หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 277 คดีฆาตกรรม
นับตั้งแต่ยุคปลายปี 80 ภาพยนตร์ฮ่องกงก็แพร่หลายไปทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ ช่วงหนึ่งการสวมใส่เสื้อผ้าของตัวละครในภาพยนตร์ฮ่องกง ดูราวจะเป็นกังหันลมบอกกระแสแฟชั่นที่แพร่หลายในจีนแผ่นดินใหญ่เลยก็ว่าได้
ตัวอย่างเช่นพอโจวเหวินฟะในบทบาทของพี่เสี่ยวหม่าในเรื่อง “โหด เลว ดี” ได้ฉายออกไป ทันใดนั้นก็ทำให้ถนนสายใหญ่ของเมืองมากมายในจีนแผ่นดินใหญ่ เพียงชั่วข้ามคืนปรากฏว่ามีคนใส่เสื้อโค้ทสวมแว่นกันแดดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน แถมยังเด็กวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่จงใจใช้ก้นบุหรี่จี้เสื้อโค้ทจนเป็นรูสองสามรู
และในยุคปี 90 ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นเหล่านี้มากที่สุดก็คือ กู๋หว่าไจ๋ มังกรฟัดโลก
เนื่องจากการยกเลิกระบบทำงานแทนพ่อแม่ ปลายยุคปี 90 ในสังคมจึงมีวัยรุ่นว่างงานอยู่มากมาย
วัยรุ่นเหล่านี้กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อนพลุ่งพล่าน เมื่อถูกคนบางส่วนจงใจชี้นำทันใดก็จะเลียนแบบวีรบุรุษจากในภาพยนตร์พวกนั้น เชือดคอไก่เพื่อคำนับหัวหน้า แล้วก็ชอบย้อมสีผมตัวเองเป็นสีสันที่แปลกและแหวกแนว
หลังจากเห็นคนหนุ่มพวกนั้นแล้ว เว่ยหงจวินก็ตื่นตัวขึ้นมาทันใด เพราะว่าในนั้นมีสองคนที่ใช้มีดฟันเขา เขาใช้แขนสองข้างพยุงร่างลุกขึ้น ร้องตะโกนเสียงดัง “ใครใช้ให้พวกแกเข้ามา ออกไปให้หมด!”
เพียงแต่เว่ยหงจวินนั้นถูกพันไปทั้งตัวราวกับบ๊ะจ่าง เวลานี้จึงไม่มีแรงสยบอะไรให้พวกเขาหวาดกลัว เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นจึงไม่เห็นเขาสำคัญแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่เดินนำมาหัวเราะฮิๆ แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เว่ย ลูกสาวของคุณล่ะครับ? เฮ้ ได้ยินว่ายังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่ใช่เหรอ แถมหน้าตาก็สวยน่ารักเสียด้วย!”
“แก…ถ้าพวกแกกล้าแตะลูกสาวของฉันแม้แต่น้อย ต่อให้ธุรกิจฉันต้องพังพินาศก็จะกวาดล้างพวกแกให้หมด!”
เว่ยหรงหรงเปรียบดังเกล็ดมังกรซึ่งห้ามแตะต้องของเว่ยหงจวิน พอได้ยินคำพูดของพวกอันธพาลแล้ว เขาก็เกือบจะลงจากเตียงมาสู้ฟัดกับพวกเขา แต่กลับถูกเยี่ยเทียนกดไว้บนเตียง
“ลุงเว่ย ใจเย็นๆ ดูสิว่าพวกมันมาทำอะไร” ใบหน้าของเยี่ยเทียนแฝงไปด้วยรอยยิ้ม แต่หากสังเกตที่สายตาของเขาแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้หนาวเย็นไปถึงกระดูก
“ต้องอย่างนั้นสิ เถ้าแก่เว่ย ปากบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่กลับไม่รู้จักมารยาทสักนิด จะดีหรือร้ายเราก็มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของคุณนะ!” พอเห็นเยี่ยเทียนห้ามปรามเว่ยหงจวินเอาไว้ เด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างราบเรียบ “มีเรื่องอะไร เชิญพูด ลุงเว่ยร่างกายไม่แข็งแรง จำเป็นต้องพักผ่อน!”
