หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 242
“เสี่ยว…เสี่ยวเทียน แต่…แต่นั่นมันคุณท่านถังเลยนะ?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น หลิวเหวยอันก็ตะลึงไปทันที เขาจะนึกอย่างไรก็คงนึกไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนจะพูดออกมาแบบนี้ ฟังจากที่เยี่ยเทียนพูดมา อย่างกับว่าถังเหวินหย่วนเป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่เดินสวนกันตามถนนก็ไม่ปาน
“เหวยอัน คุณท่านถังที่นายพูดถึงนี่คือ?” พอเยี่ยตงผิงได้ยินทั้งสองคุยกัน ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ก็คือถังเหวินหย่วนน่ะสิครับ มหาเศรษฐีฮ่องกงคนนั้นนั่นแหละ ก่อนหน้านี้เสี่ยวเทียนเคยขายหยกให้เขาไป…”
หลิวเหวยอันรีบอธิบาย นี่ไม่ใช่ว่าเขาเห่อคนรวย แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นชาวบ้านตาดำๆ คนอื่น แล้วมีอภิมหาเศรษฐีมาเยือนถึงบ้านแบบนี้ ก็คงจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างกับหลิวเหวยอันนักหรอกจริงไหม?
“อาเขยครับ ผมก็ไม่ได้ติดหนี้เขาสักหน่อย เดี๋ยวอีกสองสามวันเขาก็มาหาผมอีกอยู่ดีแหละ”
เยี่ยเทียนโบกมือไม่ให้หลิวเหวยอันพูดต่อ แล้วลุกขึ้นยืน “พ่อ ป้า ผมอิ่มแล้ว เดี๋ยวผมกับชิงหย่าจะกลับไปเรือนฝั่งโน้นก่อนนะครับ!”
“เสี่ยวเทียน นาย…”
“ช่างเถอะเหวยอัน มันรู้อยู่น่ะว่าตัวเองทำอะไร”
หลิวเหวยอันยังอยากจะเกลี้ยกล่อมหลานชายอีกสักหน่อย แต่กลับถูกเยี่ยตงผิงขัดขึ้นมา เยี่ยตงผิงยังไม่เคยอ่านใจลูกชายของตัวเองออกเลย แม้กระทั่งเรื่องอุบัติเหตุรถชนของซ่งเสี่ยวเจ๋อ ตอนนี้เขาก็เริ่มจะไม่อยากไปซักถามแล้ว
“เยี่ยเทียน คนพวกนั้นกำลังพูดถึงพวกเราอยู่รึเปล่านะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเปิดประตู อวี๋ชิงหย่าที่กำลังหอบผ้าคลุมเตียงและผ่าปูที่นอนชุดใหม่อยู่เต็มสองแขน ก็มองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปและกำลังชี้มือชี้ไม้มาทางพวกเธอสองคนด้วยสายตาหวั่นเกรง
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางเปิดประตูด้านข้างออก แล้วหันหน้าไปตอบว่า “เรือนฉันนี่เป็นบ้านผีสิงนะ เธอกลัวไหมล่ะ?”
“บ้านผีสิง? นายอย่ามาแกล้งขู่ฉันนะ!”
อวี๋ชิงหย่าค่อนข้างจะเป็นคนขวัญอ่อน สมัยเด็กก็โดนเยี่ยเทียนจับปลาไหลบึงมาแกล้งขู่ว่าเป็นงู จนเธอวิ่งหนีไปทั่ว แต่เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยิ้มกริ่ม อวี๋ชิงหย่าก็เข้าใจขึ้นมาทันที กระทืบเท้าแล้วพูดขึ้นว่า “นายจะขู่ก็ขู่ไปเถอะ ถ้าได้อยู่กับนาย ต่อให้เป็นบ้านผีสิงฉันก็ไม่กลัวหรอก!”
“ว้าย?!!”
เพื่อแสดงความกล้าหาญของตัวเอง อวี๋ชิงหย่าจึงชิงตัดหน้าเยี่ยเทียนเข้าไปในตัวเรือนก่อน แต่เมื่อเธอเห็นดอกไม้สดสวยเต็มสวนที่อยู่หลังประตูบานกลาง ก็อดร้องเสียงสูงขึ้นมาไม่ได้
“แม่สาวคนนั้นเจอผีใช่ไหมเนี่ย?”
