หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 280 ทำลายสนาม (2)
“ทำลายสนาม? อาจารย์ นั่นคือการบุกทำลายสนามใช่ไหมครับ?” หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
คำว่า “ทำลายสนาม” มาจากมณฑลกวางตุ้ง เพราะว่าช่วงก่อนเปิดประเทศ ในมณฑลกว้างตุ้ง ฮ่องกงเป็นต้น มีชมรมศิลปะการต่อสู้เยอะที่สุด แต่ละชมรมมักเกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกันง่ายมาก
สุภาษิตเคยกล่าวไว้ว่านักบุ๋นไม่มีที่หนึ่ง นักบู๊ไม่มีที่สอง คนในยุทธภพเป็นกลุ่มคนที่มีพลังฮึกเหิมและชิงดีชิงเด่น ตอนแรกก็เริ่มต้นจากการท้าปะลอง และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการหาเรื่อง จากนั้นคำว่า “ทำลายสนาม” จึงได้เกิดขึ้นมานั่นเอง
ก็เหมือนกับหลีเสี่ยวหลงศิษย์ของปรมาจารย์ยิปมัน ในช่วงแรกที่ฝึกฝนการต่อสู้เขามักไปขอปะลองกับรุ่นพี่ในยุทธภพ แต่การ “ทำลายสนาม” ของเขา คือการท้าปะลองการต่อสู้ในเชิงศิลปะเท่านั้น
และหลังจากที่หลีเสี่ยวหลงมีชื่อเสียงจนสามารถเปิดชมรมศิลปะการต่อสู้ ในชมรมก็มีคนมาท้าปะลองทำลายสนาม อย่างไม่ขาดสาย คนเหล่านั้นไม่มีแรงจูงใจอื่น หากแต่การบุกทำลายชมรมคือจุดประสงค์ของพวกเขา
ส่วนบริษัทรื้อถอนของชิวเหวินตงกับเว่ยหงจวินที่ถูกตีนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน และเยี่ยเทียนตะโกนคำว่า “ทำลายสนาม” ออกมา แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงการไปดื่มน้ำชาสักแก้ว
“อืม ไปบุกทำลายสนามนั่นแหละ พรุ่งนี้แกเป็นตัวนำหลัก วันนี้พักผ่อนให้เต็มทีนะ อย่าทำให้อาจารย์ขายหน้าเด็ดขาด!” ความรู้สึกของเยี่ยเทียนขณะนี้คือการรับลูกศิษย์ไว้สักคนก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว อย่างน้อยไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว
หลังจากตระกูลโจวย้ายครอบครัวไปที่เหอเป่ย พวกเขาได้ทำความรู้จักกับสำนักวูซูในพื้นที่อยู่บ้าง ก็เหมือนกับกังฟูของโจวเซี่ยวเทียน ที่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริงโดยใช้มวยปาจี๋
สำหรับศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีน มีคำกล่าวต่อไปนี้มายาวนานว่า “บุ๋นมีไท่จี๋ทำให้สังคมสงบเรียบร้อย บู๊มีมวย ปาจี๋ยุติ การทำสงคราม” สำหรับ”ปาจี๋นั้นสามารถขับเคลื่อนแรงออกไปทั่วทุกสารทิศ ท่าทางเรียบง่ายแต่มีความดุดัน และมีการใช้เท้า ก้าวเพื่อเสริมแรงในการโจมตี
