หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 240
–
เทียบกับตอนที่ยืนรับแขกอยู่หน้าประตูแล้ว ในระหว่างที่พิธีหมั้นกำลังดำเนินไป เยี่ยเทียนกลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม
ท่ามกลางการอวยพรของญาติมิตร เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าแลกแหวนหมั้นกัน จากนั้นก็คารวะน้ำชาให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูล และแล้วพิธีการแบบกึ่งจีนกึ่งฝรั่งนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ลง
เมื่อถึงเวลาสามทุ่มกว่าๆ งานเลี้ยงอาหารค่ำก็สิ้นสุดลง หลังจากส่งแขกที่หน้าประตูแล้ว อวี๋เฮ่าหรานและคนอื่นๆ ก็กลับไปที่บ้าน แม้ว่าการปรากฏกายของซ่งเสี่ยวเจ๋อในวันนี้จะทำให้อวี๋เฮ่าหรานตื่นตระหนกไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นในงาน
หลังจากยุ่งกันมาทั้งวัน ทุกคนต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อวี๋เฮ่าหรานมองดูเยี่ยเทียนที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นสุรา แล้วบอกว่า “เยี่ยเทียน ไปอาบน้ำนอนเถอะ เที่ยวบินพรุ่งนี้เช้าน่ะ ชิงหย่าจะกลับไปปักกิ่งกับพวกเธอด้วยนะ!”
“รู้แล้วครับพ่อ ผมจะดูแลชิงหย่าอย่างดีเลย…” ตั้งแต่ในพิธีหมั้นเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่าพ่อแทน ทำให้อวี๋เฮ่าหรานฟังแล้วรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง ตัวเขาเองไม่มีลูกชาย ลูกเขยอย่างเยี่ยเทียนจึงเหมือนเป็นลูกชายของเขาครึ่งหนึ่ง
“ภรรยาที่รัก คืนนี้มานอนด้วยกันไหมล่ะ?” เยี่ยเทียนเพิ่งจะทำตัวเรียบร้อยได้เดี๋ยวเดียว ก็เริ่มออกลายมาอีกแล้ว พูดจนอวี๋ชิงหย่าหน้าแดงแปร๊ด ทำเสียงถุยใส่เยี่ยเทียนทีหนึ่ง แล้วก็เผ่นกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เมื่อเห็นลูกเขยหยอกเอินลูกสาวต่อหน้าตัวเองแบบนี้ อวี๋เฮ่าหรานก็ด่าออกไปอย่างทั้งขำทั้งโมโห “เจ้าบ้านี่ ไว้แต่งงานก่อนเถอะค่อยพูดเรื่องนั้น ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกเดี๋ยวก็เอาแกไปทิ้งเลยนี่!”
“แหะๆ ผมดื่มหนักไปหน่อยน่ะครับพ่อ ดื่มหนักไปหน่อย ผมจะกลับไปอาบน้ำที่ห้องเดี๋ยวนี้แหละครับ…” เยี่ยเทียนหัวเราะแหะๆ แล้วเดินโซเซขึ้นบันไดไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง
แต่ทว่าทันทีที่ปิดประตูห้องลง ดวงตาของเยี่ยเทียนที่ตอนแรกยังดูมึนเมาง่วงงุนอยู่นั้น ก็กลับเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมาในทันใด ดูเหมือนคนเมาสติเลื่อนลอยอย่างเมื่อครู่นี้ที่ไหนกัน?
“พรุ่งนี้ก็ต้องไปแล้ว คงต้องจัดการให้เสร็จในวันนี้แล้วละ!”