“ไอ้หนู แกเป็นใครวะ? เชื่อไหมว่าลูกพี่อย่างข้าฟันเอ็งตายได้นะ?!” เด็กหนุ่มผมสีเหลืองมองเยี่ยเทียนอย่างเหยียดหยาม มือขวาเลิกเสื้อตรงเอวขึ้น มีมีดผ่าแตงโมเสียบอยู่ตรงช่วงเอวเขาอย่างเด่นชัด
“แกพูดกับใครว่าเป็นลูกพี่หา?”
เยี่ยเทียนยังไม่ได้พูด โจวเซี่ยวเทียนกลับไม่พอใจเสียแล้ว เขาเป็นลูกศิษย์ของเยี่ยเทียน หากหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้จะเป็นลูกพี่เยี่ยเทียน ก็เท่ากับว่าตัวเองได้อาจารย์ของอาจารย์เพิ่มมาอีกคนหรือ?
อีกอย่าง ถึงเห็นว่าพวกอันธพาลสี่ห้าคนพวกนี้ล้วนพกมีดมาด้วย แต่ฝีเท้าเลื่อนลอย ไม่มีวรยุทธ์ในตัวเลยแม้แต่น้อย โจวเซี่ยวเทียนจึงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่ต้องให้อาจารย์ออกท่า ตัวเขาเองคนเดียวก็สามารถจัดการทั้งหมดได้แล้ว
“เฮ้ย ไอ้หนู หาเรื่องกันเรอะไง?”
หนุ่มผมสีเหลืองถลึงตา มือคว้าด้ามมีด เดินพุ่งไปยังโจวเซี่ยวเทียน หลายวันก่อนเขาเพิ่งจะฟันเว่ยหงจวินจนมีสภาพขนาดนี้โดยที่ตัวเองไม่เป็นอะไร ตอนนี้จึงยโสโอหังไม่เบา
“พอแล้ว พี่ชายทั้งหลาย มีธุระก็พูดออกมาเถอะ” เยี่ยเทียนก้าวออกมาขวางโดยยังคงน้ำเสียงเดิม กั้นกลางระหว่าง หนุ่มผมสีเหลืองกับโจวเซี่ยวเทียน
“ระยำเอ๊ย ไว้เดี๋ยวจะกลับมาจัดการแกไอ้หนู!” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอประสานตากับเยี่ยเทียนแล้ว ในใจหนุ่มผมสีเหลืองนั่นกลับสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ และล้มเลิกความคิดจะสั่งสอนโจวเซี่ยวเทียนโดยอัตโนมัติ
วันนี้หนุ่มผมสีเหลืองมาพร้อมกับภารกิจ จึงเดินมาอยู่ตรงหน้าเว่ยหงจวินในทันที ใช้มือลูบผ้าพันแผลบนศีรษะของเว่ยหงจวิน แล้วแสยะยิ้ม “เถ้าแก่เว่ย หัวหน้าของพวกเราบอกว่า หากคุณฉลาดล่ะก็ เอาเงินหนึ่งแสนมาเป็นค่าชดเชยสองสามโครงการก่อนหน้า นอกจากนี้ก็ให้ส่งโครงการรื้อถอนตัวถัดไปให้บริษัทของพวกเรา แล้วจะถือว่าเรื่องนี้หายกัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หึๆ…”
จากความคิดของหัวหน้าหนุ่มผมสีเหลือง คราวนี้นับว่าเขาเอาชนะเว่ยหงจวินสำเร็จ จึงไม่กลัวว่าเขาจะไม่รับแผนการของตัวเอง ไม่อย่างนั้นตัวเองก็จะส่งคนไปก่อกวนที่เขตก่อสร้างทุกวัน เพื่อทำให้เว่ยหงจวินเสียหายมากยิ่งขึ้น
เถ้าแก่บริษัทรับรื้อถอนพวกนั้น ใช่ว่าจะไม่เคยคิดจะถอนรากถอนโคนเว่ยหงจวิน แต่ว่าพวกเขาเองก็รู้ถึงเบื้องหลังของ เว่ยหงจวินมาบ้าง ถ้าหากเล่นถึงขั้นตายกันไปข้าง จะไม่เป็นผลดีกับพวกเขานัก
“พวกแก!” เว่ยหงจวินเกือบตาถลนออกมา เขาเคยถูกหยามเกียรติถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? จึงรู้สึกโกรธจัดเสียจนแทบหายใจไม่ทัน
เยี่ยเทียนตบหลังเว่ยหงจวินเบาๆ ช่วยให้เขาหายใจคล่องขึ้น พลางพูดว่า “ลุงเว่ย ไม่ต้องโมโหๆ ถูกคนพวกนี้ทำให้โมโหจนเสียสุขภาพ มันไม่คุ้มหรอกครับ!”
