หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 264 เข้า
“เห้ย นี่มีคนโชคร้ายกว่าเราอีกหรือ?”
เยี่ยเทียนก้มหัวลงอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟเห็นสภาพใต้กระดานนั้นแล้วอ้าปากค้าง เพราะถ้าหากเขาตกลงไป ชีวิตเขาจะต้องจบเหมือนคนที่อยู่ข้างล่างคนนั้นแน่นอน
กับดักนี้มีความยาวประมาณสองเมตร ความกว้างประมาณหนึ่งเมตร ห้าแถวด้านล่างมีมีดอันแหลมคมแทรกเป็นแถวๆ อย่างหนาแน่น
ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นพันปี ใบมีดจึงถูกปกคลุมไปด้วยสนิม แต่เห็นได้ว่ามันก็ยังคมและใช้งานได้ดีมาก เพราะที่ข้างล่างนั้นมีหนึ่งศพนอนอยู่
ศพนั้นโดนมีดคมแทงที่หน้าอก เนื้อของศพได้เน่าเสียไปเป็นเวลานานแล้ว เหลือเพียงแค่กระดูกสีขาวๆ เท่านั้นที่กระทบประกายแสงไฟ ดวงตาที่ว่างเปล่าของเขาดูเหมือนจะบอกเล่าประสบการณ์ที่น่าเศร้าของการขโมยสุสาน
หลังจากรู้สึกกลัวได้สักพัก เยี่ยเทียนพูดว่า “แม่ง ตนเองตายไปแล้ว ก็ยังลากคนมาตายด้วยกัน เจ้าของหลุมฝังศพนี้ก็ไม่ใช่คนดีสักหน่อย”
แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ทันคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นหลุมฝังศพของเขาเอง เขาจะอนุญาตให้คนอื่นมารบกวนความสงบสุขของเขาหรือไม่ เยี่ยเทียนคงจะทำได้ดีกว่านี้อีก เขาจะใช้ค่ายกลที่รู้จักทั้งหมดของเขา ทำให้มันเป็นที่หมดหนทางของคนที่จะมาบุกรุก
มองไปที่พื้นหลุมฝังศพที่ได้รับการบูรณะ ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าในที่ลึกลงไปของหลุมฝังศพนี้ ยังมีกับดักอะไรกำลังรอตนอยู่
เดิมทีคิดว่านี่เป็นประตูเป็น ไม่คิดเลยมันเดินยากกว่าประตูตายอีก เยี่ยเทียนรู้แล้วว่าตนประเมินสติปัญญาของคนโบราณต่ำไปจริง เพราะถึงตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่า การเดินทางครั้งนี้ของตนคิดง่ายเกินไป
“วันนี้ไปไม่ได้แล้วล่ะ กลับก่อนดีกว่า…”
หากเยี่ยเทียนเดินต่อไปคงจะต้องเสียเวลาอีกเยอะ เพราะว่าตอนนี้ก็จวนจะถึงตีห้าแล้ว ไก่เริ่มร้อง แสดงว่ามีคนจะตื่นแล้ว
ถึงแม้ว่าในใจจะไม่อยากถอยกลับ แต่เยี่ยเทียนก็ทำได้เพียงเดินออกจากถ้ำแล้วปีนขึ้นไปยังพื้นดิน
หลังจากได้สูดอากาศสดชื่นจากพื้นดิน ความรู้สึกรอดจากความตายอยู่ในใจของเยี่ยเทียนยิ่งรุนแรงขึ้น ในขณะเดียวกันความเหนื่อยล้าลึกๆ ก็ไปเข้าไปในใจของเขา
“พี่เยี่ย คุณขึ้นมาแล้วหรือ” โจวเซี่ยวเทียนมองดูสุสานตลอด เมื่อเห็นร่างของเยี่ยเทียนโผล่ออกมา ก็เปิดประตูเดินเข้ามาทัก
เยี่ยเทียนมองโจวเซี่ยวเทียน พูดด้วยเสียงต่ำว่า “อย่าพูดเยอะ เติมดินลงในหลุม และเอาหญ้าแห้งมาคลุมที่ข้างบนด้วย”
ตอนอยู่ในหลุมฝังศพก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อออกมา แรงของเยี่ยเทียนเหมือนถูกดึงดูดไปหมด ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเพลิดเพลินกับความรู้สึกแบบที่เดินระหว่างความเป็นและความตายได้
โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนหัวไว เพราะพอเห็นสีหน้าเยี่ยเทียนไม่ดี ก็ไม่กล้าถามอะไรเพิ่มอีก หยิบพลั่วที่เยี่ยเทียนหิ้วขึ้นมากลบฝังปากโพรง