มวยปาจี๋มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลซานตง เขตชิ่งหยุน จากนั้นสืบทอดไปยังมณฑลเหอเป่ยจังหวัดชางโจว บรรพบุรุษของโจวเซี่ยวเทียนเคยใช้ศิลปะการต่อสู้เข้าสังคมที่ชางโจว เขานำแก่นแท้ของมวยปาจี๋ค่อยๆ ซึมซับเข้าสู้กังฟูที่บรรพบุรุษสืบ ทอดต่อๆ กันมา เรียกได้ว่าเป็นการหลอมรวมภายในกับภายนอกก็ว่าได้
อย่าดูถูกโจวเซี่ยวเทียนที่มีอายุไม่มาก แต่เขามีกำลังภายในที่สืบทอดจากบรรพบุรุษเป็นฐาน บวกกับมวยปาจี๋ของมวยภายนอกมีความหนักแน่น เพียงเท่านี้ก็ถึงขั้นพลังแฝงได้แล้ว
ตอนนั้นเยี่ยเทียนติดตามอาจารย์ไปท่องยุทธภพ เขาเคยเห็นแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีฝีมือและเอาชนะโจวเซี่ยวเทียนได้ ถึงแม้ว่าจะมีคนเคยชนะก็ตาม แต่คนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบที่เลือดใกล้สลายทั้งนั้น
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า “มวยกลัวคนหนุ่ม กระบองกลัวชายชรา” พวกอาจารย์มวยอาวุโสที่ฝึกฝนศิลปะมวยภายนอกจนชำนาญ ถ้าสู้กันขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพ่อหนุ่มโจวเซี่ยวเทียนอยู่ดี
และแน่นอน วิชาของภายนอกคือฝึกกำลัง วิชาของภายในคือฝึกการออกแรง ถ้าหากเจอคู่ต่อสู้ที่ฝึกภายในชำนาญ ถึงขั้นพลังแฝงได้ วรยุทธ์ของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่มีอะไรให้ดูต่อแล้ว เพียงแต่ว่าศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบันมีน้อยและคนประเภทนี้ ก็มีน้อยมากเช่นกัน
“ได้เลยครับอาจารย์ ไว้ใจผมได้เลย ผมไม่ทำให้อาจารย์ขายหน้าแน่นอน” ถึงแม้โจวเซี่ยวเทียนจะเป็นคนสุขุม แต่เขาก็ยังมีนิสัยคนหนุ่มอยู่บ้าง ตอนนั้นได้เอาหมัดถูกับฝ่ามือทำเหมือนอยากจะบุกไปซะเดี๋ยวนั้นเลย
……
เขตตงเฉิงวงแหวนรอบนอกมีตึกแถวสองชั้นอยู่หนึ่งหลัง ประตูเรือนที่อยู่ข้างนอกมีป้ายอันซุ่นรื้อถอนห้อยโตงเตงอยู่ ภายในเรือนมีรถจอดอยู่สามสี่คัน แต่ไม่มีแม้แต่เงาของใคร
แต่ห้องๆ หนึ่งของชั้นสองกลับมีเสียงของผู้คนอย่างอื้ออึง มีเจ็ดแปดคนตะโกนไปมากับการเล่นไพ่ปายโกว
คนที่เป็นเจ้ามือนั้นอายุประมาณสี่สิบกว่า หัวโล้น บนหัวมีรอยแผลเป็นลักษณะคล้ายไส้เดือนยาวประมาณสองนิ้ว ที่คอของเขาใส่สร้อยทองขนาดเท่านิ้วก้อยอยู่หนึ่งเส้น
“แม่งเอ้ย วันนี้พวกแกรุมกันมาฆ่าพี่เหว่ยฉันใช่มั้ย?”
