หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 273 ศิษย์นอกสำนัก
เยี่ยเทียนรู้ว่า แม่ของโจวเซี่ยวเทียนปีนี้เพิ่งจะอายุได้สี่สิบหกสี่สิบเจ็ดปี แต่ดูจากเส้นผมหงอกขาวและใบหน้าซีดเซียว แล้ว กลับดูเหมือนหญิงชราวัยหกสิบกว่าปีก็ไม่ปาน แสดงให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวนั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเธอเพียงใด
“แม่ครับ ผมช่วยประคองนะ ขั้นบันไดนี้มันสูง!” โจวเซี่ยวเทียนเป็นลูกกตัญญูโดยแท้ ย้ายสัมภาระไปแบกไว้บนหลัง แล้วยื่นมือไปประคองแม่เดินเข้าไปในเรือนสี่ประสาน
“พี่ชายคนนี้ พี่คอยประคองคุณป้า เดี๋ยวหนูช่วยถือของให้เองค่ะ”
หลังจากได้รับการเยียวยามาหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ สีหน้าของถังเสวียเสวี่ยก็ดูดีขึ้นมาก ร่างกายก็ดูสมบูรณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นโจวเซี่ยวเทียนหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรัง จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือ
โจวเซี่ยวเทียนไม่รู้ว่าถังเสวียเสวี่ยเป็นอะไรกับเยี่ยเทียน แล้วจะกล้าให้เธอช่วยถือของได้อย่างไรกัน จึงรีบโบกมือ ปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ ครับ ผมไหวอยู่ ขอบคุณนะครับน้องสาว…”
“เซี่ยวเทียน เรา…พวกเรามาอยู่ที่ไหนกัน? ที่นี่…อากาศที่นี่ทำไมถึงได้สดชื่นขนาดนี้?”
ถึงแม้ตาของแม่ของโจวเซี่ยวเทียนจะมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกของจมูกและผิวของกายยังเป็นปกติ เมื่อเข้ามาในลานบ้าน ก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษของที่นี่ในทันที
“พี่…พี่เยี่ย นี่…นี่พี่ตั้งค่ายกลไว้หรือครับ?” ตอนแรกโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ทันสังเกต แต่เมื่อได้ยินแม่พูดอย่างนั้น จึงมองสำรวจไปรอบๆ และสีหน้าพลันตกตะลึงขึ้นมาทันที
ค่ายสำนักของตระกูลโจวในสมัยก่อนนั้นเชี่ยวชาญด้านศาสตร์ลี้ลับอย่างแท้จริง และในอดีตก็เป็นที่เลื่องชื่อในยุทธภพอยู่เหมือนกัน แม้ในปัจจุบันจะขาดการสืบทอดไปแล้ว แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังพอจะดูเป็นอยู่
“เอาน่า เข้าไปนั่งในเรือนก่อนแล้วค่อยพูดกัน คุณป้านั่งรถมาตั้งนาน คงจะเหนื่อยแล้วสินะครับ?”
เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพาทั้งสองไปที่ห้องด้านข้างของเรือนหน้า พลางพูด “ที่เรือนหลังเก่านั่นเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว กำลังรอให้คุณป้ามาอยู่พอดีเลยล่ะ พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะไปโทรศัพท์บอกพ่อให้มาเจอกับเซี่ยวเทียนหน่อย!”
ในเมื่อจะมาเป็นคนงานในร้านของพ่อ ก็ต้องให้พ่อมาเจอตัวจริงก่อนว่าจะใช้ได้ไหม หลังจากเยี่ยเทียนรินน้ำให้ แม่ของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว จึงเตรียมจะเดินออกไปโทรศัพท์
“เดี๋ยวก่อน เสี่ยว…เสี่ยวเยี่ย เธออายุมากกว่าเซี่ยวเทียนไปไม่กี่ปี คงไม่ถือสานะถ้าป้าจะเรียกชื่อเธอ?” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะเดินออกไป แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็เรียกเขาไว้
เยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง แล้วตอบว่า “เรียกผมว่าเยี่ยเทียนก็ได้ครับคุณป้า!”
