หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 255 เรื่องยุ่ง
“ที่นี่อยู่สบายจังเลยค่ะคุณปู่ เสวียเสวี่ยไม่รู้สึกหนาวแล้วละค่ะ!” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูด ถังเสวียเสวี่ยก็โห่ร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
เพราะข้อจำกัดทางร่างกาย ตั้งแต่เด็กถังเสวียเสวี่ยจึงมักจะรู้สึกหนาวเย็นไปจนถึงไขกระดูก ถึงจะไปนั่งอยู่ข้างเตาไฟก็ไม่มีประโยชน์ ทว่าตั้งแต่เดินเข้ามาในลานบ้านนี้ ความหนาวเย็นนั้นก็อันตรธานหายไปทันที
เยี่ยเทียนตบไหล่ถังเหวินหย่วน ยิ้มแย้มพลางถามว่า “เป็นไง คุ้มกับเงินที่คุณจ่ายไปไหมล่ะ?”
ถังเหวินหย่วนพยักหน้ารัวๆ แล้วลองถามหยั่งเชิงดูว่า “คุ้ม คุ้มที่สุดเลย เยี่ยเทียน ถ้ายังไง…ให้ผมอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเสวียเสวี่ยด้วยเลยดีไหม?”
อาณาจักรธุรกิจของถังเหวินหย่วนนั้นมีรากฐานมั่นคงมานานแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ภายใต้การบริหารของบรรดาลูกหลานของเขาทั้งหมดแล้ว ปกติเวลาเขาอยู่ที่ฮ่องกงก็มีแต่ไปจิบชาตีกอล์ฟกับพวกเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ จริงๆ ก็ไม่ได้มีงานอะไรให้ทำอยู่แล้ว
ดังนั้นหลังจากที่สัมผัสได้ถึง ‘อากาศ’ อันสะอาดสดชื่นในบ้านซื่อเหอย่วนของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็เกิดความคิดที่จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ในระยะยาว เขารู้สึกได้เลยว่า ถ้าได้อยู่ที่นี่สักหนึ่งวัน ต่อให้ไม่ใช้ยาอะไร โรคประจำตัวของเขาแต่ละโรคก็น่าจะอาการทุเลาลงไปได้มากเลยทีเดียว
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ร่างกายแบบคุณน่ะไม่ได้หรอก อย่างมากที่สุดก็อยู่ได้แค่อาทิตย์ละสองวัน ไม่อย่างนั้นถ้าบำรุงมากไปกลับจะกลายเป็นแย่เอา…”
ถังเหวินหย่วนไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรมากมาย เพียงแต่อายุมากแล้ว ร่างกายจึงชราภาพไปตามปกติเท่านั้นเอง ถ้ามาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน กลับจะทำให้เกิดโรคขึ้นมาเสียอีก
ส่วนถังเสวียเสวี่ยนั้นถึงจะร่างกายอ่อนแอ แต่การบำรุงด้วยปราณวิเศษนั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่พอดี ปราณวิเศษที่มีอยู่ทั่วบ้านนี้มีแต่จะช่วยฟื้นฟูระบบร่างกายของเธอ และทำให้เส้นลมปราณภายในกายของเธอค่อยๆ แข้งแกร่งขึ้นมา
“งั้นเอาอย่างนี้ไหม ผมมาอยู่ที่นี่ทุกวัน วันละหกชั่วโมง ตอนเย็นก็กลับไปอยู่บ้านตัวเอง ดีไหมล่ะ?” ถังเหวินหย่วนถามต่ออย่างไม่ยอมตายใจ
“ถ้าคุณอยากจะตายเร็วๆ ก็ทำแบบนั้นไปเถอะ แต่อย่ามาหาว่าผมไม่ได้เตือนคุณล่ะ”
เยี่ยเทียนขึงตาใส่ชายชราคนนี้อย่างไม่สบอารมณ์ ระหว่างรับปราณวิเศษหกชั่วโมงกับหนึ่งวันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร ถ้าถังเหวินหย่วนจะทำแบบนั้นจริงๆ ละก็ ไม่ถึงหนึ่งเดือนเขาก็คงจะถึงขีดจำกัดแล้ว
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนว่าอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ได้แต่ตอบไปว่า “ก็ได้ อย่างนั้นก็อาทิตย์ละสองวัน…”
ภาษิตว่า คนยิ่งสูงวัยยิ่งทรงปัญญา ถังเหวินหย่วนไม่คิดจะถามเยี่ยเทียนเลยว่า ทำไมบ้านซื่อเหอย่วนหลังนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ เพราะเขารู้ว่า ถ้าตัวเองถามมากไป นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว กลับจะทำให้เยี่ยเทียนอารมณ์เสียขึ้นมาเสียอีก
เยี่ยเทียนพยักหน้า “อืม พวกชุดเครื่องนอนน่ะให้คนมาส่งไว้ที่โรงรถหลังบ้านก็แล้วกัน แล้วผมจะช่วยเอาเข้ามาให้ เพราะที่นี่ไม่เหมาะให้คนนอกเข้ามา…”
“ใช่ๆ ที่นี่น่ะให้คนนอกเข้ามาไม่ได้หรอก!”
