หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 254 มาหาถึงบ้าน
“ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง…”
เยี่ยเทียนกำลังใส่ผ้ากันเปื้อน และกำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวของเรือนกลางบ้านอย่างขมักเขม้น จู่ๆ ได้ยินเสียงกดกริ่งประตูดังมาจากห้องเซียงฝางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่สนใจ และนำยาสมุนไพรที่ชั่งตามน้ำหนักใส่ลงไปในหม้อยาทีละอย่าง
“ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้จะไม่ติดตั้งกริ่งประตูเลย!”
เนื่องจากเสียงกดกริ่งที่ดังไม่หยุด เยี่ยเทียนจึงนำยาสมุนไพรใส่ลงไป และหลังจากปรับไฟของเตาแก๊สเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกไป
แต่ก่อนบ้านหลังใหญ่แบบนี้จะมีคนคอยเฝ้าประตูอยู่ และยังแบ่งเป็นประตูใหญ่กับประตูสองห้องที่ขนาบข้างอีกด้วย ถ้าหากมีคนมาเยี่ยมเยียน ก็จะผ่านประตูห้องใหญ่ไปยังประตูที่สอง สุดท้ายจึงจะแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบ และนี่ก็คือสัญลักษณ์ในการแสดงฐานะอย่างหนึ่ง
แต่บ้านห้องชุดสี่ห้องในตอนนี้ มีเยี่ยเทียนอาศัยอยู่คนเดียว เพราะตัวของเขามีความลับมากกมายเกินไป จึงไม่อยากจ้างคนเฝ้าประตู และเยี่ยตงผิงก็เคยมาหาเขาที่บ้านสองสามครั้งตะโกนอย่างไรก็ไม่เปิดประตู สุดท้ายด้วยความโกรธจึงติดตั้งกริ่งประตูในบ้านหลังนี้
เยี่ยเทียนล้างมืออย่างช้าๆ จากนั้นจึงเดินไปในห้องของตัวเองที่อยู่ตรงลานหลังบ้าน แล้วจึงเทยาลูกกลอนสีดำสนิทขนาดเท่าลูกลำไยออกมาสามเม็ดจากขวดพอร์ซเลน[1] หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงใส่กลับเข้าไปหนึ่งเม็ด
ยารักษาอาการบาดเจ็บนี้ท่านนักพรตเป็นคนกลั่นปรุงด้วยตัวเอง ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็มีผลการรักษาที่ดีเยี่ยมต่อแผลที่บอบช้ำภายใน เพียงแต่ยาสุมนไพรที่ต้องใช้นั้นค่อนข้างล้ำค่า ทำให้เยี่ยเทียนไม่สามารถปรุงยาออกมาได้เสียที
“ตงผิง หรือเยี่ยเทียนจะไม่อยู่บ้านหรือเปล่า?”
ตรงหน้าประตูบ้านหลังใหญ่ของเยี่ยเทียน มีคนยืนอยู่ห้าถึงหกคน นอกจากถังเหวินหย่วนที่พาหลานสาวกับอาติงและตู้เฟยมาด้วยแล้ว ก็ยังมีเยี่ยตงผิงตามมาด้วยอีกคน
ถังเหวินหย่วนมาหาเยี่ยเทียนที่บ้านสองสามครั้ง ถึงแม้จะไม่เคยเจอตัวเยี่ยเทียนเลย แต่กลับทำให้เขารู้จักกับเยี่ยตงผิง และเนื่องจากถังเหวินหย่วนให้ความเคารพในตัวของเยี่ยเทียน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยวางมาดของผู้อาสุโวกว่าต่อหน้าเยี่ยตงผิง
หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้าพลางพูด “เป็นไปไม่ได้ หลังจากเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ไปออกกำลังกายตอนเช้า ตอนนี้ก็ต้องอยู่ในบ้าน”
แต่ก่อนเวลาที่เยี่ยเทียนออกกำลังกายตอนเช้า เขาจะไปวิ่งที่สวนหย่อมเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกเขตบ้านชุดสี่ห้อง แต่ตอนนี้ในบ้านเต็มไปด้วยพลังหลิงชี่ เขาจึงไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกแล้ว
“คุณเยี่ย คุณไม่มีกุญแจของบ้านหลังนี้ใช่ไหมครับ?”