“ดี อย่างนั้นป้าก็จะเรียกเธอว่าเยี่ยเทียนแล้วกัน” แม่ของโจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า แล้วหันหน้าขวับไปทันที พูดกับโจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “เซี่ยวเทียน คุกเข่าลงไปเดี๋ยวนี้!”
โจวเซี่ยวทียนก็เชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง คุกเข่าทั้งสองข้างลงไปเสียงดัง “พรุก” ลงไปกับพื้นที่ปูด้วยอิฐเทาตรงหน้าเยี่ยเทียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“อ้าว คุณป้า นี่…นี่จะทำอะไรกันครับเนี่ย? เซี่ยวเทียน ลุกขึ้น แกมาคุกเข่าให้ฉันทำไมเล่า?” เมื่อเยี่ยเทียนได้เห็นการกระทำแม่ของโจวเซี่ยวเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกประหลาดใจ รีบยื่นมือออกไปประคองโจวเซี่ยวเทียน
“เสี่ยวเยี่ย ไม่ต้องให้เขาลุกขึ้นมา ตระกูลโจวของพวกเราไม่มีลูกหลานนอกคอกแบบนี้!”
คำพูดของแม่โจวเซี่ยวเทียนทำให้โจวเซี่ยวเทียนส่งสายตาวิงวอนให้เยี่ยเทียน เขารู้ว่าถ้าแม่ไม่คลายโทสะ วันนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้พ้นด่านนี้ไปเลย อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องรักษาดวงตาเลย เพราะเธออาจจะไม่รับเขาเป็นลูกชายเลยก็เป็นได้
“ความแตกแล้วหรือ?” เยี่ยเทียนอ้าปากพูดกับโจวเซี่ยวเทียนโดยที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า ด้วยสีหน้าที่ละอายใจ
ทั้งๆ ที่โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนกำชับเยี่ยเทียนว่าอย่าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วถูกแม่ซักถาม โจวเซี่ยวเทียนผู้ไม่กล้าพูดโกหกมาตั้งแต่เด็ก จึงเล่าเรื่องที่เขาไปปล้นสุสานและได้รู้จักกับเยี่ยเทียนออกมาจนหมด
“ไปโทรหาพ่อของพี่ทีสิ!” พอเห็นโจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า เยี่ยเทียนก็ปวดหัวตุบขึ้นมาทันที แล้วรีบขยับปากบุ้ยใบ้ พลางทำท่าคุยโทรศัพท์บอกถังเสวียเสวี่ยที่กำลังยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง
เยี่ยเทียนเป็นคนรุ่นเด็กกว่า จึงไม่สะดวกจะไปพูดตักเตือนแม่ของโจวเซี่ยวเทียน แต่เยี่ยตงผิงเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามาถึงแล้ว ก็น่าจะช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนให้ถังเสวียเสวี่ยไปโทรศัพท์หาพ่อของเขา
“คุณป้าครับ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่? พื้นนี่มันแข็งนะครับ ให้เขาลุกขึ้นมาก่อนดีไหม?”
เยี่ยเทียนแสร้งทำท่าเป็นสับสน พลางโบกมือบอกให้ถังเสวียเสวี่ยออกไปโทรศัพท์ ถังเสวียเสวี่ยก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาดเอาการ จึงรีบผลุบออกไปทันที
“เสี่ยวเยี่ย เธอไม่ต้องปิดบังป้าหรอก ป้ารู้หมดแล้วละ ไอ้ลูกนอกคอกคนนี้มันถึงกับกล้าไปขโมยสุสาน ทำให้บรรพบุรุษต้องเสื่อมเสีย ป้าเองก็ไม่มีหน้าไปเจอกับพ่อของมันที่ปรภพแล้วละ!”