ถังเหวินหย่วนเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาจ่ายเงินมาพักที่นี่วันละหนึ่งล้าน ก็เพื่อที่จะซื้ออากาศที่มองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้เหล่านี้ไม่ใช่หรอกรึ?แล้วจะยอมให้คนอื่นมาสูดอากาศที่นี่โดยไม่เสียเงินสักแดงได้อย่างไรกัน?
“อ้าว เยี่ยเทียน ที่บ้านคุณนี่ไม่มีสัญญาณหรือ?” ถังเหวินหย่วนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าที่พกติดตัวมาด้วย แต่พอเห็นจอแล้วก็ต้องอึ้งไป เพราะโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมที่เขาสั่งผลิตเป็นพิเศษเครื่องนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องมีสัญญาณทั้งนั้น
“ในห้องทางโน้นมีโทรศัพท์บ้านอยู่ คุณไปใช้ก็ได้นะครับ…”
เยี่ยเทียนพาสองปู่หลานเดินไปที่เรือนกลาง “ห้องที่นี่พวกคุณเลือกกันตามสบายเลยนะ อยู่ได้หมด แต่ห้องครัวในเรือนกลางนี่พวกคุณอย่าเข้าไปนะ เพราะห้องนั้นผมใช้ต้มยาอยู่ นอกจากนั้นเรือนหลังก็อย่าเข้าไปเหมือนกัน!”
“หนูทราบแล้วค่ะพี่เยี่ยเทียน แต่ว่า…แต่ว่า…” ถังเสวียเสวี่ยท่าทางเหมือนอยากจะขออะไรบางอย่าง แต่โตมาจนป่านนี้แล้วเธอก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขอร้องอะไรจากใครเลย ดังนั้นถึงอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
“แม่หนูน้อย มีอะไรก็พูดมาเถอะ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ แล้วยื่นมือออกไปลูบศีรษะของถังเสวียเสวี่ย เธอน่าจะอายุมากกว่าหลิวหลันหลันไปสักปีสองปี แต่เพราะเป็นโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาด ทำให้ดูเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่สิบห้าปี เยี่ยเทียนเองก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสารอยู่เหมือนกัน
ถังเสวียเสวี่ยชี้ไปที่เหมาโถวซึ่งแอบมาจับปลาในบ่อตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ และกำลังสวาปามปลาตัวนั้นอยู่พอดี “พี่เยี่ยเทียนคะ ถ้าหนูมาอยู่ที่นี่คนเดียว คุณปู่ไม่อยู่ด้วย ก็คงจะเหงาแน่ๆ เลย พี่…พี่ให้มันมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนหนูได้ไหมละคะ?”
“เหมาโถว อยากโดนตีอีกแล้วใช่ไหม?”
