หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 261 ไร้วาสนา
“พี่เยี่ย พวกเราไปเจ้าจวงทำไมกัน”
เห็นเยี่ยเทียนสตาร์ทรถ ขับตรงไปข้างหน้า โจวเส้าเทียนก็ถามอย่างสงสัย เขาคิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านั้นที่เยี่ยเทียนถามชื่อหมู่บ้านไป กลับเอามาถามทางคนแก่
“นี่เรียกว่าโยนหินถามทาง ในการท่องยุทธภพสายนี้ นายยังอ่อนหัดนัก…”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏแววได้ดั่งใจขึ้นมาชั่วครู่ หากจะกล่าวถึงกลวิธีในการขโมยสุสาน เขาไม่เก่งเท่าโจวเส้าเทียน แต่หากพูดถึงวิธีการใยการท่องยุทธภพ ต่อให้โจวเส้าเทียนเร่งขี่ม้าก็ตามเยี่ยเทียนไม่ทันในเรื่องนี้
สุสานหลังใหญ่นี้ กินพื้นที่ไปรอบๆ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกรัฐบาลค้นพบ และหลุมทางเข้าสุสานที่พบ จะต้องถูกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ แต่เรื่องที่เยี่ยเทียนมาปรากฏตัวในย่านห่างไกลนี้ ก็คงหลบไม่พ้น
ดังนั้นเยี่ยเทียนก็เลยทำทีเป็นผ่านมา ในตอนที่มาเส้นทางนี้ เขาก็หยิบเอาป้ายทะเบียนของที่อื่นมาเปลี่ยนบนรถซันตาน่าเก่าแก่คันนี้ ตามหลักแล้วก็ถือว่าแนบเนียนมาก
ขับรถโยกเยกมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่า หลังจากมาถึงเจ้าจวง เยียเทียนก็ไม่ได้ดับรถ ขับเลยเจ้าจวงไปข้างหน้า เขารู้ว่าข้างหน้ายังมีหมู่บ้านเล็กๆ อีก
พอดีกับที่หมู่บ้านนี้มีตลาดนัด ถึงแม้จะเก็บกันไปเกือบหมดแล้ว แต่ร้านรวงนั้นไม่น้อย เยี่ยเทียนซื้อกระดาษเหลืองสองแผ่นและไก่ตัวผู้หนึ่งตัว จากนั้นก็ไปซื้อพู้กันจากสำนักพิมพ์
นอกจากนั้นเยี่ยเทียนยังซื้อเหล้าเถื่อนสองขวดและอาหารอีกบางอย่าง ก็ถือกลับมาที่รถพร้อมไก่ตัวผู้
เห็นเยี่ยเทียนหิ้วไก่ตัวผู้ขึ้นรถ โจวเส้าเทียนก็ถามขึ้นอยากแปลกใจ “พี่เยี่ย พี่ซื้อของพวกนี้มาทำอะไรนี่กะจะทำลายศพ ต้องซื้อขาลาดำสองอันด้วยถึงจะใช้ได้
เยี่ยเทียนได้หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ระเบิดศพอะไรกัน เจ้าเด็กนี่นายคิดว่าด้านในมีผีดิบเหรอไง”
จากที่เยี่ยเทียนประเมิน ผีดิบที่ว่านี่ ก็เป็นเพียงแค่พวกขุดสุสานลงไปแล้ว เป็นภาพลวงจากการที่ถูกไอชั่วร้ายกัดกินก็เท่านั้น หลังจากโชคดีรอดมาได้ก็เลยบอกต่อกันปากต่อปาก หลายร้อยหลายพันปีผ่านมา ก็กลายเป็นตำนานน
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้อธิบายกับโจวเส้าเทียน แต่กลับขับรถออกมานอกหมู่บ้าน ขับรถเข้ามาในบริเวณตีนเขาที่ไม่มีผู้คน
หลังจากดับรถแล้ว เยี่ยเทียนก็หิ้วไก่ตัวผู้ที่ซื้อมากับถ้วยลายครามที่หยิบมาจากโฮสเทลลงจากรถ นิ้วมือข้างขวาดีดออกเล็กน้อย มีดสั้นอู๋เหินก็ถูกเยี่ยเทียนอุ้มไว้ในฝ่ามือ ค่อยๆ วาดจากหัวไก่ลงมา
ใช้มีดสั้นอู๋เหินฆ่าไก่ ก็เหมือนใช้มีดฆ่าวัวมาเชือดไก่ แสงไอเย็นกะพริบขึ้นวูบหนึ่ง หัวไก่ก็ตกอยู่บนพื้น เลือดไก่ก็กระเด็นออกมา เยี่ยเทียนก็รีบเอาถ้วยลายครามรองเป็นการใหญ่
อาศัยจังหวะที่เลือดไก่ยังไม่เย็นตัว เยี่ยเทียนก็เอากระดาษสีเหลืองปูไว้หน้ารถ หลังจากเอาพู่กันจุ่มเลือดไก่แล้ว ก็วาดยันต์ด้วยท่าทางลวดลาย แต่บนเขาลมแรง วาดยันต์เจิ้นเสวียได้สองแผ่น เป็นเพราะกระดาษเหลืองถูกลมพัด ทำให้ไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ
“โถ่เอ้ย ยุ่งยากจริงๆ…”
วาดยันต์จะต้องใช้พลังธาตุ เยี่ยเทียนมองไปยังโจวเส้าเทียนที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ช่วยฉันจับปลายกระดาษสองข้างยึดไว้”
โจวเส้าเทียนขยี้ตา ถามว่า “พี่…พี่กำลังวาดยันต์เหรอ”
“ก็แน่นอนสิ ไม่ใช่เพราะวาดยันต์ฉันจะวุ่นวายขนาดนี้เหรอ” เยี่ยเทียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เร็วเข้า วาดเสร็จแล้วจะได้พักผ่อนซะหน่อย พวกเรายังต้องไปเถียนจ้วงอีก!”