“เจ้าหนุ่มนี่ก็เป็นคนยังไงเนี่ย ตัวเองไม่กลัวผี แต่ดันพาสาวเข้าไปด้วยเนี่ยนะ!”
“แต่รู้สึกว่า ตั้งแต่เช้าวันที่ยี่สิบเก้า ก็เหมือนจะไม่เห็นมีผีอะไรแล้วนะ?”
“แกเข้าไปดูมาแล้วรึไง? ฉันว่านะ เดี๋ยวแม่สาวนั่นก็คงวิ่งเตลิดกลับออกมาแล้ว ถ้าไม่เชื่อเรามาพนันกันไหมล่ะ!”
พอได้ยินเสียงกรีดร้องของอวี๋ชิงหย่า บรรดาคนที่ตั้งวงสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาทันที บางคนมีความเห็นว่า อีกไม่เกินสามนามที อวี๋ชิงหย่าก็จะต้องเผ่นออกมาแน่นอน
แต่ที่ทำให้พวกเขาผิดหวังคือ หลังจากเยี่ยเทียนปิดประตูด้านข้างลงแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงเล็ดรอดออกมาจากเรือนใหญ่นั้นอีกเลย บางคนที่ยังไม่ยอมตายใจถึงกับยืนรออยู่กลางลมหนาวเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง แต่ก็ไม่เห็นจะมีเรื่องตื่นเต้นอะไรให้ดูเลย
“เยี่ยเทียน ที่นี่…ที่นี่มันช่างสวยอะไรอย่างนี้นะ!”
ฝั่งข้างนอกประตูมีแต่หิมะทับถมกัน แต่ข้างในนี้กลับเต็มไปด้วยดอกไม้หอมกรุ่น ภาพที่ปรากฏแก่สายตานี้ ทำให้อวี๋ชิงหย่ายืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไปพักใหญ่ๆ ถึงจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาได้
แม้ว่าลานบ้านของเยี่ยเทียนจะกว้างใหญ่มาก แต่ทั่วทั้งลานบ้านนั้นไม่มีกระแสพลังพิฆาตอยู่เลยแม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายอย่างยิ่ง อวี๋ชิงหย่านึกสนุกขึ้นมา จับมือเยี่ยเทียนแล้วพูดขึ้นว่า “เยี่ยเทียน เรามาเล่นซ่อนแอบกันดีไหม?”
“คุณอายุเท่าไหร่แล้วคร้าบ? ยังจะเล่นซ่อนแอบอีก?” เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ จูงมือเล็กๆ ของอวี๋ชิงหย่าเดินไปนั่งลงที่สวนดอกไม้ในลานบ้าน “ชิงหย่า ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอน่ะ…”
อวี๋ชิงหย่าหันไปมองนั่นมองนี่ พลางถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เรื่องอะไรล่ะ? เยี่ยเทียน ในสระนี้มีปลาด้วยเหรอเนี่ย?”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปจับศีรษะของอวี๋ชิงหย่าที่กำลังหันมองไปทั่วนั้นไว้ แล้วตอบอย่างเคร่งขรึม “เรื่องเกี่ยวกับเราสองคนน่ะ!”
“เรื่องของเราสองคน มีอะไรหรือเยี่ยเทียน?” เมื่อเห็นท่าทีของเยี่ยเทียน อวี๋ชิงหย่าก็เริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง และยังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลอีกด้วย
“ชิงหย่า เธอรู้ไหมว่า ทำไมอาจารย์ถึงไม่แต่งงาน และไม่มีทายาทเลยตลอดทั้งชีวิตของท่าน?” เยี่ยเทียนถามขึ้น
“ก็อาจารย์นายเป็นนักพรตไม่ใช่รึ? นักพรตนี่แต่งงานได้ด้วยหรือ?” ทันใดนั้นอวี๋ชิงหย่าก็ร้องอุทานขึ้นมา “เยี่ยเทียน นายคงไม่ได้คิดจะออกบวชเหมือนท่านหรอกนะ? แล้ว…แล้วอย่างนั้นฉันจะทำยังไงล่ะ?”
“ใช่ที่ไหนเล่า? ใช้สมองคิดยังไงของเธอเนี่ย?”
