หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 288 ไสยศาสตร์ (2)
เมื่อกลับไปถึงเรือนสี่ประสาน ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว โจวเซี่ยวเทียนและถังเสวียเสวี่ยต่างก็เข้านอนกันหมดแล้ว ผู้ที่ออกมาต้อนรับเยี่ยเทียนจึงมีแต่เหมาโถวที่เที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในบ้านทั้งวัน
“ไป ไปเล่นคนเดียวไป๊ แล้วพรุ่งนี้จะซื้อปลามาให้แกอีกสองร้อยชั่ง!” เยี่ยเทียนจับเหมาโถวที่ยืนอยู่บนไหล่ของเขาปล่อยลงไปบนพื้น ถึงเจ้านี่จะชอบลักเล็กขโมยน้อยอยู่ทุกวี่วัน แต่ก็ทำตัวเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดต่อการอยู่อาศัยในบ้านเรือนก็คือหนู แต่เมื่อมีเหมาโถวอยู่ ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็ไม่มีหนูตัวไหนกล้ามาอีกเลย แต่เรือนสี่ประสานที่อยู่โดยรอบกลับต้องรับเคราะห์ไป เพราะพวกหนูที่หนีไปจากบ้านของเยี่ยเทียนต่างพากันไปสร้างรังอยู่บ้านอื่นแทน
“จีจี”
พอเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่แยแสมันเลย เหมาโถวก็ยื่นอุ้งเท้าน้อยๆ ออกไปตะกุยผมของเยี่ยเทียนอย่างฉุนเฉียว พอผมของเขากลายสภาพเหมือนรังนกแล้ว มันถึงจะโดดลงไปอย่างพอใจ แล้วผลุบหายเข้าไปนอนหลับ ในเรือนข้างของลานบ้านด้านหน้า
ตั้งแต่เยี่ยเทียนเก็บง้าวไว้ในนั้น เหมาโถวก็ไปนอนอยู่ใต้หิ้งวางง้าวทุกวัน ถ้าไม่ใช่เพราะมันเคยนอนกอด ด้ามง้าวแล้วกลิ้งตกลงมาหลายครั้ง มันก็คงจะขึ้นไปนอนกับง้าวเล่มนั้นไปแล้ว
หลังจากไล่เหมาโถวไป เยี่ยเทียนก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง โยนเส้นผมที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อไว้ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มรื้อค้นภายในห้อง
เยี่ยเทียนหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้เตียง แล้วบ่นพึมพำว่า “ปัดโธ่เว้ย เพราะไอ้หมอนั่นแท้ๆ เลย นี่เลยต้องมาเปลืองหยกชั้นดีไปอีกชิ้น”
ตั้งแต่เขาเริ่มมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น เยี่ยเทียนก็ชอบไปเดินเที่ยวย่านพานเจียหยวนเป็นครั้งคราว แต่เขาไม่ได้สนใจวัตถุโบราณซึ่งมีประวัติอันยาวนานเหล่านั้นเลย เป้าหมายของเยี่ยเทียนคือไปเสาะหา หยกดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการสลัก
แต่ที่จำหน่ายกันในพานเจียหยวนนั้นส่วนมากเป็นหยกที่ถูกแกะสลักมาเรียบร้อยแล้ว น้อยนักที่จะมีคนนำหยกดิบมาขาย หยกไม่กี่ชิ้นที่เยี่ยเทียนมีอยู่นี้ แต่ละชิ้นเขาต้องจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อซื้อมา จากร้านขายเครื่องหยกเจ้าหนึ่ง
“หน้าตาก็พอจะดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ ทำไมไม่รู้จักทำเรื่องดีๆ บ้างนะ?”
หลังจากหาหยกเจอแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบกรอบรูปเล็กๆ อันหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ รูปของชายไว้ผมหวีเรียบไปด้านหลังในกรอบนั้น ที่แท้ก็คือเฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั่นเอง นี่เป็นรูปที่เยี่ยเทียนแอบหยิบมาจากห้องทำงาน ของเขาตอนที่จะออกจากที่นั่น
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั้นหน้าตาก็ไม่เลว แต่คิ้วที่เส้นขนชี้ขึ้นเป็นแนวตั้งนั้นกลับทำให้ลักษณะใบหน้าของเขาเสียหมด ยิ่งหากขนคิ้วดกและหยาบหนา ในตำรา ‘ต้าถ่งฟู่’ กล่าวไว้ว่า เป็นลักษณะของคนใจร้อนดุดัน ชอบใช้กำลัง จิตใจอำมหิต และไม่ใช้ความคิด หรือที่เรียกว่า ขนคิ้วแนวตั้งจิตใจโหดเหี้ยม
นอกจากนี้ดวงตาของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยยังแววตาลุกโชน ราวกับนัยน์ตาทั้งคู่พ่นไฟออกมา ดวงตาลักษณะนี้ในตำราโหงวเฮ้งบ่งบอกว่าเป็นคนโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ใจคด และมีความคิดอย่างโจรถ่อย
คนแบบนี้โดยปกติในช่วงอายุสามสิบถึงสามสิบห้าปีมักจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในช่วงอายุสามสิบเจ็ดถึงสี่สิบปีจะมีเคราะห์ หากสามารถรอดพ้นไปได้ ช่วงชีวิตที่เหลือก็จะอยู่อย่างสงบราบรื่น แต่ถ้าหากหลบไม่พ้น ก็จะกลายเป็นจุดจบของชีวิตของคนผู้นั้น
เยี่ยเทียนจ้องดูรูปถ่ายของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า มือซ้ายหยิบหยกขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อย ที่อยู่บนโต๊ะชิ้นนั้นขึ้นมา มือขวาสะบัดข้อมือหนึ่งที แล้วมีดสั้นอู๋เหินก็ถูกชักออกมาถือไว้
ที่บ้านเยี่ยเทียนมีมีดแกะสลักที่ใช้สำหรับแกะหยกโดยเฉพาะอยู่อย่างน้อยก็สิบกว่าด้าม ซึ่งใช้ได้ถนัดมือกว่ามีดสั้นอู๋เหินมากนัก แต่มีดแกะสลักเหล่านั้นไม่สามารถถ่ายทอดกระแสพลังหยินพิฆาต ลงไปในวัตถุที่ถูกแกะสลักได้
ระหว่างที่เยี่ยเทียนแกะสลักไป เศษผงจากการแกะก็ร่วงลงบนโต๊ะไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที หยกแกะสลักรูปคนชิ้นนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเยี่ยเทียน
หยกสลักรูปคนชิ้นนี้ไม่เหมือนกับหุ่นสลักที่เยี่ยเทียนทำขึ้นตอนที่จะแก้ชะตาให้อวี๋ชิงหย่าเมื่อก่อนหน้านี้ ระหว่างที่แกะสลักมันขึ้นมา เยี่ยเทียนตั้งใจถ่ายกระแสพลังพิฆาตเข้าไปในหุ่นสลักนั้นด้วย ทำให้หยกสีขาวบริสุทธิ์ นั้นดูราวกับมีไอปราณดำปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
หลังจากแกะสลักเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็นำกระดาษเหลืองออกมา แล้วนำชาดก้อนหนึ่งมาฝน ใช้พู่กันจุ่มชาดแล้วเริ่มวาดยันต์ขึ้นมา แต่คราวนี้มีความแตกต่างจากยันต์ที่เขาเคยวาดมาอยู่เล็กน้อย โดยส่วนบนของยันต์ใบนี้เขียนชื่อของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไว้ด้วยตัวอักษรจีนห้วนๆ
พอวาดยันต์เสร็จ เยี่ยเทียนก็เทเส้นผมที่อยู่ในห่อผ้าเช็ดหน้าลงไปบนยันต์ จากนั้นก็นำยันต์ใบนั้นมาห่อหุ้มหุ่นสลัก ที่มีหน้าตาคล้ายกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไว้ เท่านี้ขั้นตอนการเตรียมการก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เยี่ยเทียนถือหุ่นสลักนั้นพลิกไปมาอยู่ในมือ ในใจก็เริ่มครุ่นคิดว่า “ไม่รู้ว่าศาสตร์ลี้ลับที่มีรากเหง้ามาจากไสยศาสตร์นี่ จะได้ผลแค่ไหนกันนะ?”