“ได้ ได้ ผมใช้นิ้วมือนึงกดไว้ มั่นใจว่าไม่กระทบกับพี่แน่นอน!”
โจวเส้าเทียนตอบรับเป็นการใหญ่ เดินขึ้นไปกางกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่ง กดขอบกระดาษสองข้างที่อยู่ในทิศทางลม ใบหน้าตื่นเต้นและมีร่องรอยตกใจอยู่
ในตอนที่โจวเส้าเทียนอายุได้หกเจ็ดขวบ เคยฟังพ่อเล่าว่า ผู้เก่าผู้แก่ตระกูลโจว สามารถวาดยันต์กำจัดปีศาจและภูติผีได้ ตอนนั้นโจวเส้าเทียนยังเด็ก ก็ฟังเป็นเรื่องนิทานไป
ถึงแม้จะโตขึ้นมาแล้ว เรื่องยันต์นี่เป็นเรื่องเหลวไหล แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะมาวาดยันต์ขึ้นต่อหน้าของตัวเอง ตอนนี้ทำให้เขาคิดถึงคำกล่าวของพ่อในตอนนั้น
พ่อของโจวเคยกล่าวว่า คนที่วาดยันต์ได้ จะต้องสื่อสารกับมวลธาตุต่างๆ ได้ ยืมธาตุมาใช้ มีแต่คนที่พิเศษไม่เหมือนใครเท่านั้น บรรพบุรุษรุ่นก่อนกว่าสิบรุ่นของตระกูลโจวก็มีแค่สองสามคนที่มีอิทธิฤทธิ์สูงถึงขั้นนี้้
แต่เยี่ยเทียนกับทำยันต์ นี่ก็หมายถึงว่าในเรื่องของอิทธิฤทธิ์นั้นก็เสมอกับบรรพบุรุษของตระกูลโจว ในยุคที่อิทธิฤทธิ์เหลือน้อยเต็มที แบบนี้เยี่ยเทียนก็ี่ราวกับว่าเป็นสัตว์ประหลาด ยากที่โจวเส้าเทียนจะไม่ตกอกตกใจ
หลังจากวาดยันต์ตรึงไอร้ายเสร็จแผ่นหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมาประเมินอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “อืม แผ่นนี้ใช้ได้ เฮ้อ เปลี่ยนกระดาษอีกแผ่น!”
“งานใหญ่เสร็จเรียบร้อย ไปกันเถอะ!”
หลังจากวาดยันต์ตรึงไอชั่วร้ายติดต่อกันสามแผ่น เยี่ยเทียนถึงจะวางมือ หลังจากหยิบยันต์มาพับเก็บอย่างเบามือแล้ว ก็เอาถ้วยโยนเข้าไปในพงหญ้า
หันกลับมาเห็นโจวเส้าเทียนยังยืนอยู่ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ขึ้นรถเถอะ ที่นี่ลมภูเขาพัดแรง หาที่พักผ่อนกินอะไรรองท้อง รอจนมืดแล้วค่อยกลับไปที่เถียนจวง”
“อา…อาจารย์!”