พอเห็นเหมาโถวกำลังขโมยปลากิน เยี่ยเทียนก็มีน้ำโหขึ้นมาทันที ก้าวเข้าไปคว้าคอของเจ้าตัวน้อยนั้นไว้ แล้วด่าว่า “แกนี่มันรู้จักแต่กินล้างกินผลาญ ปลาทั้งบ่อจะโดนแกกินจนหมดบ่ออยู่แล้วเนี่ย”
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ!” เหมาโถวรู้ตัวว่าก่อเรื่องอีกแล้ว แต่ก็ทำหน้าเฉยเมยไม่แยแส ปล่อยให้เยี่ยเทียนอบรมไปตามสบาย
ถังเสวียเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ พลันพูดขึ้นว่า “พี่เยี่ยเทียน หนู…หนูจะให้คุณปู่ซื้อปลามาไว้ในบ่อดีไหมคะ?พี่…พี่อย่าไปด่ามันเลยนะ!”
ถังเสวียเสวี่ยพูดเสียงจ่อยๆ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอย่างกับว่าตัวเองไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรมา จึงตอบไปอย่างฉุนๆ “เธอเลี้ยงไว้กี่ตัวก็ไม่พอให้มันกินหรอก เอาเถอะ ต่อไปให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอก็แล้วกัน”
พอปล่อยเหมาโถว เจ้าตัวน้อยก็โดดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของถังเสวียเสวี่ยทันที ทำให้เยี่ยเทียนออกจะประหลาดใจอยู่ ปกติเจ้านี่ก็ไม่ได้เชื่องขนาดนี้นี่นา?
แต่เมื่อเห็นเหมาโถวทำหน้าเคลิ้ม เยี่ยเทียนก็เข้าใจในทันที ถังเสวียเสวี่ยเส้นลมปราณเก้าหยินขาดมาตั้งแต่เกิด ร่างกายจึงมีไอปราณหนาวเย็น ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเจ้าตัวนี้พอดี
เยี่ยเทียนชี้ไปที่ห้องด้านข้างแล้วบอกว่า “เสวียเสวี่ย เธอกับคุณปู่ไปโทรศัพท์เถอะ โทรเสร็จแล้วก็ไปเลือกห้องนะ…”
ถังเหวินหย่วนแทบจะทนรอไม่ไหวอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ก็เข้าห้องไปต่อสายโทรศัพท์ทันที เขามีกิจการที่ปักกิ่งอยู่หลายกิจการเหมือนกัน จึงมีธุระหลายอย่างที่ต้องมอบหมายให้บริวารไปจัดการ
พอสองปู่หลานไปกันหมดแล้ว เยี่ยเทียนก็หันไปยิ้มให้พ่อ “พ่อ ที่ผมสัญญากับพ่อไว้ว่า ภายในครึ่งปีจะเปลี่ยนรถคันใหม่ให้น่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้พ่อก็ไปซื้อได้แล้วนะครับ…”
“ที่…ที่ลูกให้พวกเขามาอยู่ที่นี่น่ะ เก็บเงินไปแล้วเหรอ?เก็บเท่าไหร่ล่ะ?”
เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนั้น และนึกโยงไปถึงบทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนเมื่อครู่นี้ แล้วเยี่ยตงผิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน?ลูกชายของเขาคนนี้นี่ ท่าจะมีความสามารถในการโน้มน้าวคนอื่นสูงยิ่งกว่าฝีมือจริงๆ ของตัวเองเสียอีก
“หนึ่งวันคิดเท่านี้!” เยี่ยเทียนชูนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งหมื่น?”
เยี่ยตงผิงถามอย่างลังเล เพราะในเมืองปักกิ่งสมัยนี้ ต่อให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุด ห้องพักชนิดที่แพงที่สุด ค่าพักวันหนึ่งก็แค่ไม่กี่พันหยวนเองนี่นา?