เยี่ยเทียนเขกศีรษะอวี๋ชิงหย่าไปหนึ่งทีอย่างเคืองๆ “ชิงหย่า เธอก็รู้อยู่ว่า ฉันเป็นผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านรุ่นที่ห้าสิบเอ็ด คนที่ทำอาชีพอย่างพวกฉันน่ะ โดยปกติมักจะต้องอาภัพด้านใดด้านหนึ่งในห้าขาดตกสามบกพร่อง ที่อาจารย์ไม่ได้แต่งงานเลยตลอดชีวิต ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่แหละ!”
ที่เยี่ยเทียนพูดมานั้น ที่จริงแล้วเป็นสาเหตุเพียงครึ่งหนึ่ง หลังจากที่หลี่ซั่นหยวนเข้าเป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่านเมื่อวัยหนุ่ม ก็ได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะอุทิศเวลาและพลังทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาศาสตร์ลี้ลับของสำนักในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่
ดังนั้นตลอดชีวิตของพรตเฒ่าจึงไม่แต่งภรรยากำเนิดบุตร สาเหตุหนึ่งเพราะกลัวว่าชะตาที่บกพร่องของตนเองจะทำให้ครอบครัวพลอยลำบากไปด้วย ส่วนอีกประการหนึ่งก็เพราะว่า พรตเฒ่าต้องการจะเสียสละเพื่อสำนักนั่นเอง
“เยี่ย…เยี่ยเทียน แล้ว…แล้วนายจะโดนห้าขาดสามอะไรนั่นเหมือนกันรึเปล่าล่ะ?” อวี๋ชิงหย่าได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้นก็ใจหายใจคว่ำ มือเล็กๆ นั้นจับเยี่ยเทียนไว้แน่น ราวกับว่าถ้าคลายมือออกเขาก็จะหายตัวไปเลย
“ยายเด็กโง่ ถ้าฉันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงไม่มาหมั้นกับเธอแล้วละ”
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดต่อ “แต่ฉันจะต้องแก้ไขดวงชะตาของเธอหน่อย เธอจะได้ไม่ต้องมาพลอยรับโทษสวรรค์เพราะฉันเป็นสาเหตุไปด้วย แบบนี้ต่อไปพวกเราก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้แล้วละ!”
สาเหตุที่เขายังไม่ไปพบถังเหวินหย่วนนั้น หลักๆ ก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง
เยี่ยเทียนจะต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการตั้งค่ายอาคม สกัดพลังปราณบนร่างของอวี๋ชิงหย่าไว้ชั่วคราว แล้วใช้ศาสตร์ลี้ลับแก้ไขดวงชะตาของเธอ เพื่อให้กฎแห่งฟ้าไม่อาจส่งผลกระทบถึงพลังชี่ของอวี๋ชิงหย่าได้
เมื่อได้ฟังที่เยี่ยเทียนบอก อวี๋ชิงหย่าก็รีบพูดขึ้นว่า “งั้น…งั้นก็เร็วๆ เข้าเถอะ ต้องแก้ยังไงล่ะเยี่ยเทียน?”