พอเปิดไพ่ปายโกวที่มือกลับเป็นสิบซะงั้น เขาจึงโยนเงินฟ่อนนึงตรงหน้าออกไปอย่างแรงโดยไม่เต็มใจเท่าไร ปากก็ด่า พึมพำไม่หยุด แต่ตากลับไม่กะพริบ
สมัยนี้ไม่เหมือนกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว คุณธรรมความมีน้ำใจแบบพี่น้องเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว ถ้าไม่มีสิ่งของที่คุ้มค่า ก็จะไม่มีใครทำงานถวายหัวให้คุณอีก เวลาที่พี่ใหญ่เฟ่ยไม่มีเรื่องให้ทำ เขามักจะชวนพี่ๆ น้องๆ ของเขามาเล่นไพ่ปายโกวเพื่อกระชับความสัมพันธ์
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเกิดปี 50 พ่อของเขาเคยเป็นทหารอยู่ในกรมทหารบก ในยุคสมัยที่บ้าคลั่งเช่นนั้น พ่อของพี่ใหญ่เฟ่ย ติดตามรองผู้บัญชาการคนหนึ่ง ถึงแม้ตำแหน่งไม่สูงเท่าไร แต่ก็เป็นคนที่มีอำนาจมากจริงๆ
สมัยนั้นจะให้ความสำคัญกับ “พ่อเป็นฮีโร่ ลูกจะเป็นลูกผู้ชาย พ่อเป็นหมีลูกจะเป็นไอ้งั่ง” เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเป็นราชาของเด็กในกรมทหารบกตั้งแต่อายุสิบเอ็ดขวบสิบสองขวบ เขามักจะนำพรรคพวกไปต่อยตีกับคนข้างนอก
แต่แล้วในปี1971ของเดือนกันยายน รองผู้บัญชาการหลบหนีและเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ พ่อที่เป็นดั่งฮีโร่ของเฟ่ยเฮ่อ เหว่ย จากฮีโร่กลายเป็นหมีภายในคืนเดียวเช่นกัน หลังจากสอบสวนโดยใช้เวลาไปกว่าสามเดือน เขาก็ถูกส่งตัวเข้าไปในคุก
และเส้นทางชีวิตของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือพราะเรื่องนี้ไปเลย จากราชาเด็ก ทันใดนั้นก็กลาย เป็นลูกหลานของการปฏิวัติต่อต้าน และทุกคนในครอบครัวก็ต้องย้ายออกจากบ้านพักทหาร
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ทำให้สภาพจิตใจของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ในตอนนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละวันเขาใช้ ชีวิตปะปนอยู่แต่กับคนกลุ่มหนึ่งในสังคม
เนื่องจากเฟ่ยเฮ่อเหว่ย เคยฝึกฝนการต่อสู้กับคนในค่ายทหารอยู่บ้าง ผนวกกับการต่อสู้ที่แข็งแกร่งดุเดือดของเขา ไม่นานเท่าไรเขาก็กลายเป็นมือใหม่ที่แข็งแกร่งของเขตตงเฉิง การเปลี่ยนแปลงนี้เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เขาถูกดูถูกเรื่องที่พ่อถูก คุมขังในคุก
หลังจากความไม่สงบในเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงไป พ่อของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ก็ออกจากคุก เนื่องจากเขาเกี่ยวพันกับคดี ไม่มาก เพื่อเป็นการชดเชยให้กับผลงานที่เขาสร้างไว้ในช่วงสงคราม ทางรัฐจึงได้จัดหางานให้กับเฟ่ยเฮ่อเหว่ย โดยให้เขาไปฝึก งานเป็นช่างไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมทหารแห่งหนึ่ง
เพียงแต่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยในขณะนั้น ไม่ว่าจะเข้าหรือจะออกไปไหนก็มีลูกน้องคอยเปิดทางกันท้ายให้ ภาพที่งดงามเช่นนั้นไม่มีอะไรมาเทียบได้ แล้วเขาจะยอมไปเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานได้ยังไงละ? ดังนั้นถึงแม้จะเข้าไปด้วยความสันพันธ์แบบ นั้นแล้วก็ตาม เขากลับไม่เคยไปทำงานเลยสักครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากไม่กี่ปีของการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี เขาก็ถูกพิพากษาในเหตุการณ์กวาดล้างทั่วประเทศ ในฐานะมือใหม่ที่แข็งแกร่งของเขตปักกิ่งถิ่นชาววัง เฟ่ยเฮ่อเหว่ยถูกตัดสินจำคุกสิบปีในข้อหาอาชญากรรมที่ก่อความเดือดร้อน