วิชาอาคมที่เยี่ยเทียนกำลังจะใช้นี้ มีความคล้ายคลึงกับตุ๊กตาคุณไสยอยู่เล็กน้อย ต่างกันตรงที่ตุ๊กตาคุณไสย ที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านนั้นเน้นไปที่การระบายอารมณ์เสียมากกว่า แต่ศาสตร์ลับแขนงนี้สามารถ ครอบงำวิญญาณของคนได้ และอาจทำให้คนที่อยู่ไกลเป็นพันลี้ถึงฆาตได้ด้วย
“ฟ้าดินร่วมกำเนิด รากเหง้ามวลพลัง ศักดิ์สิทธิ์ไพศาล ห้าปราณขจรขจาย…”
เยี่ยเทียนวางหุ่นสลักรูปเฟ่ยเฮ่อเหว่ยลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มบริกรรมคาถาเบาๆ เกิดกระแสพลังหยินเย็นกลุ่มหนึ่ง ขึ้นในห้องตามเสียงสวดของเยี่ยเทียน
“ตำหนักไท่ซั่ง พลิกแพลงเปลี่ยนผัน จงเชื่อมถึงกัน!”
เยี่ยเทียนตะเบ็งเสียงออกไป มือทั้งสองข้างขยับนิ้วร่ายอาคม ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วไปที่หุ่นสลัก กระแสพลังหยินและหยางถักสานกัน ทำให้ยันต์บนหุ่นสลักลุกเป็นไฟขึ้นมาเองราวกับถูกจุดชนวน
วิธีการของเยี่ยเทียนไม่เหมือนกับอุบายของพรตเฒ่าอวิ๋นหยางที่อารามเมฆขาว ตาเฒ่านั่นใช้สารเคมีบนแผ่นยันต์ เวลาถูกลมจึงติดไฟขึ้นมาทันที แต่เยี่ยเทียนทำให้ยันต์ติดไฟขึ้นมาโดยใช้วิชาอาคมของจริง
เมื่อยันต์เผาไหม้ไปแล้ว ข้อความที่ดูเลือนรางกลุ่มหนึ่งก็พุ่งจากยันต์เข้าไปในหุ่นหยก ทำให้สีและประกายของหยกชิ้นนั้นยิ่งดูหมองลงไปอีก
“ไม่รู้ของพรรค์นี้มันจะใช้ได้ผลจริงๆ ไหมนะ?” เมื่อสัมผัสได้ถึงไอปราณที่แผ่มาจากหุ่นหยกนั้น ใบหน้าอันเหนื่อยล้าของเยี่ยเทียนก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา
วิชาอาคมที่เยี่ยเทียนใช้อยู่นี้ เป็นไสยศาสตร์ชนิดแรกสุดที่กำเนิดขึ้นในประเทศจีน อันที่จริงจะว่าไปแล้ว วิชาอาคมต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำเสน่ห์ ต่างก็พลิกแพลงมาจากไสยศาสตร์แทบทั้งนั้น
ไสยศาสตร์ปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์จีนมาตั้งแต่บรรพกาลแล้ว
ในยุคดึกดำบรรพ์ เนื่องจากมนุษย์ยังมีความรู้ค่อนข้างน้อย จึงเข้าใจว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เช่นฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือภูเขาไฟระเบิดนั้นเป็นการบันดาลโทสะของเทพเจ้าบางองค์ จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความยำเกรง กลัวว่าถ้าเทพเจ้าโกรธเคืองขึ้นมาเมื่อไรก็จะบันดาลเคราะห์ร้ายให้เกิดขึ้นกับตน
ดังนั้นมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์จึงนำวัตถุบางสิ่งมาบูชา เพราะพวกเขาคิดว่าวัตถุนั้นๆ เป็นตัวแทนของเทพเจ้า และรูปลักษณ์ของเทพเจ้าก็พัฒนามาจากวัตถุเหล่านี้ ทำให้เกิด ‘การบูชารูปสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์’ ขึ้น