เดิมทีแม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็เป็นครูในโรงเรียน แต่หลังจากที่สายตาเริ่มไม่ดี ก็เปลี่ยนไปทำงานด้านการบริหารอยู่เบื้องหลังแทน และตอนนี้ถึงจะไม่ได้ไปทำงานแล้ว แต่ความคิดความอ่านของเธอก็ยังดีอยู่ พูดไปพูดมาแล้วก็น้ำตาไหล
“แม่ เป็นเพราะผมไม่ดีเอง แม่อย่าเศร้าไปเลยนะครับ!”
เมื่อเห็นแม่หลั่งน้ำตา โจวเซี่ยวเทียนก็ร้อนใจขึ้นมาทันที จึงคลานเข่าเข้าไปอยู่ตรงหน้าแม่ เขารู้ว่าสาเหตุที่แม่ตาบอด ไปนั้น ก็เป็นเพราะสาเหตุจากการหลั่งน้ำตาอยู่บ่อยๆ นั่นเอง
เสียงดัง “เพียะ!” ขึ้นเสียดหู คือแม่ของโจวเซี่ยวเทียนตบหน้าลูกชายไปหนึ่งฉาด “วิถีแห่งวิญญูชนนั้น พึงบำเพ็ญตน โดยสงบ พึงสร้างคุณธรรมโดยเคร่งครัด โจวเซี่ยวเทียน แล้วคุณธรรมของแกล่ะ? หายไปไหนหมดแล้ว? ท่องส่วนที่เหลือให้แม่ฟังเดี๋ยวนี้!”
เมื่อถูกแม่ตบหน้าไปหนึ่งฉาด โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นมา และได้แต่ท่องออกมาอย่างว่านอนสอนง่าย “ไร้ความสมถะย่อมมิอาจแสดงปณิธาน ไร้ความสงบย่อมมิอาจมองการณ์ไกล เลื่อนลอยย่อมมิอาจพากเพียร หุนหันย่อมมิอาจขัดเกลา วัยเคลื่อนไปตามกาล จิตคล้อยไปตามเวลา สุดท้ายย่อมเหี่ยวเฉาโรยรา หาประโยชน์ต่อโลกมิได้ อยู่เฝ้ากระท่อมโทรมตรมตรอมใจ แม้นสำนึกก็สายเกินการณ์!”
“แม่ของเขาก็เป็นคนมีการศึกษาเหมือนกันนะเนี่ย”
เมื่อได้ฟังส่วนที่โจวเซี่ยวเทียนท่องออกมา เยี่ยเทียนก็รู้ว่านั่นคือ ‘โอวาทสอนบุตร’ ที่จูกัดเหลียงหรือขงเบ้งเขียนขึ้น เมื่ออายุ ห้าสิบสี่ปีให้แก่จูเก่อจานผู้เป็นบุตรชายอายุแปดปี ต่อมาคนรุ่นหลังยึดถือเป็นคัมภีร์สำหรับอบรมบ่มนิสัยและสั่งสอนลูกหลาน
หลังจากโจวเซี่ยวเทียนท่องจบก็พูดขึ้นว่า “แม่ ผมสำนึกผิดแล้วครับ!”
“ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่ตระกูลโจวของพวกแก แต่ก็อยู่กับพ่อแกมาสิบกว่าปีแล้ว จึงรู้ดีว่าตระกูลโจวยึดถือหลักการเป็นคนขนาดไหน ทำไมพอมาถึงรุ่นแกแล้วถึงได้กล้าไปทำเรื่องเลวร้ายอย่างขโมยสุสานแบบนี้นะ? แล้วแกยังจะไปสู้หน้าบรรพบุรุษแต่ ละโคตรของตระกูลโจวได้อยู่อีกหรือ?”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนอารมณ์รุนแรง ตอนที่ดุด่าลูกชายก็ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด จนเยี่ยเทียนได้ยินแล้วรู้สึกเครียดตามไปด้วย เขาไม่รู้ว่า ตัวเองควรจะดีใจไหมที่แม่ไม่ได้อยู่ด้วยมาตั้งแต่เล็ก เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะต้องโดนอย่างเจ้าหมอนี่หรือเปล่าก็ไม่รู้?