แม้ว่าหลังจากที่ถูกพ่อตักเตือนไป เยี่ยเทียนก็ไม่คิดที่จะทำอะไรกับสุสานตระกูลซ่งอีกแล้ว แต่กับคนที่แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับเขานั้น เยี่ยเทียนไม่มีทางใจอ่อนรามือให้เด็ดขาด
ตามที่พรตเฒ่าเคยกล่าวไว้ หากให้อภัยได้ก็จงให้อภัยเสีย แต่ถ้ามีสุนัขบ้ามากัดละก็ จะต้องสังหารมันเสีย เพื่อไม่ให้สุนัขบ้าตัวนี้ไปทำร้ายคนอื่นอีก
สายน้ำที่ไหลรินออกมาจากฝักบัวนั้นไม่ใช่น้ำร้อน แต่เป็นน้ำที่เย็นปานน้ำแข็ง น้ำที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูกนั้นกระหน่ำลงบนร่างของเยี่ยเทียน ทำให้ขนลุกชันขึ้นมาทันที แต่เยี่ยเทียนกลับมีสีหน้าพึงพอใจอย่างยิ่ง
เยี่ยเทียนหลับตาทั้งคู่ลงเบาๆ แล้วกระตุ้นพลังชี่ดั้งเดิมภายในกาย กลิ่นอายของสุราคละคลุ้งไปทั่วห้องอาบน้ำทันที เพราะสุราที่เขาดื่มไปในวันนี้ถูกขับออกมาจากร่างจนหมด
หลังจากผ่านไปห้าหกนาที เยี่ยเทียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่มีกลิ่นสุราหลงเหลืออยู่บนร่างเลย หลังจากหาชุดชั้นในออกมาหนึ่งชุด เยี่ยเทียนก็รื้อเอาเสื้อแจ็กเก็ตสีดำตัวหนึ่งที่ซื้อจากในเมืองออกมา
“คืนเดือนมืด ลมพัดแรง เหมาะเป็นเวลาฆ่าคนพอดี!”
เขานั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ไปหนึ่งชั่วโมงเศษ เมื่อเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลาเที่ยงคืน เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นมา แล้วเปิดหน้าต่างจากชั้นสอง เงาสีดำร่างหนึ่งโรยตัวลงไปบนพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง
เทศกาลตรุษจีนเพิ่งจะผ่านพ้นไป อากาศยังคงค่อนข้างหนาวเย็น อีกทั้งเป็นเวลากลางดึก ตามถนนในหมู่บ้านจึงไม่มีคนเดินอยู่เลยสักคน แม้แต่ยามรักษาความปลอดภัยก็ยังขดตัวดูโทรทัศน์อยู่ในห้อง
แต่เมื่อออกมาพ้นเขตหมู่บ้าน ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ปรากฏแก่สายตา อากาศอันหนาวเย็นไม่ได้ส่งผลต่อความรื่นเริงของเทศกาลแห่งความรักนี้เลย ตามถนนหนทางยังคงมีคู่รักหนุ่มสาวเดินจูงมือกันอยู่หลายคู่ ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้มอันสุขใจ
โดยเฉพาะตามผับตามบาร์ ขณะนั้นกำลังเป็นช่วงเวลาที่กิจการคึกคักที่สุด มีคนเดินเข้าเดินออกอยู่อย่างไม่ขาดสาย
ถนนเหิงซานเป็นย่านสถานบันเทิงเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ ต้นเมเปิลฝรั่งเศสที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ทางเท้าพร้อมรั้วกั้นแบบยุโรป และบ้านหลังเดี่ยวพร้อมสวนดอกไม้นานาพันธุ์แบบยุโรปนั้น สามารถถ่ายทอดความรุ่งเรืองและบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ในอดีตได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะนั้นเยี่ยเทียนกำลังนั่งในร้านกาแฟที่มีแสงสลัวๆ ร้านหนึ่งบนถนนเหิงซาน โดยนั่งหันหน้าไปที่ถนน เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป จะสามารถมองเห็นบาร์ฝั่งตรงข้ามที่มีป้ายไฟนีออนสว่างวูบวาบอยู่ได้อย่างชัดเจน
………………-
“โอ๊ะ โทษทีนะ เดี๋ยวผมไปรับโทรศัพท์ก่อน!”