ถ้าจะพูดว่าใครร้อนใจที่สุดในสองสามคนนี้ ก็ต้องเป็นตู้เฟยอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากกลับไปเมื่อวานเขาก็ได้ลองเดินวรยุทธ์ แต่ใครจะรู้ว่าตอนนั้นได้ทำให้อวัยวะภายในทั้งห้าสั่นสะเทือนอย่างหนัก และกระอักเลือดออกมา
ด้วยเหตุนี้ตู้เฟยจึงเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียนโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก และเวลาประมาณหกโมงเช้าเขาจึงปลุกถังเหวินหย่วนและคนอื่นๆ ขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คุณเยี่ยเทียนโกรธ คาดว่าเขาคงจะมาเคาะประตูบ้านเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว
“กุญแจมีครับ แต่…แต่เวลาที่เสี่ยวเทียนกำลังฝึกวรยุทธ์จะไม่ชอบให้ใครรบกวนครับ”
ผู้เป็นพ่อไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปในบ้านของลูกชาย และตอนที่เยี่ยตงผิงพูดถึงตรงนี้เขาจึงทำสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เพราะเขาเคยไขกุญแจเข้าไปในบ้านครั้งหนึ่ง และเกือบทำให้เยี่ยเทียนที่กำลังเดินวรยุทธ์โจวเทียนอยู่นั้นแทบกระอักเลือด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะเปิดประตูใหญ่ให้ทุกคนไปรอข้างในนะครับ!” เมื่อเห็นว่านานแล้วเยี่ยเทียนก็ยังไม่เปิดประตูเสียที เยี่ยตงผิงจึงทนไม่ไหว หยิบกุญแจออกมาเตรียมไขประตูด้านข้าง
“อย่าเลยครับ พวกเราก็รออีกหน่อยดีกว่าครับ!” ตู้เฟยคว้ามือของเยี่ยตงผิงเอาไว้ เพราะชีวิตน้อยๆ ของเขาอยู่ในกำมือของเยี่ยเทียน จึงไม่อยากทำอะไรให้เยี่ยเทียนไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว
“มากันครบทุกคนเลยเหรอ? หืม พ่อครับ พ่อมาได้ยังไง?”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยอยู่ข้างนอก ประตูที่ปิดสนิท ในที่สุดก็มีเสียงเปิดประตู ดังกึกออกมา และเงาร่างเยี่ยเทียนก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตู
และบนไหล่ของเยี่ยเทียน ยังมีสัตว์ขนขาวราวกับหิมะเกาะอยู่ด้วย ดวงตาดำทั้งสองข้างส่องประกายระยิบระยับเหมือนกับอัญมณีสีดำ กำลังกลอกตามองทุกคนไปมา
เยี่ยตงผิงที่รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าเมื่อครู่ เมื่อรู้ตัวจึงพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ไอ้ลูกคนนี้เป็นอะไร? กดกริ่งนานครึ่งค่อนวันแล้วทำไมถึงไม่เปิดประตู? ช่างเถอะ แขกก็มาหมดแล้ว เข้าไปพูดข้างในเถอะ!”