“คุณป้าครับ ใจเย็นๆ นะครับ เขาอายุยังน้อย แล้วก็ไม่รู้จักสังคมที่ไหนเลย เดินผิดไปก้าวเดียวก็ยังพอจะให้อภัยกันได้อยู่ ผมก็ให้เขามาทำงานที่ปักกิ่งนี่แล้วไงครับ ต่อไปเขาคงจะไม่กล้าทำเรื่องแบบนั้นอีกแล้วละ!”
ต่อให้แม่ของโจวเซี่ยวเทียนจะดุด่าลูกชายต่อหน้าตัวเองอย่างไร ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี พอเยี่ยเทียนคิดดูแล้ว จึงเอ่ยปากพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมา
“เสี่ยวเยี่ย สมัยที่ตาของป้ายังมองเห็น ก็ยังพอจะควบคุมมันได้อยู่ แต่…แต่ตอนนี้ป้ามองไม่เห็นอะไรแล้ว ก็เลยกลัวว่ามันจะไปหัดทำเรื่องเลวๆ น่ะสิ!”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา แล้วยื่นมือออกไปหาเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนจึงรีบยื่นมือออกไปจับไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าครับ ดวงตาของคุณป้านี้ยังรักษาได้อยู่ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ…”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนจับมือของเยี่ยเทียนแน่น “เสี่ยวเยี่ย ไอ้ลูกนอกคอกนี่มันเล่าให้ฟังแล้วละ เรื่องตาของป้าน่ะไม่ เป็นไรหรอก แต่ป้า…ป้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ”
“พูดมาเลยครับคุณป้า…” เยี่ยเทียนตอบ
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เสี่ยวเยี่ย ได้ยินมาว่าเธอเป็นคนที่รู้ศาสตร์ลี้ลับ เหมือนกับพ่อของเซี่ยวเทียน ป้า…ป้าอยากให้เซี่ยวเทียนกราบเธอเป็นอาจารย์ วันหน้าจะได้ไม่เดินทางผิด ทำเรื่องไม่ดีแบบนั้นอีก!”
แม้ดวงตาของแม่โจวเซี่ยวเทียนจะมองไม่เห็น แต่ในใจกลับรู้ดียิ่งกว่าใครว่า ที่เยี่ยเทียนยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกชายนั้น อาจเป็นเพราะความเมตตาเพียงชั่วขณะ ดังนั้นหากทั้งสองฝ่ายไม่มีเหตุอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกัน ไม่แน่ต่อไปลูกชายอาจจะไปทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรอีกก็เป็นได้
“เรื่องนี้…ไม่ได้หรอกครับคุณป้า ธรรมเนียมของพวกเราสองสำนักไม่เหมือนกัน วิชายุทธกับศาสตร์ลี้ลับที่ศึกษาก็ เป็นคนละอย่างกัน ทำแบบนั้นไม่เหมาะหรอกครับ!”
พอได้ยินแม่ของโจวเซี่ยวเทียนพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เรื่องนี้เขาก็เคยปฏิเสธโจวเซี่ยวเทียนไป ตั้งนานแล้ว ทำไมยังโดนยกขึ้นมาพูดอีกล่ะเนี่ย?