ระหว่างที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อกำลังควงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบาร์ โทรศัพท์มือถือที่พกอยู่ก็เสียงดังขึ้นมา ซ่งเสี่ยวเจ๋อยิ้มให้สาวคนนั้นเป็นเชิงขอโทษ แล้วสาวเท้าอย่างเร็วขึ้นไปนั่งบนรถของตัวเอง หลังจากปิดหน้าต่างรถ เสียงอึกทึกจากภายนอกก็ถูกกั้นไว้นอกตัวรถทันที
ซ่งเสี่ยวเจ๋อกดปุ่มรับสาย แล้วนั่งตัวตรง พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเกรงใจ “น้องหก พี่เองนะ!”
“พี่รอง ตอนนี้ทางพี่คงจะเป็นกลางดึกอยู่ละสินะ?ขอโทษด้วยจริงๆ นะ ที่มารบกวนตอนดึกๆ แบบนี้” เสียงที่พูดมาจากปลายสายโทรศัพท์นั้นฟังดูอ่อนเยาว์อย่างยิ่ง อีกฝ่ายน่าจะไม่ได้มีอายุมากนัก
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะน้องหก นี่พี่ก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวจะโทรไปหาอยู่พอดีเลย…” แม้ปากจะเรียกอีกฝ่ายว่าน้องหก แต่ท่าทีของซ่งเสี่ยวเจ๋อนั้น กลับยังดูนอบน้อมยิ่งกว่าเวลาพูดกับผู้ใหญ่เสียอีก
คนที่อยู่อีกปลายสายโทรศัพท์พยักหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “เออนี่พี่รอง ถึงกลุ่มการเงินนี่อาหญิงจะเป็นคนสร้างขึ้นมา แต่มันก็ต้องเป็นของสกุลซ่งอยู่วันยังค่ำ พี่เข้าใจรึเปล่าว่าผมหมายความว่าอะไร?”
“พี่รู้แล้วละน้องหก วันนี้ก็ล่องูออกมาจากโพรงได้แล้วด้วย…”
หลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ ซ่งเสี่ยวเจ๋อก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง แล้วพูดต่อ “ในประเทศนี่มีคนตั้งมากมาย แต่ละวันก็เกิดอุบัติเหตุต่างๆ สารพัด ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติหรือภัยมนุษย์ บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงกันไม่ได้หรอก น้องหก ถึงตอนนั้นแล้วน้องต้องคอยปลอบใจอาหญิงด้วยล่ะ!”
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วละพี่รอง…”
ฝ่ายตรงข้ามก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน แต่แล้วก็พูดกดเสียงต่ำตามมาทันที “ต้องทำให้รวบรัดหมดจดนะ จะทิ้งร่องรอยเบาะแสอะไรไว้ไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ผมอธิบายซ้ำอีกใช่ไหมพี่รอง?”
“วางใจเถอะ ต่อไปผู้สืบทอดกลุ่มการเงินก็จะต้องเป็นน้องหกนี่แหละ”
ซ่งเสี่ยวเจ๋อพูดกับฝ่ายตรงข้ามต่ออีกสองสามคำ หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ซ่งเสี่ยวหลงเอ๋ยซ่งเสี่ยวหลง แกจะมีปัญญาทำอะไรได้?ก็แค่เพราะอาหญิงเขาชอบแกเท่านั้นแหละ ลำพังแกตัวคนเดียว ก็คิดจะมาเป็นผู้สืบทอดกลุ่มการเงินงั้นรึ?เอาเถอะ จัดการภัยใกล้ตัวนี่ก่อน แล้ววันหน้าค่อยมาจัดการกับแก!”