ในระหว่างพิธีบูชานั้น มีคนจำนวนน้อยนิดอยู่กลุ่มหนึ่งที่ได้รับพลังแห่งความศรัทธามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เกิดความสามารถบางอย่างซึ่งค่อนข้างพิสดารขึ้นมา คนเหล่านี้จึงกลายเป็นผู้นำหรือผู้มีอิทธิพลของเผ่านั้นๆ
หลังจากผ่านการลองผิดลองถูกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ความสามารถเหล่านั้นก็ค่อยๆ ถูกจัดเป็นประเภทต่างๆ และกลายเป็นไสยศาสตร์ในที่สุด แต่ไสยศาสตร์ในยุคแรกเริ่มนั้นถูกนำไปใช้เพื่อรักษาความเจ็บป่วยเป็นหลัก
จนกระทั่งในสมัยราชวงศ์โจว หมอผีและหมอแพทย์ถึงจะแบ่งแยกออกเป็นคนละอาชีพ แต่จวบจนถึงปัจจุบัน ชาวบ้านตามพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญบางแห่งเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ก็ยังคงเชื่อกันอยู่ว่าพ่อมดหมอผี สามารถรักษาโรคให้หายได้ด้วยไสยศาสตร์
แต่ศาสตร์พยากรณ์ทั้งหกที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด อันได้แก่ การเสี่ยงทาย ภูมิลักษณ์ คำนวณชะตา นรลักษณ์ ทำนายฝัน และดูฤกษ์นั้น ไม่มีวิชาไหนเลยที่มีรากเหง้ามาจากไสยศาสตร์ ทว่าต่อมาเมื่อถึงสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น ศาสตร์เหล่านี้ก็ถูกเรียกเป็นวิชาอาคมแทน
ศาสตร์ลับชนิดที่เยี่ยเทียนใช้ไปเมื่อครู่นี้ ก็พัฒนามาจากไสยศาสตร์นี่เอง เริ่มจากไปหาเส้นผมของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมา จากนั้นก็ใช้ศาสตร์ลับดูดพลังปราณในเส้นผมนั้นออกมา แล้วถ่ายเข้าสู่หุ่นสลัก
และหุ่นสลักนี้ก็จะกลายเป็น ‘ตุ๊กตาคุณไสย’ ในกำมือของเยี่ยเทียน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับการเผาตุ๊กตากระดาษ ของชนเผ่าเหมียว และการใช้เข็มปักตุ๊กตาคุณไสยของเหล่าสตรีผู้คั่งแค้นในราชวังสมัยโบราณ โดยเป็นการสาปแช่งให้เกิด เคราะห์ร้ายขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย
……………………
ในห้องขังใหญ่ของเรือนจำห้องหนึ่ง มีผู้ถูกกักตัวอยู่ยี่สิบกว่าคน คนเหล่านี้ต่างก็ถูกควบคุมตัวตามคำสั่ง ของฝ่ายบริหาร ระยะเวลาควบคุมตัวอย่างมากก็สิบห้าวัน ดังนั้นการดูแลจึงค่อนข้างหละหลวม
ขณะนั้นตรงที่นั่งริมหน้าต่างห้องขังมีคนนั่งล้อมวงกันอยู่แปดเก้าคน ซึ่งก็คือแก๊งของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั่นเอง กลางวงนั้นมีเหล้าขาวห้าหกขวดและไก่ย่างกับของต้มพะโล้ตั้งวางอยู่ แต่ละคนกำลังดื่มกินกันอย่างรื่นเริงใจ
เนื่องจากเวลากักตัวนั้นสั้นอย่างยิ่ง ดังนั้นขอแค่มีเงิน ไม่ว่าของกินของดื่มหรือของสูบที่ขายอยู่ข้างนอก ก็สามารถซื้อจากในนี้ได้เช่นกัน แน่นอนว่า ราคาก็ต้องแพงกว่าธรรมดาอยู่แล้ว อย่างบุหรี่จงหนานไห่ห่อหนึ่ง ก็ขายได้ราคาสูงถึงหนึ่งร้อยหยวน
“แม่งเอ๊ย ไอ้พวกแก๊งผมเหลืองนี่มันน่าตายจริงๆ สูบยากันตั้งแต่หัววัน พวกเราเลยโดนต้อนมาอยู่นี่ด้วยเลย!”