“เสี่ยวเยี่ย ป้าเคยได้ยินพ่อของเซี่ยวเทียนบอกว่า ศาสตร์ของตระกูลโจวขาดการสืบทอดมานานแล้ว วิชาต่างๆ ที่เซี่ยวเทียนใช้เป็นนี่น่ะ บางอย่างป้าก็แค่อาศัยความทรงจำท่องให้มันฟังโดยที่ไม่ได้เข้าใจความหมายเลย เธอจะถือเสียว่าตระกูลโจวสูญสิ้นไปแล้วก็ได้นะ ได้ไหมล่ะ?!”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนมีสีหน้าวิงวอน ตั้งแต่สามีถึงแก่กรรมไป เธอก็เลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวคนเดียวจนเติบใหญ่ หลายปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากบ้านเดิมของตัวเองเลยสักครั้ง แต่เพื่ออนาคตของลูกชายแล้ว เธอกลับยอม พูดแบบนี้กับเยี่ยเทียน
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนเคยได้ยินสามีกับพ่อสามีคุยเรื่องเกี่ยวกับวงการศาสตร์ลี้ลับอยู่เหมือนกัน เธอจึงรู้ว่าตามธรรมเนียมในยุทธภพนั้น นอกจากพ่อกับลูกแล้ว ความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือระหว่างอาจารย์กับศิษย์นี่เอง ดังนั้นมีแต่ต้องให้ลูกชายกราบเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์ เธอถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง
“คุณป้า มัน…มันไม่เหมาะจริงๆ นะครับ ผมกับเซี่ยวเทียนอายุก็ไม่ได้ห่างกันมาก ถ้าเป็นเพื่อนกันละก็ได้อยู่ แต่ถ้าให้เป็นอาจารย์กับศิษย์นี่ มัน…มันไม่ได้หรอกครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้ารัวๆ ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว คุณสมบัติของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้แย่อะไร สามารถผ่านเกณฑ์การรับศิษย์ของสำนักเสื้อป่านได้อยู่ แต่เขาอายุมากเกินไป เลยอายุที่ควรจะฝึกวิชายุทธของสำนักไปนานแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมาศึกษาวิชาของสำนักเสื้อป่าน
“เสี่ยวเยี่ย ป้า…ป้าถือวิสาสะเกินไปเองแหละ ขอโทษที่รบกวนนะ เซี่ยวเทียน พวกเราไปกันเถอะ!”
ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงก็คือ แม่ของโจวเซี่ยวเทียนถึงกับลุกขึ้นมา และเรียกลูกชายให้กลับกันเดี๋ยวนั้นเลย ทำให้เขารู้ สึกลำบากใจขึ้นมาทันที ไม่นึกเลยว่าเธอจะมีนิสัยแกร่งกร้าวขนาดนี้
เยี่ยเทียนฝืนยิ้มพลางรั้งตัวแม่ของโจวเซี่ยวเทียนไว้ “โธ่ คุณป้า ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะครับ ถ้าผมกับเซี่ยวเทียน เป็นเพื่อนกัน ผมก็จะช่วยดูเขาให้เหมือนกันนั่นแหละ!”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้า “มันไม่เหมือนกันหรอก ป้ารู้ว่ามันเป็นเด็กกตัญญู ถ้ามันกราบเธอเป็นอาจารย์แล้ว ก็จะเชื่อฟังเธอทุกเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นป้าก็กลัวว่าวันหลังเธอจะคุมมันไม่อยู่น่ะสิ!”
“นี่…นี่มันเหตุผลแบบไหนกันล่ะเนี่ย?”
เยี่ยเทียนถูกแม่ของโจวเซี่ยวเทียนโต้กลับจนชักจะพูดไม่ออก เมื่อเห็นเธอลุกขึ้นมาและกำลังจะเดินออกไปแล้ว ก็รีบพูดขึ้นว่า “คุณป้าครับ เอาอย่างนี้ไหม ให้เซี่ยวเทียนมาเป็นศิษย์นอกสำนักของผมก็แล้วกัน เขาไม่เหมาะจะเรียนศาสตร์ลับของสำนักผมจริงๆ แต่บางอย่างผมก็ยังพอจะสอนให้เขาได้อยู่”
ในสมัยโบราณ ศิษย์สายตรงจะเป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของอาจารย์ โดยอาจารย์จะถ่ายทอดทักษะทั้งหมดที่ตัวเองมีอยู่ให้แก่ศิษย์ ส่วนศิษย์นอกสำนักนั้นก็คือการเป็นศิษย์แต่เพียงในนาม หมายความว่าอาจารย์ยอมให้ติดตามแล้วและจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบางอย่างให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่นี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการดูหมิ่นต่อโจวเซี่ยวเทียนเลย เพราะตอนที่เยี่ยเทียนไปกราบอาจารย์สมัยอายุห้าขวบนั้น ก็ได้เป็นศิษย์นอกสำนักของหลี่ซั่นหยวนเช่นกัน เมื่ออายุครบสิบปี ท่านถึงจะรับเขาเข้าสู่สำนักอย่างเป็นทางการ
…………