เยี่ยตงผิงพูดพลางผลักลูกชายออก แล้วจึงเดินตรงเข้าไปในลานบ้าน แต่เยี่ยเทียนกลับมาขวางทางเอาไว้ เหมือนไม่ต้องการเชิญใครเข้ามา
หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว เยี่ยตงผิงจึงหันหน้ามามอง และถามอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“พ่อ บ้านของผมไม่ใช่ใครจะเข้าได้นะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะให้พ่อ แล้วจึงควักยาเม็ดที่ห่อด้วยกระดาษสีเหลืองออกมาจากกระเป๋า โยนไปให้ตู้เฟยพลางพูด “ยาแต่ละเม็ดให้แบ่งออกเป็นเศษหนึ่งส่วนสาม ใช้น้ำอุ่นผสมแล้วค่อยดื่ม โดยดื่มหนึ่งครั้งในช่วงเช้า กลางวัน และตอนเย็นติดต่อกันสองวัน จากนั้นใช้ฉั่งฉิกต้มกับหญ้าฝรั่น แล้วดื่มต่อไปอีกหนึ่งอาทิตย์ อาการบาดเจ็บของคุณก็จะหายดี!”
แท้จริงแล้วถ้าหากเยี่ยเทียนให้ยาลูกกลอนสามเม็ดกับตู้เฟย ก็จะสามารถรักษาแผลบอบช้ำภายในของเขาได้ภายในเวลาสามวัน แต่ยาลูกกลอนนี้เป็นของอาจารย์ที่ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นจึงเหลือไม่มาก อีกทั้งแผลหายช้าไปสองสามวันก็ไม่ทำให้คนตายได้หรอก เพียงแต่ตู้เฟยต้องทนรับความทุกข์ทรมานไปอีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นเอง
แน่นอนว่า ตู้เฟยไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว หลังจากเขารับยาลูกกลอนมาแล้ว จึงพูดพลางโค้งคำนับ “ขอบคุณคุณชายครับ ตู้เฟยจะจดจำบุญคุณของคุณไม่มีวันลืมครับ!”
“ยังอยากจะกลับไปสู้อีก?” เยี่ยเทียนถลึงตามองหนึ่งที เพราะทำไมฟังคำนี้แล้วถึงรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร? เดิมทีเป็นเพราะเขาทำตัวเองให้เจ็บเอง แล้วจะมีบุญคุณเข้ามาเกี่ยวข้องได้ยังไง?
“จี๊ดจี๊ด..จี๊ดจี๊ด!” เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความจงใจของเยี่ยเทียน เจ้าขนฟูจึงยืนบนไหล่ของเยี่ยเทียน แล้วทำเสียงขู่ออกมาจากปากของมันไปที่ตู้เฟย
“พอเลย แกอยู่นิ่งๆ ไปเลย จะซนไปถึงไหน หืม?”
เยี่ยเทียนตบเจ้าขนฟูอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่เขาสั่งไม่ให้คนเอาแกะมาส่งอีก เจ้าตัวนี้ก็ไม่มีเป้าให้โจมตี ทำให้มีนิสัยดุขึ้น แถมเมื่อวานยังกล้าแยกเขี้ยวยิงฟันใส่คุณยายอีกด้วย
“จีจี!”