“ไม่รีบหรอก วันนี้วิ่งวุ่นกันมาทั้งวันแล้ว นอนหลับพักผ่อนให้สบายก่อน พรุ่งนี้ฉันพร้อมเมื่อไหร่ก็จะแก้ชะตาให้เธอเลย!”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางลูบศีรษะของอวี๋ชิงหย่า พลางคิดว่าตัวเองผ่านช่วงติดขัดไปแล้ว ตามที่อาจารย์กล่าวไว้ เขาก็สามารถที่จะละพรหมจรรย์ได้แล้ว จิตใจของเยี่ยเทียนเองก็กำลังระอุคุกรุ่น สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย เขาก็เคยแอบไปดูหนังอย่างว่าตามร้านฉายวิดีโอเถื่อนกับสวีเจิ้นหนานมาเหมือนกัน
หลังจากนั่งคุยกับอวี๋ชิงหย่าในสวนไปพักหนึ่ง เยี่ยเทียนก็เกลี้ยกล่อมเธอให้ไปนอนในห้อง แต่เขาเองกลับเดินมาทำงานยุ่งอยู่ที่ห้องด้านนอก
“ไม่ได้ทำมาช่วงนึงแล้ว ฝีมือเริ่มตกไปจริงๆ แฮะ!” มือซ้ายของเยี่ยเทียนถือหยกขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง มือขวาถือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง และกำลังสลักเสลาหยกชิ้นนั้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าเยี่ยตงผิงมาเห็นเข้า คงได้ถือมีดทำครัวไล่ล่าสังหารลูกชายไปจนสุดขอบโลกแน่ๆ เพราะหยกชิ้นนั้น เป็นถึงหยกเหอเถียนชั้นดีจากซินเจียงที่เขาซื้อมาแสนกว่าหยวนเลยทีเดียว
การเจียระไนหยกนั้นเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน หลังจากเร่งมือมาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขันดังแว่วมาแต่ไกล เยี่ยเทียนถึงจะแกะสลักหยกชิ้นนี้เสร็จสิ้นไปได้ และกำลังวางไว้บนฝ่ามือพลางพิจารณาดูแล้วดูอีก
ชิ้นหยกที่ตอนแรกเป็นเพียงรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้น ยามนี้กลับกลายเป็นหุ่นสลักรูปอวี๋ชิงหย่าไปแล้ว เค้าหน้าเหมือนตัวจริงทุกรายละเอียด มองเห็นเส้นผมเป็นลายชัดเจน หลังจากที่พลังฝีมือของเยี่ยเทียนพัฒนาขึ้นมาก ทักษะในการควบคุมมือของเขาก็ประณีตละเอียดขึ้นตามไปด้วย
เมื่อแกะสลักหุ่นอวี๋ชิงหย่าเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมีดสั้นอู๋เหินและเหรียญต้าฉีทงเป่าออกมา พร้อมด้วยเครื่องรางนักษัตรที่เหลืออยู่อีกสองเหรียญสุดท้าย แล้วเริ่มตั้งค่ายอาคมสี่ลักษณ์สะกดปราณในลานบ้าน
อาคมชนิดนี้สามารถสะกดควบคุมพลังปราณของคนได้ แต่ถ้าต้องการจะฝืนชะตาฟ้า ก็จะต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการพัฒนาอาคมนี้ ดังนั้นตลอดช่วงกลางวันในวันนั้น เยี่ยเทียนจึงหมดเวลาไปกับการพัฒนาอาคมจนหมด
“เยี่ยเทียน นี่จะทำอะไรน่ะ?” เมื่อเห็นพื้นที่ว่างตรงหน้า อวี๋ชิงหย่าก็ชักจะสงสัยขึ้นมา เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมเยี่ยเทียนต้องให้เธอไปนั่งบนม้านั่งกลางที่โล่งๆ นั่นด้วย?
“ไม่ต้องถามมากหรอก เดี๋ยวไม่ว่าเธอจะเห็นอะไร ก็อย่าพูดอะไรออกมาทั้งนั้นนะ ฉันตั้งค่ายอาคมนี่ขึ้นมาเพื่อแก้ดวงชะตาให้เธอนั่นแหละ!”
เยี่ยเทียนสีหน้าเคร่งขรึม เขายังไม่เคยใช้ศาสตร์ลับวิชานี้มาก่อนเลย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่ว่า ต่อให้การแก้ชะตาล้มเหลว อวี๋ชิงหย่าก็ยังคงไม่เป็นอันตรายอะไรแล้วละก็ เยี่ยเทียนก็คงไม่กล้าใช้วิธีนี้หรอก
“อืม รู้แล้วละ ฉันจะไม่พูดเด็ดขาดเลย!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางจริงจัง อวี๋ชิงหย่าก็พยักหน้า แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในเขตอาคมอย่างว่าง่าย มองดูเยี่ยเทียนตาไม่กระพริบ
“อาคมนี่ใช้ได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ!”