ต้าหลง อันธพาลรับจ้างผู้เป็นลูกสมุนตัวสำคัญของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเงยหน้ากรอกเหล้าขาวลงท้องไปครึ่งขวด แล้วทุ่มขวดเหล้าไปทางกลุ่มคนที่ชุมนุมกันอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องขัง ปากก็ด่าออกไปว่า “มองอะไรวะ? มาเลียตีนกูนี่มา เดี๋ยวจะให้กินเหล้าเป็นรางวัลคนละอึก!”
บรรดาคนที่ถูกควบคุมตัวมาตามคำสั่งของฝ่ายบริหารนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ร้ายไปเสียทุกคน อย่างถ้าไปละเมิดกฎรักษาความปลอดภัยของสาธารณะเข้า ก็อาจถูกจับมาขังที่นี่ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับพวกคนโฉดกลุ่มนี้ พวกที่รวมกลุ่มกันอยู่ข้างห้องน้ำแม้จะโกรธแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไร
“ต้าหลง อย่าก่อเรื่องน่ะ อยู่เฉยๆ ไปนั่นแหละ พอได้ออกไปแล้วพวกแกก็หลบกันไปก่อนนะ”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่นั่งดื่มเหล้าอย่างเซื่องซึมมาตลอดยกมือขึ้นปรามต้าหลงไว้ ตั้งแต่ถูกตำรวจกวาดต้อนมา เขาก็รู้สึกแล้วว่าเรื่องนี้ดูจะไม่ชอบมาพากลอยู่ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน จึงกำลังรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่
“พี่เหว่ย ถ้าไม่หาเรื่องสนุกๆ ทำเลย แล้วสิบกว่าวันนี่จะอยู่กันไปได้ยังไงล่ะ?”
ต้าหลงส่ายหน้าอย่างขัดใจ เรือนจำนี่ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก อบรมไอ้พวกเด็กดีนั่นสักหน่อย จะเป็นไรไป? ถ้าไม่ได้ซ้อมจนตายรึเจ็บหนัก แม้แต่เจ้าหน้าที่ในเรือนจำเองก็ยังคร้านจะมายุ่งด้วย
“เอ็งน่ะเงียบไปเลย!”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยสะกดโทสะในใจไว้ไม่อยู่ คำรามใส่ต้าหลงแล้วหันไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ช่วงนี้ถ้าใครจะลงแดง เมื่อไหร่ก็บอกกล่าวกันก่อนล่ะ ไม่งั้นพวกแกได้โดนส่งไปศูนย์บำบัดคนติดยากันหมดแน่…”
นอกจากเฟ่ยเฮ่อเหว่ยและต้าหลง บรรดาลูกน้องเหล่านี้ต่างก็ติดยากันทั้งนั้น นี่ถ้าอยู่ข้างนอกก็ยังพอหาทางได้อยู่ แต่ถ้าเกิดลงแดงขึ้นมาในเรือนจำ เดี๋ยวพวกตำรวจก็รู้กันพอดี
“ไม่เป็นไรครับลูกพี่ ผมทนไหวอยู่ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ลูกพี่จะเอาผ้าปูที่นอนมามัดตัวผมไว้ก็ได้นะ!” ลูกน้องคนหนึ่งยืนกรานเป็นแม่นมั่น ลืมไปเสียสนิทว่าเวลาลงแดงขึ้นมาแล้วแม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็เอาไม่อยู่
“ดีมากไอ้น้อง ไว้พอออกไปแล้ว พี่เหว่ยจะพาพวกแกไปพักร้อนที่ไหหลำนะ แม่ง ได้ยินว่าที่โน่นพอตกกลางคืนแล้ว สาวๆจะออกมายืนหาแขกกันเต็มถนนเลยละ” เฟ่ยเฮ่อเหว่ยตบไหล่ลูกน้อง ทำให้เจ้าคนนั้นรู้สึกตัวลอยขึ้นมาทันที
“อ้าวเฮ้ย!” เฟ่ยเฮ่อเหว่ยพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆ แขนขวาก็เงื้อขึ้นมากะทันหัน แล้วฟาดลงไปบนหน้าของลูกน้องคนนั้นอย่างแรง
……