เยี่ยเทียนไม่คาดคิด เสียงเขาเพิ่งหยุดไป โจวเส้าเทียนกลับมีเสียง “ตุบ” ออกมา เข่าทั้งสองข้างอยู่บนพื้นข้างหน้าเขา
“อาจารย์? นายเรียกใครกัน” เยี่ยเทียนมองไปทางซ้ายและขวา เจ้าเด็กนี่หรือว่าจะถูกไอร้ายแทรกซึมสมองไม่ดีไปแล้ว
“อาจารย์ ท่านรับผมไว้เป็นศิษย์เถอะ!” โจวเส้าเทียนก็คำนับลงไป เพียงแต่หน้าผากยังไม่ทันถึงพื้น ก็ถูกเยี่ยเทียนเอาเท้ารองไว้ก่อน
“อาจารย์จะมาเรียกมั่วๆ ไม่ได้ คำนับก็ยังจะมาทำมั่วๆ ไม่ได้ เราสองคนไม่มีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กัน!”
“ไม่ พี่เยี่ย พี่เป็นผู้ที่มีวิชาสูงส่งที่สุดที่ผมเคยพบ พี่ไม่รับผมเป็นศิษย์ ผมก็จะคุกเข่าอยู่แบบนี้ไม่ลุกขึ้นแล้ว”
โจวเส้าเทียนเดิมทีก็สนใจในอิทธิฤทธิ์พวกนี้อยู่แล้ว แต่สภาพไม่เอื้ออำนวย เขาก็ไม่มีทางเข้าสู่ยุทธภพฉีเหมิน ในสายตาตอนนี้เห็นเยี่ยเทียนเป็นปรมาจารย์ของจริงจะไม่คำนับได้อย่างไร
“บ้าจริงๆ ฉันว่านายนี่อ่านนิยายกำลังภายในเยอะไปนะได้ นายก็คุกเข่าตากลมภูเขาอยู่นี่แล้วกัน ข้าไม่มีอารมณ์มายืดยาดอืดอาดกับนายอยู่ที่นี่!”
เยี่ยเทียนไม่สนใจลูกไม้นี้ของโจวเส้าเทียน หันกลับไปขึ้นรถ สตาร์ทรถถอยกลับออกไป
“เห้อ เห้อ อาจารย์ ท่านรอผมด้วยสิ…”
โจวเส้าเทียนจะดูเป็นผู้ใหญ่อย่างไร ก็เป็นเด็กอายุสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ตาหันไปเห็นเยี่ยเทียนจะขับรถออกไปจริงๆ รีบลุกขึ้นมาจากพื้น ใช้มือเปิดประตูได้ขึ้นรีบขึ้นไปนั่ง
เห็นโจวเส้าเทียนขึ้นมาบนรถแล้ว เยี่ยเทียนก็เหยียบเบรก มองไปทางโจวเส้าเทียน กล่าวอย่างจริงจังว่า “นายเดิมทีเป็นสายเลือดตรงของลัทธิตระกูลโจว ถึงแม้สิ่งของสืบทอดจะหายไป แต่ฐานะของนายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คนในฉีเหมินให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือผู้สืบทอด นายทำแบบนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าบรรพบุรุษทั้งหลายจะคิดยังไง”
“แต่…แต่ของสืบทอดของพวกเราหายสาบสูญไปนานแล้ว!”
โจวเส้าเทียนไม่มีอาจารย์ชักนำเข้าสำนัก ทั้งหมดที่เรียนมาก็มาจากที่พ่อสอนให้ตอนเด็กหรือเขาค้นหามาเอง แต่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ให้ความสำคัญ
“นายไม่ได้แซ่โจวหรือไง”
เยี่ยเทียนกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ในฐานนะลูกศิษย์ของลัทธิตระกูลโจว นายควรจะคิดว่าจะเสาะหาของสืบทอดของตระกูลกลับมาได้ยังไง ไม่ใช่ว่าจะมาเรียนลัทธิเสื้อป่านจากฉัน!”
จริงๆ แล้วโจวเส้าเทียนฝึกยุทธตั้งแต่เด็ก สรรพทางกายเดิมทีก็เป็นต้นกล้าที่ดีในการเรียนวิชา แต่อายุของเขาค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถสืบทอดลัทธิเสื้อป่านได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ปฏิเสธในฐานะลูกศิษย์ของสำนัก
“งั้น…งั้นก็ได้ พี่เยี่ย ผมจะนำพาลัทธิตระกูลโจวให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง!”
คิดว่าตัวเองกลับไปขอเข้าสำนักคนอื่น แน่นอนว่าทำผิดต่อบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก โจวเส้าเทียนได้แต่กำจัดความคิดนี้ออกไป เขาเองก็เป็นรุ่นที่ตั้งปณิธานแน่วแน่ พร้อมกับตัดสินใจเองอย่างเงียบเงียบ จะต้องสืบทอดวิชาตระกูลโจวต่อไปให้ได้
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี ในวันข้างหน้าหากฉันมีเวลา จะไปเป็นเพื่อนนายตามหากลุ่มคนตระกูลโจวที่หนานเจียง ฉางซาดูซักรอบ!”