การทำอาชีพขโมยสุสาน ฝังปากโพรงเป็นวิชาบังคับพื้นฐาน ฝีมือของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่เลวนะ เพราะหลังจากเติมดินลงไปในหลุมแล้ว ใครที่เหยียบด้านบน ก็จะไม่รู้เลยว่าที่ด้านล่างมีความลึกลับอะไรซ่อนอยู่
เยี่ยเทียนกลับไปที่รถแล้วเปลี่ยนใส่เสื้อของตนเอง หยิบโคลนจากพื้นดินแล้ววางไว้บนป้ายทะเบียนรถด้านหน้าและด้านหลัง แล้วขับไปรถไปในเมือง
ส่วน มีดสั้น “อู๋เหิน” ถูกเยี่ยเทียนตั้งใจทิ้งไว้ที่สถานที่ที่มีกระแสพลังพิฆาตรั่วไหล สุสานแห่งนี้อยู่มาหลายพันปีแล้วก็ไม่มีใครรู้ แล้วนี่ก็แค่หนึ่งวัน เยี่ยเทียนเชื่อว่าจะไม่มีใครพบสุสานแห่งนั้นได้
ระหว่างการเดินทาง เยี่ยเทียนเล่าประสบการณ์ที่อยู่ในข้างล่างของตนให้โจวเซี่ยวเทียนฟัง โจวเซี่ยวเทียนนอกจากจะรู้สึกตกใจหน้าซีดขาว ก็รู้สึกว่าโชคดีมาก เพราะถ้าหากว่าเขาไม่ได้เจอเยี่ยเทียน แม้ว่าจะหาทิศทางถูก ก็คงเอาชีวิตรอดมาไม่ได้แน่ๆ
“แม่ง ไม่น่าล่ะ คนที่ขโมยสุสานต่างก็มีกลิ่นดิน”
หลังจากกลับที่โรงแรม เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนรีบไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ ถึงแม้ว่าให้คนช่วยถูทั้งตัวแล้ว แต่กลิ่นดินก็ยังอยู่ในจมูก
“สามทุ่ม มาเคาะประตูฉันนะ วันนี้ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” หลังเดินออกจากโรงอาบน้ำ เยี่ยเทียนบอกโจวเซี่ยวเทียน แล้วก็กลับไปห้องของตนเอง ไม่ทันได้กลิ่นเหม็นบนผ้าห่มก็หลับไป
ยังไม่ถึงเวลาที่นัดโจวเซี่ยวเทียนมาเรียก ในเวลาประมาณสองทุ่ม เยี่ยเทียนก็ตื่นแล้ว คงเป็นเพราะว่าเขาหลับไปสิบกว่าชั่วโมง จากที่รู้สึกจิตใจเหนื่อยล้า ตอนนี้ก็ได้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เยี่ยเทียนแอบถอนใจ “ท่าทางประสบการณ์ที่มีจะยังน้อยเกินไป ยังไปไม่ถึงขั้นที่อาจารย์บอกว่าเจออะไรก็จะไม่ตกใจหรือตื่นกลัว
ตามที่นักบวชลัทธิเต๋าพูดไว้ เมื่อก่อนเวลาคนในนิกายมหัศจรรย์ต่างๆ ต่อสู้กัน อันตรายกว่าสถานการณ์ที่ตนเจอเมื่อวันก่อนตั้งเยอะ เพราะถ้าไม่ระวัง ก็จะตายทันที
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้สมัยนี้ยังมีคนของนิกายมหัศจรรย์ที่สามารถประสานกับกระแสพลังฟ้าดินจริงๆ หรือเปล่า แต่ว่าการกระทำของเขาเมื่อวานนี้ มันไม่ผ่านอย่างชัดๆ
เนื่องจากว่าเมื่อวานได้สูดอากาศในหลุมฝังศพเข้ามา ซึ่งเยี่ยเทียนไม่ได้รีบไปหาโจวเซี่ยวเทียน เพียงแต่สังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างเงียบๆ แต่หลังจากไม่ได้รู้สึกไม่สบายแม้แต่นิดเดียว เขาจึงไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็เคาะประตูของโจวเซี่ยวเทียน
“พี่เยี่ย คุณมาแล้วหรือ ผมซื้อของกินมา กำลังจะไปเรียกคุณพอดี…”
โจวเซี่ยวเทียนเปิดประตู ไม่เห็นหมั่นโถวเย็นชืดค้างคืนเมื่อวาน บนโต๊ะมีเนื้อลาที่ปรุงสุกร้อนๆ หนึ่งถุง เมื่อรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนชอบกิน เขาไปซื้อให้โดยเฉพาะ