คนที่ออกมาจากคุกจะมีอยู่สองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือประเภทที่กลับตัวกลับใจได้ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ เมื่ออยู่ในถังที่ซึมซับความไม่ดีนั้น รังแต่จะมีความคิดแต่เรื่องที่ไม่ดี
แน่นอน เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเป็นคนประเภทที่สอง ตั้งแต่ออกมาจากคุก คนที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยอย่างเขาพบว่า สังคมเปลี่ยนไปแล้ว
เพื่อนๆ ของเขาในสมัยนั้นต่างก็กลับตัวเป็นคนดีไม่ชกต่อยกับใครแล้ว และหลังจากที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไปอาศัยที่บ้าน ของเพื่อนอยู่หลายเดือน ตัวเขาเองสัมผัสได้เลยว่าคนเหล่านั้นเริ่มรู้สึกหมดความอดทนกับตัวเอง
และด้วยความบังเอิญ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยได้พบกับเพื่อนในคุกในตอนนั้นคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นออกจากคุกเร็วกว่าตัวเองและตอนนี้เขาเปิดสถานีกระจายสินค้าจนสำเร็จ เวลาใช้จ่ายเขาก็ใช้จ่ายอย่างใจกว้าง
เพื่อนในคุกของเขาคนนั้นก็คือชิวเหวินตงนั่นเอง ในตอนนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยจนมุมไม่มีหนทางแล้ว จึงได้ยอมบากหน้า เอาตัวเข้าไปทำงานกับชิวเหวินตงที่สถานีกระจายสินค้า
แต่เฟ่ยเฮ่อเหว่ย ตั้งแต่เกิดมาเขาเป็นคนที่คิดไม่ดีอยู่ตลอด เขาหมิ่นเงินน้อยและรู้สึกต้องทำงานหนัก สุดท้ายเขาก็ เอาความคิดแย่ๆ ไปอยู่ที่สินค้าที่ต้องกระจายให้คนอื่น
ตอนนั้นกลุ่มคนที่ชิวเหวินตงรับเลี้ยงเอาไว้ มีคนที่ดีอยู่ไม่กี่ตัว และคนที่มีความคิดเหมือนกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็มีอยู่ไม่น้อย พวกเขาเริ่มรุมหัวกันขโมยสินค้าในสถานีกระจายสินค้า
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี เรื่องที่พวกเขารวมหัวกันขโมยสินค้าก็แดงขึ้น ในตอนนั้นชิวเหวินตงด้วยรักเพื่อน เขาจึงแบกรับเรื่องราวไว้ทั้งหมด ทำให้เขาถูกตัดสินคดีจำคุกเป็นเวลาสามปี สุดท้ายสถานีกระจายสินค้าก็ถูกปิดตัวลง เพราะเรื่องนี้เช่นกัน
แต่ในตอนนั้นตัวเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเองมีเงินเก็บอยู่ในมือบ้างแล้ว บวกกับเขามักใช้เงินเล็กน้อยนำไปเลี้ยงคนนู้นทีคนนี้ที ทำให้ล้วงความลับกว่าครึ่งหนึ่งของสถานีกระจายสินค้าของชิวเหวินตงมาได้ และเขาก็หนีไปเปิดสถานีขนส่งสินค้าฝั่งเขตตงเฉิงขึ้นมาได้หนึ่งร้าน
ชิวเหวินตงเกิดในครอบครัวศิลปะการต่อสู้ของจีน เวลาทำอะไรก็ตามเขาจะให้ความสำคัญกับกฎของยุทธภพ แต่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่ใช่คนแบบนั้นเพราะเขาคือนักเลงท้องถิ่นที่แท้จริง แม้ว่าเขาจะเปิดบริษัทได้ แต่ก็คดโกงหลอกลวงทุกอย่าง
ในช่วงที่สถานีขนส่งสินค้าเพิ่งเปิดบริการ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยหาเงินมาได้จำนวนไม่น้อย แต่เปิดได้ไม่นานก็เริ่มถดถอย หลายคนเริ่มไม่ยินยอมที่จะส่งสินค้าให้เขาดูแล
ในเวลานั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็ค้นพบเส้นทางการหาเงินอีกหนึ่งเส้นทาง และเส้นทางนี้มีความเกี่ยวข้องกับชิวเหวินตง อีกเช่นเคย หลังจากปีที่พี่ตงออกมาจากคุก พี่ตงใช้ชีวิตจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยได้ หนึ่งบริษัท แถมยังเปิดบริษัทรื้อถอนได้อีกหนึ่งบริษัท
ตอนนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยหาคนสืบเกี่ยวกับบริษัทรื้อถอนจนรู้คำตอบ ทันใดนั้นเขาจึงตาลุกวาว เพราะว่าการใช้ความรุนแรงบังคับให้ผู้อื่นต้องย้ายและรื้อถอนบ้าน มันคือสิ่งที่พวกเขาถนัดไม่ใช่หรือ? อาชีพนี้แหละที่เกิดมาเพื่อพวกเขานั่นเอง!
ดังนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยจึงใช้ความหน้าด้านไปหาชิวเหวินตงอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาสัมผัสได้ว่าชิวเหวินตงไม่รับความตั้งใจของเขาเลย
เขาจึงทำทุกวิถีทาง เฟ่ยเฮ่อเหว่ยหลอกชิวเหวินตงจนสำเร็จและเปิดบริษัทย่อยที่เขตตงเฉิง ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัทของชิวเหวินตงนั่นเอง และบริษัทนั้นก็เป็นบริษัทรื้อถอนเช่นกัน
หลังจากที่รับออเดอร์สำเร็จไปหลายออเดอร์ และรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทรื้อถอนทั้งหมดแล้ว บริษัทของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย จึงได้ปลีกตัวออกมาดูแลกิจการด้วยตัวเอง แต่เขารู้ตัวดีว่าชื่อเสียงของเขาไม่ดีเท่าไร เขาจึงแอบอ้างชื่อของชิวเหวินตงในบางที
ส่วนชิวเหวินตงเป็นคนรักหน้าตา บวกกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมักจะคุยโวเกี่ยวกับความกระตือรือร้นในเรื่องสาธารณประโยชน์และชอบช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะรู้ว่าเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเป็นคนไม่จริงใจก็ตาม แต่ก็ไม่ได้แตกคอกับเขา เขาจึงใช้วิธีลืมตาค้างหนึ่ง หลับตาค้างหนึ่งมาโดยตลอด
หลายเดือนก่อนพฤติกรรมการข่มขู่เว่ยหงจวินของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ในความจริงเป็นการกระทำของเขาเองทั้งหมด แต่เขาลากชิวเหวินตงมาเกี่ยวข้องด้วยเพราะว่าชื่อเสียงของเขา สิ่งที่เขาทำก็เหมือนกับการดึงหนังของเสือมาทำธงนั่นเอง
แต่เว่ยหงจวินเองก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองปักกิ่ง การจัดการคนนี้ทำให้เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่มีความมั่นใจเท่าไร เขาจึงใช้เวลาหาวิธีอยู่นานหลายเดือนจนวางกับดักได้สำเร็จ และเว่ยหงจวินก็ถูกกับดักจัดการไปครั้งใหญ่
สำหรับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยแล้ว เว่ยหงจวินมีเงินมากมายแค่ไหนก็เป็นได้แค่นักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีเรื่องกับอันธพาลเท้าเปล่าอย่างเขา ดังนั้นเขามีความมั่นใจต่อเรื่องที่เด็กหนุ่มผมสีเหลืองไปเจรจาครั้งนี้มากที่สุด เขาจึงรวมพลพี่น้องมาร่วมกันเดิมพัน และเตรียมตัวรอเด็กหนุ่มผมสีเหลืองกลับมาเพื่อไปเฉลิมฉลองความสำเร็จด้วยกัน
“พี่เหว่ย เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ขณะที่การเดิมพันกำลังเริ่มขึ้นอย่างเมามัน แต่แล้วประตูก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง และมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องอย่างลุกลี้ลุกลน
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่เพิ่งแพ้พนันไปเมื่อครู่ เขาโยนไพ่ปายโกวในมือออกไป และด่าทอว่า “แม่งเอ้ย แกเคาะประตูไม่เป็น หรือไง? เหอะ หรือว่าเตะประตูของเจ้าของบ้านที่ต้องการรื้อถอนจนชินแล้วใช่มั้ย?”
…………