เมื่อถูกเยี่ยเทียนตบเบาๆ เจ้าขนฟูจึงใช้อุ้มเท้าหน้าทั้งสองข้างมาปิดตา และท่าทางน่ารักแบบนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกน่ารักน่ามันเขี้ยวจริงๆ
“พี่เยี่ยเทียน หนู…หนูขออุ้มมันหน่อยได้ไหมคะ?” นัยน์ตาของถังเสวียเสวี่ยเปล่งประกายแวววาวเหมือนดวงดาว อยากอุ้มสัตว์ตัวเล็กน่ารักตัวนั้นมาอยู่ในอ้อมอกอย่างอดใจไม่ไหว
“เสวียเสวี่ย เธออย่าไปหาเรื่องมันนะ!”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันพูด เยี่ยตงผิงก็ตกใจทันที เพราะเขาเคยเห็นท่าทางของเจ้าสัตว์ตัวเล็กนี้โจมตีแกะมากับตาตัวเอง การเคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้าแลบ พอกระโจนขึ้นไปได้ก็กัดหมับเข้าไปที่คอของแกะแล้ว
“ใช่ เสวียเสวี่ย มันไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้า เธออย่าอุ้มมันเลย!” เยี่ยเทียนพยักหน้า เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่ให้เจ้าขนฟูสัมผัสกับคนภายนอก อีกทั้งยังเป็นการรักษาระดับการโจมตีของเจ้าเฟอร์เร็ต ด้วย
ต้องรู้ว่า เจ้าเฟอร์เร็ตเป็นสัตว์ดุร้ายแม้แต่เสือดาวหิมะยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน เยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้มันกลายเป็นแกะที่เชื่องมากเกินไป
เมื่อถูกเจ้าขนฟูขัดจังหวะ จึงทำให้มาดของความสั่นสะเทือนที่สยบตู้เฟยเมื่อครู่คลายลงไป ทำให้ตู้เฟยที่ตื่นเต้นไม่หยุดโล่งอก แล้วจึงเอ่ยพูด “คุณชาย ถ้าหากคุณให้ความกล้าแก่ผมอีก ผมก็ไม่กล้าโกรธเกลียดคุณหรอกครับ!”
“อืม มานี่ผมมีอะไรจะพูดกับคุณ” เยี่ยเทียนกวักมือเรียกตู้เฟย แล้วจึงเดินไปนอกประตูพูดกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค จากนั้นตู้เฟยจึงพยักหน้า สุดท้ายก็ยังเอามือตบหน้าอก
หลังจากพูดกำชับตู้เฟยเรียบร้อยแล้วเยี่ยเทียนจึงโบกมือพลางพูด “โอเค งั้นคุณก็กลับไปได้ และในหนึ่งอาทิตย์นี้ก็ห้ามไปมีเรื่องกับใครนะ”
“ครับ คุณชาย เรื่องนั้นผมจะจัดการให้คุณอย่างเรียบร้อยครับ!” ตู้เฟยรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากให้เขาเข้าไปในลานบ้าน จากนั้นเขาอำลาถังเหวินหย่วนทันทีแล้วตัวเองก็กลับไป
หลังจากตู้เฟยกลับไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงมองเห็นเพื่อนบ้านหลายคนออกมาแต่ไกลๆ เขาจึงหมุนตัวพูดกับถังเหวินหย่วน “ไปกันเถอะครับ เข้าไปพูดข้างใน ว่าแต่ท่านผู้เฒ่า ท่านต้องเตรียมเงินไว้ให้เรียบร้อยนะครับ!”
มองดูเยี่ยเทียนทำท่าทางเล่นแง่ ถังเหวินหย่วนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “วางใจได้ครับ ผมยังต้องใช้หน้าตาแก่ๆ ใบนี้อยู่ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็จะให้เงินคุณครบแน่นอนครับ!”
“ถังเหล่า คุณพาถังเสวียเสวี่ยเข้าไปก่อนนะครับ…”
เยี่ยตงผิงหลีกทางให้ เพื่อให้ถังเหวินหย่วนปู่หลานเข้าไปก่อน จากนั้นเขาจึงดึงเยี่ยเทียนเอาไว้แล้วถาม “เยี่ยเทียน เกิดเรื่องอะไรกับลูก? ทำไมตาแก่นั่นถึงเรียกลูกว่าคุณชาย? หรือว่าลูกเข้าไปอยู่ในแก๊งมาเฟียใช่ไหม?”
“พ่อคิดไปถึงไหนกัน?”