หลังจากกล่อมโจวเส้าเทียนได้ เห็นท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ทั้งสองคนดื่มเหล้าและกินเนื้อนิดหน่อยบนรถ เยี่ยเทียนก็ขับกลับไปยังทางขามา
หมู่บ้านในเดือนสองและเดือนสามของเหอเป่ย ลมพัดหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก พอตกกลางคืนแต่ละบ้านก็ดับไฟกันหมก ไม่มีเห็นว่าบนถนนที่ลุมดอนของหมู่บ้านจะมีรถที่เปิดกระโปรงหน้าจอดอยู่
“พี่เยี่ย พวกเราจะลงไปในนั้นกันเมื่อไหร่”
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เยี่ยเทียนและโจวเส้าเทียนก็รออยู่ที่นี่ได้สามสี่ชั่วโมงแล้ว ในระหว่างนั้นมีบางคนเดินผ่านไป ล้วนแต่ถูกเยี่ยเทียนใช้แผนการทำเป็นรถเสียตอบกลับไป
“รออีกหน่อย!”
เยี่ยเทียนมองไปทางโจวเส้าเทียน พร้อมกับกำชับว่า “ฉันลงไป ไม่ใช่พวกเราลงไป ฉันไม่มียารักษาอาการบาดเจ็บมากมายขนาดนั้นให้นายกิน นายรอดูอยู่ด้านบน หากท่าไม่ดีก็สตาร์ทรถ ฉันฟังได้ยินอยู่!”
สำหรับโจวเส้าเทียนที่ขโมยสุสานมาสามแห่งแล้วยังไม่เคยถูกจับได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ลอบถอนใจว่าเจ้าเด็กนี่ดวงดี แบบเขานี้วิ่งรอกรับงานไม่มีคนดูให้ ปกติแล้วจะเกิดเรื่องได้ง่าย
เห็นสีหน้าของโจวเส้าเทียนมีบางส่วนไม่ยอม เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะดีใจ “ยังดีที่นายยังพอเข้าใจฮวงจุ้ยอยู่บ้าง ตอนนี้เป็นเวลาหยาง เป็นเวลาไอร้ายเข้มข้นที่สุดของวัน ลองไปหาเรื่องตายเหรอไง”
ปกติคนที่ขโมยขุดสุสาน ล้วนต้องรอให้ผ่านเที่ยงคืนไปก่อนแล้วจึงจะลงไปยังสุสาน เห็นสภาพของโจวเส้าเทียนแบบนี้ เยี่ยเทียนก็เข้าใจทันที สงสารเจ้าเพื่อนคนนี้ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องที่คิดมากไป
“วันนี้เป็นวันที่เหมาะแก่การลักเล็กขโมยน้อย!”
รอจนเข็มนาฬิกาชี้เวลาเที่ยงคืนแล้ว เยี่ยเทียนก็เปิดประตูรถ แหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นคืนเดือนมืดที่บดบังดวงดาวและพระจันทร์จนมืดมิด
“จำไว้หากเห็นคนไม่ต้องแตกตื่น บอกไปว่ารถเสีย สตาร์ทสามสี่ทีค่อยดับรถ ฉันก็จะรู้แล้ว! “เยี่ยเทียนด้านหนึ่งสั่งความโจวเส้าเทียน อีกด้านหนึ่งถอดเสื้อผ้าที่ติดตัวอยู่ออกหมด
ปกติคนขุดสุสานจะมีชุดแนบเนื้ออยู่ แต่เยี่ยเทียนมาแบบรีบร้อน ได้แต่ยืมของโจวเส้าเทียนใช้
“แย่จริง ฉันคิดยังไงถึงมาพัวพันกับเรื่องของนายเนี่ยฉันบอกให้นายรีบๆ หน่อย รีบส่งเสื้อมา!”
หลังจากเปลือยกายจนเหลือแต่กางเกงขาสั้นตัวหนึ่ง ดีที่ร่างกายของเยี่ยเทียนกำยำ แต่ก็ถูกลมเย็ดพัดผ่านจนต้องสู้กับความหนาว รีบเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อแนบเนื้อที่โจวเส้าเทียนเอามาด้วย
“บ้าจริง ดูแล้วเป็นมืออาชีพจริงๆ!”
หลังจากยัดตัวเองลงไปในชุดที่ดูเหมือนจะเล็กไปหน่อยแล้วนั้น เยี่ยเทียนก็นำเอามีดสั้นอู๋เหินไปเสียบไว้ที่ไหล่ซ้าย หน้าอกมีกระเป๋าอยู่สองอัน สามารถใส่อาวุธสิบสองนักษัตย์และยันต์พอดี แต่กับจานหลัวนั้นก็ได้แต่ต้องถือเอาไว้แล้วล่ะ
…………