นอกจากนั้นยังมีเหล้าขาวในระดับสูงสองขวดที่ผลิดจากพื้นที่ท้องถิ่น คนที่ทำงานในตอนกลางคืนอย่างพวกเขา มันจำเป็นที่ดื่มสักหน่อยเพื่อไล่ความหนาว
“กินเถอะ กินอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยไป” เยี่ยเทียนตอนนี้ที่หิวมาก เพียงแค่ผ่านไปสิบนาทีกว่าๆ เขากินเนื้อลาไปเกือบหนึ่งกิโล เหล้าขาวหนึ่งขวด ร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นทันที
หลังจากเยี่ยเทียนกินข้าวเสร็จ โจวเซี่ยวเทียนเอ่ยปากถามอย่างลังเล “พี่เยี่ย ไม่…ไม่งั้น วันนี้ผมลงไปข้างล่างเป็นเพื่อนกันกับพี่ดีไหมครับ”
“อย่าเลย ไว้รอรับฉันที่ข้างบนก็แล้วกัน” เยี่ยเทียนส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะในหลุมฝังศพนั้นไม่รู้ว่ายังมีอันตรายอะไรอีกบ้าง ลำพังตัวเขาแค่ดูแลตัวเองก็ลำบากมากแล้ว ถ้าพาโจวเซี่ยวเทียนลงไปด้วยก็เกรงว่าจะสร้างแต่ความวุ่นวาย
หนำซ้ำมีตั้งหลายคนเห็นรถที่จอดเสียของเค้าเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เข้าหลุมฝังศพไม่ได้อีก เยี่ยเทียนก็จะไม่สามารถปิดกั้นกระแสพลังพิฆาต เดินทางกลับไปปักกิ่งทันที
“ตกลง พี่เยี่ย งั้นพี่ก็ระวังตัวด้วยนะ” โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างน่าเสียดาย เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าความสามารถของตนเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้สักนิด ถ้าลงไปข้างล่างก็เพียงแต่จะเป็นตัวถ่วง
“เอาของไปทั้งหมดนะ เพราะเราจะไม่กลับมาที่นี่อีก” ถึงแม้ว่าจะจ่ายค่าที่พักเพิ่มอีกวันไปแล้วเมื่อเช้า แต่เยี่ยเทียนก็ไม่คิดว่าจะกลับมาโรงแรมนี้อีก
ทั้งสองคนเดินทางออกจากโรงแรม ขับรถไปยังสถานที่ที่มาเมื่อคืน แต่ว่าครั้งนี้เยี่ยเทียนจอดรถที่ข้างถนนที่ห่างจากหลุมฝังศพประมาณหนึ่งลี้กว่า
หลังเอาเครื่องมือลงจากรถแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้เลือกเดินทางหลัก แต่กลับเดินจากไร่มันที่เพิ่งปลูก อ้อมไปที่สุสานแทน ที่โน่นมีเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง โจวเซี่ยวเทียนนอนอยู่หลังเนินเขา มันก็ไม่ง่ายที่ถูกคนอื่นพบ
หลังจากตรวจสอบรอบๆ แล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ เยี่ยเทียนพูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่า “ฉันจะลงไปแล้วนะ แกอยู่ข้างบนก็ระวังตัวด้วย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบหนีไปซะ”
สุสานนี้มีทางเข้าสิบกว่าที่ ถึงแม้ว่าถูกคนปิดกั้นไปหนึ่งที่เยี่ยเทียนก็ไม่กลัว แต่ว่าถ้าโจวเซี่ยวเทียนโดนคนอื่นจับได้มันก็จะยุ่งยากไปหน่อย
“พี่เยี่ย พี่วางใจเถอะ”
โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า หลังจากได้กินยาของเยี่ยเทียนแล้ว ปอดที่เจ็บปวดก็หายเป็นปกติ ขอแค่ไม่เจอตำรวจที่มีปืน โจวเซี่ยวเทียนก็ยังมีความมั่นใจในทักษะของตน