“ไอ้หนู เอ็งพูดอะไรวะ? อยากตายหรือไง?” หนุ่มผมสีเหลืองผลักตัวเยี่ยเทียนออก ทำท่าราวกับว่าพูดไม่เข้าหูแล้วจะดึงมีดออกมาฟันคน
“เหอะๆ เซี่ยวเทียน คนคนนี้นะ พูดจาด้วยเหตุผลกับเขา เขาก็ทำตัวพาลใส่นาย แล้วถ้านายทำตัวพาลใส่เขาล่ะ? เขาก็จะอ้างกฎหมายกับนาย พวกเราหาเรื่องพวกเขาไม่ได้หรอก!”
เมื่อถูกหนุ่มผมสีเหลืองผลักเล็กน้อย เยี่ยเทียนจึงยิ้มขึ้นมา แถมยังยิ้มอย่างมีความสุขมาก มือขวาที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง พลางช่วยปัดฝุ่นช่วงหน้าอกของหนุ่มปมสีเหลืองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูดว่า “ลุงเว่ยจะพิจารณาที่แกพูดเมื่อครู่ พวกแกกลับไปก่อนเถอะ…”
เมื่อถูกเยี่ยเทียนสัมผัสร่างกายนิดหนึ่ง หนุ่มผมสีเหลืองจึงรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งร่างอย่างไม่มีสาเหตุ จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใช้มีดชี้มาที่เยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “ระยำเอ๊ย พวกแกห้ามเล่นตุกติกเด็ดขาด ตอนบ่ายฉันจะมาอีกที และต้องให้คำตอบฉัน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าหงึกๆ พลางพูด “วางใจได้ ฉันจะโน้มน้าวลุงเว่ยให้ พวกเราก็เป็นคนซื่อตรง ไหนเลยจะกล้าหาเรื่องกับพวกคุณล่ะ?”
“ถือว่าแกยังฉลาดอยู่บ้าง พี่น้องทั้งหลาย ไปกันเถอะ ไว้ตอนบ่ายค่อยกลับมา!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยอมอ่อนข้อให้ หนุ่มผมสีเหลืองเหมือนกับได้ชัยชนะในสนามรบ บวกกับที่มาในวันนี้หัวหน้าได้สั่งไว้ว่า แค่ข่มขู่แต่ห้ามลงมือ ดังนั้นถือว่าเขาเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว
“เกรงว่าพรุ่งนี้จะมาไม่ได้แล้วน่ะสิ!”
เมื่อเห็นกลุ่มของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองเดินออกไปจากห้องคนไข้ ใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยเทียนก็พลันหายไป หลังจากเดินไปข้างหน้าเตียงเลื่อนผ้าม่านออก แล้วจึงพูดกับโจวเซี่ยวเทียน “ปิดประตู ลงกลอน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา!”