ซ่งเสี่ยวหลงที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อกำลังพูดถึงนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งพ่อของเขาเอง ปีนี้เพิ่งจะอายุครบยี่สิบ และก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร เมื่อสิบกว่าปีก่อน อาหญิงที่ไปอยู่อเมริกาตามลำพังคนเดียวถึงต้องรับซ่งเสี่ยวหลงที่เพิ่งจะอายุไม่กี่ขวบไปเลี้ยงดูด้วย
ส่วนซ่งเสี่ยวหลงเองก็เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ตอนอายุสิบแปดปีก็จบการศึกษาจากโรงเรียนบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ดแล้ว จากนั้นก็เข้าไปทำงานในกลุ่มสถาบันการเงินอย่างเต็มตัว และได้แสดงความสามารถอันเป็นเลิศออกมา โดยประสบความสำเร็จในโครงการผนวกรวมธุรกิจตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้ามาทำงานในกลุ่มสถาบันการเงิน
ภายในเวลาเพียงสองปี ซ่งเสี่ยวหลงก็ได้นั่งตำแหน่งรองประธานของกลุ่มสถาบันการเงินแล้ว ใครๆ ต่างก็ดูออกกันแทบทั้งนั้นว่า ซ่งเวยหลันตั้งใจอบรมเขาเพื่อให้มาเป็นผู้สืบทอดโดยเฉพาะ
ดังนั้นถึงซ่งเสี่ยวเจ๋อจะเป็นพี่ชายในตระกูลเดียวกัน แต่เมื่อต้องติดต่อกับน้องหกคนนี้ เขาก็ยังต้องรักษาท่าทีนอบน้อมเกรงใจไว้อยู่ดี ในความเป็นจริงนั้นจะมีคนที่คิดแบบเดียวกับซ่งเสี่ยวเจ๋ออยู่กี่คนก็ไม่อาจทราบได้
แต่ในตอนนี้ ซ่งเสี่ยวเจ๋อและน้องหกกลับมีความคิดตรงกัน นั่นก็คือจะต้องกำจัดเสี้ยนหนามจากภายนอกให้ได้เสียก่อน ซึ่งก็คือลูกชายของอาหญิงที่เล่าลือกันนั่นเอง เมื่อเจ้านั่นไม่อยู่แล้ว ถึงจะกลายมาเป็นตาของพวกเขาที่จะต้องมาแย่งชิงสิทธิ์ในการถือครองกลุ่มสถาบันการเงินกัน
ดังนั้นหลังจากที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อกลับประเทศมาเมื่อปีที่แล้ว ก็เริ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเยี่ยเทียนเป็นการใหญ่ทันที
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเซ็งก็คือ เยี่ยเทียนกลับไม่ได้ก้าวขาออกมาจากประตูบ้านเลยสักก้าวนานหลายเดือนติดต่อกัน จึงไม่มีโอกาสที่เขาจะจัดฉากอุบัติเหตุอะไรได้เลย ซ่งเสี่ยวเจ๋อถึงได้จงใจไปจีบอวี๋ชิงหย่า เพื่อที่จะล่อเยี่ยเทียนออกมานี่เอง
บางคนอาจจะบอกว่า เยี่ยเทียนอยู่ในบ้านคนเดียวแบบนี้ ไม่ยิ่งเป็นโอกาสดีที่จะลงมือ ว่าจ้างนักฆ่ามาเก็บเขาหรอกหรือ?
แต่ตราบใดที่ซ่งเวยหลันยังไม่ได้ประกาศชื่อผู้สืบทอดกลุ่มสถาบันการเงินออกมา ลูกหลานตระกูลซ่งเหล่านี้ก็จะยังไม่ใช้อุบายนั้น เพราะพวกเขาต่างรู้กันดีว่า ซ่งเวยหลันมีนิสัยแข็งกร้าว ถ้าหากลูกชายตายอย่างอนาถไปจริงๆ เธออาจจะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรออกมาก็ได้
ดังนั้นการตายของเยี่ยเทียนจะต้องเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุเท่านั้น และต้องเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ว่าใครก็จับพิรุธอะไรไม่ได้เลย ซ่งเสี่ยวเจ๋อเป็นคนที่สุขุมลุ่มลึกที่สุดในบรรดาพี่น้อง ภารกิจนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของเขาไปเป็นธรรมดา
“เรื่องพวกนี้ไว้ให้พวกมืออาชีพเขามาจัดการก็แล้วกัน!” วันนี้ดื่มเหล้าไปไม่น้อย ซ่งเสี่ยวเจ๋อนวดๆ ที่ขมับ หลังจากที่ครุ่นคิดจนปวดหัวขึ้นมานิดๆ
อีกสามวันต่อจากนี้ จะมีทีมตรวจสอบธุรกิจจากอเมริกามาที่เซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ในทีมตรวจสอบนี้มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฉากอุบัติเหตุโดยเฉพาะ ในโลกใบนี้ คนที่ตายไปในอุบัติเหตุที่เขาจัดฉากขึ้นมานั้น อย่างน้อยๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยคน
“หือ นั่นใครน่ะ?ทำไมดูคุ้นๆ ยังไงชอบกล?”