เยี่ยเทียนตอบอย่างขุ่นเคือง “พ่อ นี่พ่อจะมีจินตนาการให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง?หนึ่งหมื่นเนี่ยนะ น่าขายหน้าจริงๆ เลย!” ทำไมพ่อยังมักน้อยยิ่งกว่าเขาอีกล่ะ?ตอนแรก…ราคาที่เขาคิดไว้ก็ปาเข้าไปวันละหนึ่งแสนแล้ว
“งั้นก็…แปลว่าหนึ่งแสน?เฮ้ยเยี่ยเทียน นี่แกคิดแพงเกินไปแล้วมั้ง?” เยี่ยตงผิงได้ยินลูกชายพูดอย่างนั้นก็ตกใจ ปีหนึ่งๆ เขาก็หาเงินได้หลายแสน ยังสู้ค่าเช่าบ้านหนึ่งวันของเยี่ยเทียนไม่ได้เลยนะ?
“เอาเถอะ พ่อไม่ต้องทายแล้วละ วันละหนึ่งล้าน เดี๋ยวพ่อก็ไปธนาคารกับคุณคนนั้นนะ แล้วโอนเงินเข้าบัญชีพ่อไปสามสิบล้านก่อน ถ้าขาดไปแม้แต่สตางค์เดียวละก็พ่อมาบอกผมเลยนะ แล้วผมจะให้พวกเขาม้วนเสื่อกลับบ้านไปเดี๋ยวนั้นเลย!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า พ่อของเขาทำงานตั้งแต่เช้าจรดมืด กว่าจะหาเงินมาได้สักนิดหนึ่งก็ไม่ใช่ง่ายๆ จึงตัดบทไม่ให้พ่อทายต่อแล้ว และเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างตนกับถังเหวินหย่วนให้ฟังเลย
ส่วนเรื่องที่ให้โอนเงินไปเข้าบัญชีของเยี่ยตงผิงนั้น เป็นความตั้งใจของเยี่ยเทียนเอง เพราะเขาชอบรู้สึกว่า กระเป๋าเงินของตัวเองเหมือนจะรั่วอยู่ ไม่ว่าจะหาเงินมาได้แค่ไหน ก็มักจะต้องใช้จ่ายไปจนหมดอย่างประหลาด ดังนั้นถึงได้วางแผนที่จะฝากเงินไว้ในบัญชีของพ่อแทน
“แก…แกนี่มัน ขูดรีดกันเกินไปแล้วมั้ง?”
หลังจากฟังลูกชายพูด หัวใจของเยี่ยตงผิงก็เต้น “ตูมตาม” เขาเป็นเพียงเถ้าแก่ธุรกิจเล็กๆ คนหนึ่ง เคยได้สัมผัสเงินมากมายขนาดนั้นที่ไหนกัน?วันละหนึ่งล้าน?นี่มันได้เงินเร็วยิ่งกว่าไปปล้นธนาคารอีกนะ!
“ผมเนี่ยนะขูดรีด?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “พ่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นน่าสงสาร ถึงจะให้วันละหนึ่งล้านผมก็ไม่ให้เขามาเช่าอยู่หรอก ปราณวิเศษที่นี่น่ะถึงมีเงินก็ไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้ ยิ่งสูดเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งลดลงไปเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นผมให้เงินพ่อล้านนึง พ่อจะยอมขายให้ผมสักนิดไหมล่ะ?”
ที่เยี่ยเทียนพูดมานี้เป็นความจริงครึ่งหนึ่งเท็จครึ่งหนึ่ง ที่ว่าปราณวิเศษที่นี่ไปหาซื้อที่อื่นไม่ได้นั้นเป็นความจริง แต่ที่ว่ายิ่งสูดเข้าไปก็ยิ่งลดลงนั้น กลับเป็นเรื่องโม้ทั้งเพ
เมื่อค่ายกลชุมนุมพลังนี้แปลงสภาพของกระแสพลังชี่และพลังหยินพิฆาตจากวังต้องห้ามไปเรื่อยๆ ระดับความหนาแน่นของปราณวิเศษก็มีแต่จะบางเบาลงไปทุกวัน ต่อให้ถังเหวินหย่วนกับหลานจะไม่เข้ามาอยู่ อย่างมากผ่านไปอีกสามสี่ปี ที่นี่ก็คงไม่ต่างอะไรกับบ้านซื่อเหอย่วนธรรมดาๆ แล้ว
“ก็จริงเหมือนกัน…”
คราวนี้เยี่ยตงผิงไม่ได้แย้งลูกชายแล้ว เนื่องจากเขาก็มาที่นี่อยู่บ่อยๆ อาการปวดข้อที่ได้มาจากการทำไร่ไถนาที่ชนบทในสมัยก่อนนั้น ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมานี้กลับไม่ได้กำเริบขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ลูกชายเรียกค่าเช่าสูงลิ่วขนาดนี้ เยี่ยตงผิงก็ยังอดรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้อยู่ดี
วันละหนึ่งล้าน ถ้าอยู่ไปหนึ่งเดือนตามที่ลูกชายบอก นั่นก็จะเป็นเงินสามสิบล้านเต็มๆ เลยนะ แม้แต่คุณปู่ของเขาที่เคยคอร์รัปชั่นในตอนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการหยวนเมื่อสมัยก่อน ก็ดูเหมือนไม่น่าจะเคยหาเงินได้มากขนาดนี้เลยนะ?