“ครับ อาจารย์!”
สีหน้าของเว่ยหงจวินเต็มไปด้วยความสงสัย ต่างจากโจวเซี่ยวเทียนที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อครู่ตอนที่เยี่ยเทียนวาดยันต์กลางอากาศ ได้ถูกเขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจน
วิธีการเช่นนี้กระทั่งในตำนานวิชาลับแห่งยุทธภพ ก็ไม่พบว่ามีใครสามารถทำได้ โจวเซี่ยวเทียนนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะใช้ไม้นี้ ภาพลักษณ์ของท่านอาจารย์วัยเยาว์ได้เกิดความความเลื่อมใสขึ้นมาในใจของเขาไม่น้อย
“เยี่ยเทียน คน…คนพวกนั้นเมื่อครู่ คือคนที่ทำร้ายฉัน!”
เว่ยหงจวินอายุใกล้จะห้าสิบปีแล้ว ถูกเด็กๆ พวกนี้ทำร้าย ความอัดอั้นตันใจมีมากแค่ไหนไม่ต้องคิดเลย เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีใบหน้ายิ้มแย้มส่งคนพวกนั้นออกไป เมื่อครู่เขาเกือบจะข่มอารมณ์ไม่อยู่
“ลุงเว่ย ขอเชิญคุณลุงดูละครสนุกๆ ได้เลย นี่เป็นเพียงแค่ดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ความอัปยศที่ลุงได้รับ เยี่ยเทียนจะทวงคืนมาให้ลุงอย่างครบถ้วนแน่นอน!”
เยี่ยเทียนหรี่ตาจดจ้องไปที่ทางออกฝั่งผู้ป่วยใน ถึงแม้จะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่บนร่างกลับแผ่รังสีสังหารไปทุกด้าน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครสามารถเรียกตัวเองว่าลูกพี่ต่อหน้าเขาแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยได้
“ดูละคร?”
เว่ยหงจวินได้ยินเข้าก็ตกใจเล็กน้อย พลันหวนนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนงานประมูลเพื่อการกุศลครั้งนั้น แล้วจึงตื่นเต้นขึ้นมาทันที แล้วจึงตบไปข้างเตียงพลางพูด “เยี่ยเทียน เร็วเข้า พยุงฉันไปที่ข้างหน้าต่าง!”
ตอนนี้เยี่ยเทียนต้องจ้องลงมาที่ด้านล่าง จึงไม่สามารถแยกสมาธิได้ แล้วจึงพูดขึ้นมาโดยไม่เหลียวหลัง “เซี่ยวเทียน ช่วยขยับเตียงของลุงเว่ยขึ้น แล้วเข็นมาที่นี่!”
“ทราบแล้วครับ อาจารย์”
โจวเซี่ยวเทียนรีบขานรับ มือไม้ขยับเตียงของเว่ยหงจวินอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงเข็นมาที่ริมหน้าต่าง จึงสามารถเห็นตรงหน้าประตูของผู้ป่วยในได้พอดี
“ออกมาแล้ว…” แววตาของเยี่ยเทียนพลันเยือกเย็น เพราะเขาเห็นเส้นผมอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าหนุ่มผมสีเหลือง
“ระเบิดซะ!”