หลังจากอวี๋ชิงหย่าเข้าไปในเขตอาคมสี่ลักษณ์สะกดปราณแล้ว แม้ว่าตาของเยี่ยเทียนจะยังมองเห็นอวี๋ชิงหย่าได้อยู่ แต่กลับสัมผัสถึงพลังชี่บนร่างของอวี๋ชิงหย่าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอได้อันตรธานไปต่อหน้าเขาแล้วก้ไม่ปาน
เยี่ยเทียนหยิบหุ่นสลักรูปอวี๋ชิงหย่าที่เตรียมไว้แล้วออกมา จากนั้นก็นำเส้นผมของอวี๋ชิงหย่ามาอีกเส้นหนึ่ง ใช้ศาสตร์ลับเค้นพลังปราณของอวี๋ชิงหย่าที่มีอยู่ในเส้นผมนั้นออกมา แล้วถ่ายเข้าสู่หุ่นหยกนั้น
จากนั้นเยี่ยเทียนก็ก้าวเดินเป็นรูปยันต์แปดทิศ สองมือวาดยันต์กลางอากาศ ท่องแปดอักขระวันเดือนปีและเวลาเกิดของอวี๋ชิงหย่าใส่เข้าไปในหยก หลังจากขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้นลง เยี่ยเทียนก็เหงื่อออกเต็มหน้าผาก จึงนั่งลงไปพักผ่อนสักครู่หนึ่ง
ศาสตร์ลับที่เยี่ยเทียนใช้อยู่นี้ ที่จริงแล้วเป็นไสยศาสตร์โบราณแขนงหนึ่ง ซึ่งจะสะเดาะเคราะห์ร้ายโดยใช้นำหยกที่แกะสลักเป็นตัวแทนของคน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนได้รับถ่ายทอดวิชามาจากท่านปรมาจารย์ ศาสตร์ลี้ลับแขนงนี้ก็คงจะสาบสูญไปนานแล้ว
หลังจากพักผ่อนไปได้ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นยืน สองมือเริ่มนับนิ้วจับยาม ปากก็ตะเบ็งเสียงว่า “เก้าราศีเคลื่อนคล้อย ก่อกำเนิดวนเวียน งามเลิศเจิดจรัส จิตเดิมแยกสลาย หยุดเมฆาอาบตะวัน ทะยานร่างสู่ตำหนัก สรรพสิ่งในโลก จงให้ข้าหยั่งรู้!”
เมื่อเยี่ยเทียนเปล่งเสียงบริกรรมคาถา ภายในบ้านซื่อเหอย่วนที่ไม่มีเสียงลมเลยแม้แต่น้อยนั้น จู่ๆ พลังชี่ก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา ม่านป้องกันล่องหนที่ปกคลุมอยู่เหนือบ้านซื่อเหอย่วนนั้น ก็ดูราวกับถูกพลังมหาศาลอย่างหนึ่งฉีกทำลายลง อากาศอันหนาวเย็นพุ่งถาโถมเข้ามาทันที
ขณะเดียวกันบนฟ้าเหนือบ้านซื่อเหอย่วนของเยี่ยเทียน เมฆดำกลุ่มหนึ่งก็เริ่มก่อตัวขึ้น แต่ตอนแรกท้องฟ้าก็มืดอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดูสะดุดตามากนัก
“ญาณศักดิ์สิทธิ์รุ่งเรือง ดำรงตราบนิรันดร์ ในบัดดล!”
เยี่ยเทียนตะเบ็งเสียงออกไปอีกครั้ง เมื่อเสียงเปล่งออกไป สายฟ้าลำหนึ่งก็พุ่งผ่าลงมาทันที โดยผ่าลงไปที่หุ่นแกะสลักที่อยู่ตรงหน้าห่างจากเยี่ยเทียนหนึ่งเมตรเข้าอย่างจัง
สายฟ้าที่ปรากฏให้เห็นและเสียงที่ดังสนั่นอยู่ใกล้ๆ นั้น ทำเอาอวี๋ชิงหย่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ในใจเธอก็ยังคงจดจำสิ่งที่เยี่ยเทียนกำชับไว้ได้อยู่ จึงขบริมฝีปากแน่น ไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย
“ดวงจิตแก่นแท้ จงสื่อสารกับข้า เพี้ยง!”
เมื่อเห็นหุ่นแกะสลักนั้นสลายเป็นเถ้าถ่านไปท่ามกลางสายฟ้าแลบ เยี่ยเทียนก็มีสีหน้ายินดีปรีดา หลังจากตะโกนคาถาคำสุดท้ายออกมาแล้ว โลหิตที่กักอยู่ในลำคอก็กระอักออกมา ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้น