“เย็นนี้ให้พวกป้าๆ มาที่เรือนนี้กันเถอะครับ ทำกับข้าวฉลองกันที่นี่ จะได้ครื้นเครงกันหน่อย!”
เรื่องที่จะได้ครอบครองเงินสามสิบล้านในพริบตานี้ ถ้าบอกว่าเยี่ยเทียนไม่ตื่นเต้นเลย ก็คงจะเป็นการโกหก เป็นซินแสฮวงจุ้ยแล้วยังไงล่ะ…ก็ต้องหาข้าวกินเหมือนกับคนธรรมดานั่นแหละใครล่ะจะไม่อยากให้ตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายหน่อย?
“ได้ งั้นเดี๋ยวพ่อจะไปจ่ายตลาด…”
เยี่ยตงผิงพยักหน้า เขาเองก็เข้าใจแล้วว่า ด้วยฐานะของถังเหวินหย่วน เงินไม่กี่สิบล้านนี้คงไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อลูกชายมีปัญญาหาเงินมาได้ เขาเองก็กล้ารับไว้เหมือนกัน!
สองพ่อลูกทางนี้เพิ่งจะคุยกันเสร็จ ถังเหวินหย่วนก็คุยโทรศัพท์เสร็จพอดี จึงเดินเข้ามาบอกว่า “เยี่ยเทียน ผมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วละ เดี๋ยวจะมีคนมาส่งของให้ แล้วก็ยังมีปลาเป็นๆ อีกห้าร้อยชั่งด้วย เสวียเสวี่ยเขาขอมาน่ะ!”
“ห้าร้อยชั่ง?นี่คุณได้ดูรึเปล่าครับว่าบ่อผมจะพอใส่ไหม?”
เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถึงเรื่องเช่าบ้าน ทันใดนั้นโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นมา “ผมไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน”
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในห้องด้านข้าง ในใจรู้สึกฉงนสงสัย เบอร์โทรศัพท์บ้านของเขานี้มีคนรู้อยู่ไม่กี่คน แล้วใครกันถึงได้โทรมาตั้งแต่เช้าแบบนี้?
“เยี่ยเทียน?” พอไปรับสาย สองพยางค์นี้ก็ดังออกมาจากหูโทรศัพท์ทันที
“โจวเซี่ยวเทียน?!” เยี่ยเทียนฟังออกในทันที เพราะในบรรดาคนที่เขารู้จัก ก็มีตาคนนี้แหละที่พูดจาน้อยที่สุด เรียกได้ว่าประหยัดคำพูดอย่างกับเป็นเงินทองเลยทีเดียว
“มีเรื่องยุ่ง อยากให้คุณช่วยหน่อย!” พี่แกคงจะเขียนคำว่าเกรงใจไม่เป็นเลยละสินะ?
เยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ใจกับน้ำเสียงของโจวเซี่ยวเทียนเท่าไรนัก ถามกลับไปว่า “เรื่องยุ่งอะไรล่ะ?ทำไมเสียงคุณฟังดูไม่ค่อยมีพลังเลยนะ?”
………………