นิ้วโป้ง นิ้วก้อยและนิ้วนางข้างขวาของเยี่ยเทียนพับงอ นิ้วกลางและนิ้วแนบเข้าหากันเป็นกระบี่ ส่ายไปมาโดยจ่อไปที่เด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่อยู่ชั้นล่าง พลังพิฆาตที่มองไม่เห็นกลุ่มหนึ่งทะลวงอากาศไปไกลกว่ายี่สิบเมตร พุ่งตรงไปที่ตัวเด็กหนุ่มผมสีเหลือง
“ชิบหาย ทำไมถึงได้หนาวอย่างนี้? นี่มันจะเดือนเมษายนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หนุ่มผมสีเหลืองที่เพิ่งจะออกมาจากแผนกผู้ป่วยในตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บอย่างรุนแรง จากนั้นความคิดก็พลันสับสน เขาพบว่าเรื่องที่เขาแอบคบพี่สะใภ้รองของพี่น้องในแก๊งถูกคนเปิดโปงแล้ว ทำให้พี่น้องทั้งหมดในแก๊งตามไล่ฆ่าเขา
พี่น้องที่เดิมสนิทสนมถึงขั้นใส่กางเกงตัวเดียวกันได้ เวลานี้กลับถือมีดพร้าฟาดฟันไปยังศีรษะของเขา หนุ่มผมสีเหลืองตะโกนร้องขึ้นมาเสียงดัง พลางดึงมีดพร้าขึ้นมาจากเอว
และเขายังพบว่าตัวเองเหมือนถูกเทพเจ้ากวนอูประทับร่าง เหวี่ยงฟาดฟันอย่างห้าวหาญเสียยิ่งกว่าใคร พี่น้องที่เคย เก่งกว่าเขาในอดีตล้วนถูกเขาฟันจนหนีหัวซุกหัวซุน สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นให้เขาฮึกเหิมยิ่งขึ้น ชูมีดไล่ฆ่าอย่างต่อเนื่อง
หนุ่มผมสีเหลืองจมดิ่งอยู่ในโลกประสาทของตัวเอง แต่ในสายตาของคนนอกที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นแตกต่างกัน เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนนักเลงหัวไม้คนนั้น เพิ่งจะเดินออกมาจากแผนกผู้ป่วยใน ทันใดนั้นก็ชักมีดออกมา แล้วฟาดฟันไปยังคน สองสามคนที่อยู่ข้างกายเขา
ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดการระวังตัวอย่างสิ้นเชิง ในที่เกิดเหตุจึงมีคนถูกฟันเข้าที่คอสองคน กุมลำคอด้วยสีหน้า หวาดผวาแล้วล้มลงบนพื้นอย่างช้าๆ ฟองเลือดไหลทะลักออกจากปากไม่ขาดสาย
ส่วนอีกสองคนที่ตอบสนองไว ก็พุ่งเข้าไปจับมีดในมือของหนุ่มผมสีเหลืองเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่า เจ้าหนุ่มผมสีเหลืองกลับพลิกมือฟันกลับมาหนึ่งที มีดผ่าแตงโมสั่งทำพิเศษด้ามนั้นถึงกับตัดข้อมือคนขาดออกมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เหลือจึงหวาดกลัวจนแทบเสียสติในทันที โดยไม่ใส่ใจพี่น้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น แล้วหันหน้าวิ่งหนีออกไปข้างนอก
แต่ดูเหมือนเจ้าหนุ่มผมสีเหลืองนั้นได้หมายหัวเขาเอาไว้แล้ว ไล่ตามติดไม่ยอมเลิกรา หลังจากที่วิ่งห่างออกไปได้ยี่สิบกว่าเมตร ก็สามารถตามไล่หลังคนนั้นทันในที่สุด แล้วฟาดมีดลงไปที่ด้านหลังของศีรษะ
ทางออกตึกผู้ป่วยในเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นกะทันหัน ทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยล้วนอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา โรงพยาบาลที่แต่เดิมเคยสงบสุข พลันมีเสียงร้องไห้กันยกใหญ่ ภาพนั้นราวกับมีบุคคลยิ่งใหญ่สักคนเสียชีวิตก็ไม่ปาน
“เยี่ย…เยี่ยเทียน นาย…นายทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า?”
ถึงแม้เว่ยหงจวินจะเกลียดคนพวกนั้นเข้ากระดูกดำ แต่เมื่อได้ดูฉากโชกเลือดนี้กับตาตัวเอง ก็อดหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจไม่ได้ เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมลงมาตามกระดูกสันหลัง
…………