ขณะที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อเปิดหน้าต่างรถ และกำลังจะเชิญหญิงสาวคนนั้นขึ้นรถ ก็พลันสังเกตเห็นคนผู้หนึ่งเดินผ่านไปจากอีกฝั่งหนึ่งของตัวรถ เงาร่างนั้นเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“นี่พ่อรูปหล่อ กะจะปล่อยให้ฉันยืนตากลมอยู่ตรงนี้น่ะหรือ?” พอซ่งเสี่ยวเจ๋อหันหน้ามองตามหลังคนผู้นั้นไป เสียงผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาใกล้ๆ
“เปล่าเลยครับ คุณผู้หญิงคนสวย เชิญขึ้นรถครับ!”
ซ่งเสี่ยวเจ๋อยิ้มพลางโบกมือให้แม่สาวคนนั้น แต่ขณะที่เขากำลังจะลงจากรถไปช่วยเปิดประตูให้หญิงสาว สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งจากกระจกมองหลัง
“เอ๊ะ ไม่สิ ทำไม…ทำไมถึงเป็นมันล่ะ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยิ้มยิงฟันขาวให้ตน ซ่งเสี่ยวเจ๋อก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ดวงตาก็เบิกโพลง แต่เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะโต้ตอบอย่างไร ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นเข้ามาในสมองของเขาแล้ว
หญิงสาวคนที่กำลังยืนอยู่ข้างรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้นด้วยท่าทางหยิ่งๆ พลางเชิดหน้ามองดูผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาขณะที่กำลังรอซ่งเสี่ยวเจ๋อลงรถมาเปิดประตูให้นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังสนั่นอยู่ใกล้ๆ แล้วรถสปอร์ตคันนั้นก็โฉบผ่านข้างตัวเธอพุ่งออกไปบนถนน
“เวรเอ๊ย จะขับไปหาแม่รึไงวะ? นึกว่ามีรถแล้วเท่มากเรอะ ไอ้สถุลนี่ เดี๋ยวได้โดนชนดับก่อนไปถึงแยกหน้าแน่!”
หญิงสาวที่ตอนแรกดูท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์นั้น พลันกระโดดเหยงๆ ขึ้นมาพร้อมกับแผดเสียงด่าไล่หลังรถบีเอ็มดับบลิวของซ่งเสี่ยวเจ๋อไปทันที แต่จากนั้นเธอก็อ้าปากเหวอเป็นรูปตัวโอ แล้วก็หุบไม่ลงอีกเลย
เพราะระหว่างที่เธอกำลังก่นด่าออกไป รถบีเอ็มดับบลิวคันนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างบ้าระห่ำ และขณะที่ยังขับออกไปไม่พ้นสายตาของเธอ รถก็หักเลี้ยวกะทันหัน แล้วพุ่งชนเข้าใส่อาคารสีแดงหลังหนึ่งอย่างรุนแรง
หลังจากเกิดเสียง “โครม” ดังสนั่นหวั่นไหว รถบีเอ็มดับบลิวก็หยุดอยู่กับที่ ผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนเส้นนั้นต่างก็เห็นได้อย่างเลือนรางว่า มีเงาคนร่างหนึ่งปลิวกระเด็นออกไปจากหน้าต่างรถบีเอ็มดับบลิวคันนั้น