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากขุดสุสานออก เขารีบเข้าไปข้างใน แต่ว่าครั้งนี้เขาใส่หน้ากากออกซิเจน เพราะสำหรับคนเราบางทีก็ไม่ควรมั่นใจตัวเองมากเกินไป
ในขณะเดียวกันในมือของเยี่ยเทียนก็เพิ่มชะแลงที่มีความยาวหนึ่งเมตรกว่า สิ่งนี้ก็ใช้เป็นการสำรวจทาง หลังจากได้เจอเรื่องเมื่อวานเยี่ยเทียนถึงเข้าใจว่า เครื่องมือของโจรขโมยสุสาน ไม่มีชิ้นไหนเหลือเฟือจริงๆ
เมื่อรู้ว่ากระดานเลื่อนอยู่ที่ไหน สำหรับเยี่ยเทียนการผ่านไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากกระดานเลื่อนพลิกมา เยี่ยเทียนก็กระโดดข้ามไปด้วยการกระโดดเบาๆ แน่นอน แรกที่ลงพื้นดินคือชะแลงในมือของเขา
หลุมนี้มีความยาวรวมประมาณยี่สิบกว่าเมตร และระหว่างความยาวยี่สิบเมตรนั้น เยี่ยเทียนพบว่ามีกระดานเลื่อนทั้งหมดสามที่
เพียงแต่นอกกระดานเลื่อนอันที่หนึ่ง ในกับดับสองที่เหลือ ไม่มีคนตายอีก คาดว่ารุ่นเก่าที่เข้ามาเมื่อก่อน ก็ได้เรียนรู้บทเรียนอย่างจริงจังอีกด้วย
แต่ว่าในหลุมมีศพคนตายเพิ่มมาอีกหนึ่งศพ ที่ข้างๆ ของศพที่กลายเป็นกระดูกขาวนั้น มีหัวลูกธนูสามเหลี่ยมมากกว่าสิบอันกระจายอยู่รอบๆ ส่วนก้านลูกธนูนั้นผุไปตั้งนานแล้ว
โดยกับดักอย่างนี้ เพียงแค่ยิงออกได้แค่หนึ่งครั้ง ทั่วๆ ไปภายใต้การเคาะพื้นดินและผนังของเยี่ยเทียนอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ได้ถูกโจมตีด้วยฝนลูกธนู กระทั่งมาถึงหน้าประตูที่เข้าหลุมฝังศพอย่างปลอดภัย
นี่คือประตูหินที่มีความสูงประมาณสามเมตร สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหมด การสัมผัสประตูหิน จะได้รู้สึกความเย็นๆ ของหินอ่อนสีขาวอย่างชัดเจน
เพียงแค่ประตูหินอ่อนสีขาวก็แกะสลักมังกรและนกฟีนิกซ์ที่สวยงามเหลือเกิน แต่ถูกคนขุดหลุมใหญ่ในที่กลาง ทำให้กลอนประตูที่อยู่ข้างในถูกตีหักโดยตรง
แต่ว่ามันก็ทำให้เยี่ยเทียนได้ประหยัดเวลา ยื่นมือพลักไปเบาๆ ประตูที่ดูเหมือนหนักหนามากก็เปิดมาตามมือ สถานที่กว้างขวางก็ปรากฏตรงหน้าของเยี่ยเทียน
“แม่ง ไอ้เหี้ยนี่เป็นใครกันแน่ในหลุมฝังศพยังมีลานอยู่อีกหรือ”
หลังจากใช้แสงไฟสำรวจที่ห้องฝังศพอันที่หนึ่งสักพัก เยี่ยเทียนพูดคำหยาบอย่างอดไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาคือสองห้องที่เป็นเอกลักษณ์ของสุสานในราชวงศ์ถังและซ่ง ที่ว่างในบานกลางของห้องหู มันก็พอดีประกอบเป็นหน้าลานเล็กของลานหนึ่ง
บนพื้นหลุมฝังศพที่ปูด้วยอิฐสี่เหลี่ยม มีสิ่งของกระจัดกระจาย บางสิ่งบางกระทบกับแสงไฟ สะท้อนออกเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสิ่งของฝังพร้อมกับคนตายอย่างเช่นเครื่องทองหรือเพชรพลอย
ข้างลานหน้า ที่หลังก็มีถนนด้านหน้า หลังจากผ่านประตูโค้งหินอิฐ ทันใดนั้นเยี่ยเทียนอึ้งไป ความกว้างขวางของห้องกลางนี้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า มันเกินจินตนาการของเขาไปมาก
ห้องกลางทั้งห้องสูงเกือบห้าเมตร หลังคาของสุสานเป็นผนังอิฐในรูปวงแหวน กระแสพลังพิฆาตอย่างรุนแรงหนึ่งรวบรวมที่ที่หนึ่งของผนังอิฐ ที่นั่นก็คือสถานที่ที่เยี่ยเทียนวาง “อู่เหิน” ไว้
…………