจะชนกัน หลังจากที่พลังชี่หยินกับหยางที่เยอะดุจทะเลรวมตัวอยู่กลางเรือนดุจการปะทะของน้ำแข็งกับหิมะ จากนั้นพลังก็หลอมรวมด้วยกันอย่างรวดเร็ว
การหลอมรวมของพลังทั้งสอง ทำให้พลังหลิงที่บริสุทธิ์อันหนึ่งพุ่งทยานขึ้นจากกลางเรือน พุ่งขึ้นจนเหมือนกับเป็นเกราะ ผ่านไปครู่เดียวเรือนสี่ประสานก็ถูกครอบเอาไว้ทั้งเรือน
ถ้าในเวลานี้มีสัญญาณดาวเทียมชี้มาตรงเรือนสี่ประสาน พวกเขาจะพบว่าจากที่สามารถมองเห็นเรือนสี่ประสานอย่างชัดเจน ตอนนี้เรือนสี่ประสานดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าบางๆหนึ่งชั้น ถึงแม้จะอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่สามารถมองได้อย่างชัดเจน
“นี่ทำสำเร็จแล้วเหรอ?” เยี่ยเทียนที่มีสภาพดูไม่ได้นั่งอยู่กับพื้น กำลังสัมผัสอยู่กับพลังชี่ดั้งเดิมบริสุทธิ์ที่หนาแน่นนั้น ใบหน้าได้แสดงความดีใจถึงที่สุดออกมา
พลังชี่ดั้งเดิมเหล่านี้เหมือนดั่งอากาศที่อยู่บนภูเขาสูง มันบริสุทธิ์จนไม่มีแม้แต่มลพิษผสมอยู่แม้แต่น้อย