เยี่ยเทียนถูกคำพูดของพ่อจนร้องไห้และหัวเราะไม่ออก จากนั้นจึงพูดเสียงทุ้มต่ำ “ตาแก่นั่นเป็นเด็กรุ่นหลังของอาจารย์ผม ถ้าหากนับตามศักดิ์แล้วเขาต้องเรียกผมว่าปู่ แต่ผมให้เขาเรียกว่าคุณชายก็ถือเป็นการไว้หน้าเขาแล้ว”
“อ้อ เป็นอย่างนี้เองเหรอ? เยี่ยเทียน เขาก็อายุมากขนาดนั้นแล้ว ต่อไปถ้าเจอเขาอีกก็อย่าพูดอะไรที่รุนแรงเกินไป อ้อใช่ เมื่อครู่ลูกคุยอะไรกับคนนั้น? เห็นเขาทั้งพยักหน้าทั้งตบหน้าอก?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เยี่ยตงผิงจึงเข้าใจทุกอย่าง เพราะเขารู้สึกตกใจมากเมื่อรู้ว่าหลี่ซั่นหยวนอายุมากขนาดไหน ดังนั้นการมีเด็กรุ่นน้องอายุหกสิบกว่าปีจึงเป็นเรื่องปกติ
“พ่อครับ ผมรู้แล้ว เมื่อครู่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่พูดอะไรเรื่องเปื่อย ไปกันเถอะ พ่อรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว…”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางผลักพ่อเข้าไปข้างในลานบ้าน แล้วจึงพูดเปลี่ยนประเด็น ความจริงเมื่อครู่เขากำชับให้ตู้เฟย ไปสืบเรื่องของซ่งเสี่ยวหลง
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่ศัตรูอยู่ในที่ลับตัวเองอยู่ในที่แจ้ง บวกกับครอบครัวตัวเองเป็นครอบครัวใหญ่ เขากลัวจริงๆ ว่าถ้าหากซ่งเสี่ยวหลงคิดแผนสกปรก แล้วทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน เยี่ยเทียนคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากปิดประตูด้านข้างแล้ว เยี่ยเทียนจึงหันไปเห็นถังเหวินหย่วนปู่หลานทั้งสองคนกำลังยืนเหม่ออยู่หน้าลานบ้าน แล้วจึงอดพูดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นยังไงบ้างครับ?เมื่อวานเสนอราคาให้คุณ ตอนนี้คงไม่รู้สึกขาดทุนใช่ไหมครับ?”
หลังจากถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนจึงรีบพูดทันที “ไม่…ไม่ขาดทุน ไม่ขาดทุนครับ!” ถังเหวินหย่วนนึกไม่ถึงว่า ประตูด้านในและประตูด้านนอก เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละโลกเลยทีเดียว
บ้านชุดสี่ห้องที่ตกแต่งใหม่นี้ ในสายตาของเขาไม่ได้แปลกอะไรมาก ดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้ถังเหวินหย่วนก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตที่ฮ่องกงของเขา ก็มีดอกไม้สดบานตลอดทั้งสี่ฤดูอยู่แล้ว
แต่อากาศของที่นี่ กลับทำให้ถังเหวินหย่วนตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปภายในร่างกายแล้ว ถังเหวินหย่วนก็รู้สึกว่าร่างกายทั้งตัวของเขาเหมือนจะเบาขึ้นมาก และระหว่างที่หายใจเข้าและหายใจออก ก็รู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย แขนขาที่เชื่องช้าเหมือนจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากขึ้น
ไม่ใช้แค่ถังเหวินหย่วนที่รู้สึกแบบนี้ หลังจากที่ถังเสวียเสวี่ยเข้ามาที่นี่ ก็รู้สึกร่างกายอบอุ่นไปทั้งตัว พลังหยินพิฆาตที่ทรมานเธอมานานนับสิบกว่าปี ก็เหมือนจะหายไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงของสองคนปู่หลาน เยี่ยเทียนจึงพูดพลางยิ้ม “โอเค พวกเราไปนั่งที่เรือนลานกลางบ้านดีกว่าครับ ห้องของเสวียเสวี่ยนั้นให้เลือกด้วยตัวเองได้ แต่ผ้าห่ม ฟูกและหมอนต้องซื้อใหม่นะครับ”
…………
[1] ขวดเซรามิกเนื้อขาว