หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 312 ตลบหลังกลับ (3)
“ศิษย์น้อง ฉันก็พอรู้วิธีการสร้างค่ายกลอยู่บ้าง ให้ฉันได้ช่วยเถอะ!”
จั่วเจียจวิ้นถึงแม้เพิ่งจะเรียนวิชากระบวนท่ามาไม่นาน กำลังอยากจะลองวิชาอยู่พอดี อดใจไม่ไหว อยากให้เยี่ยเทียนถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับตัวเอง
แต่เขาก็รู้หนักรู้เบาอยู่ หากในสถานการณ์แบบนี้ยังมีกลเม็ดพิฆาตออกมาได้ อย่าว่าแต่ชาญ ทองทวน ต่อให้เป็นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาเอง จั่วเจียจวิ้นก็มั่นใจว่าจะต้องทำให้พวกนั้นยอมสยบได้
“ศิษย์พี่ พี่ก็สร้างค่ายกลเป็นเหรอ” เยี่ยเทียนได้ยินก็ชะงักไป เหมือนว่าอาจารย์จะไม่ได้บอกเรื่องที่เคยสอน เกี่ยวกับค่ายกลให้ศิษย์พี่ทั้งสอง
จั่วเจียจวิ้นหัวเราะ กล่าวว่า “พี่ฝึกเอาเองแหละ ทำได้แค่กักคนไว้ แต่ไม่ได้ใช้ฆ่าคน ศิษย์น้อง ค่ายกลของศิษย์น้องเรียนมาจากอาจารย์ใช่หรือไม่”
จั่วเจียจวิ้นนับตั้งแต่แพ้ที่ประเทศไทยให้กับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยี่สิบสามสิบปีมานี้ได้ทำการค้นหา กระบวนท่าโจมตีมาโดยตลอด อยากจะประกาศศักดาที่ประเทศไทย เพื่อลบความอาย
แต่ทว่าสำนักต่อสู้ในฉีเหมินหากไม่สูญหายตายจากกันไปก็ปิดสำนักไม่รับคน จั่วเจียจวิ้นไม่สามารถได้ฝึกวิชาใดใด ในความสิ้นหวังนั้นเอง เขาได้แต่ต่อยอดจากค่ายกลขึ้นมา
แต่ค่ายกลฆ่าล้างศัตรู กับค่ายกลฉีเหมินมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน ศึกษาคิดค้นมาสิบยี่สิบปี จั่วเจียจวิ้นก็ทำได้เพียงวางค่ายกลกักขังจิตใจคนเอาไว้เท่านั้น แต่กลับไม่สามารถแสดงความโหดร้ายอื่นออกมาได้
“อืม ศิษย์พี่คฤหาสน์หลังนี้ของเหล่าถัง ฮวงจุ้ยถูกจัดตามตำราเก้าตำหนัก อาจารย์เคยถ่ายทอดค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาต ให้กระบวนหนึ่ง กลับได้มาใช้ที่นี่!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ ค่ายกลที่นักพรตเฒ่าฝึกปรือเหล่านั้น ความร้ายกาจไม่เท่ากับเคล็ดวิชาค่ายกลที่ เขาสืบทอดมา เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดกับจั่วเจียจวิ้นได้เท่านั้น
ยื่นมือออกไปหยิบหินหยกถุงนั้นขึ้นมา เยี่ยเทียนเดินออกจากห้องรับรองแขกมา ดูเหมือนกำลังเดินเล่นไป รอบ ๆ คฤหาสน์ แต่นานทีจะหยิบหินหยกวางไว้ยังมุมใดมุมหนึ่งไปเรื่อย
รอบนี้เยี่ยเทียนมาอย่างเร่งรีบ หินหยกนี้ส่วนใหญ่ก็หยิบมาจากพานเจียหยวน คุณภาพไม่สูงนัก เทียบไม่ได้กับหินหยกที่เขาใช้ประกอบพิธีทะลวงจุดชีพจรให้กับถังเสวียเสวี่ย แต่ใช้สำหรับนำพลังเข้าไปให้ไหลเวียน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
และคฤหาสน์หลังนี้เดิมทีจั่วเจียจวิ้นก็วางแบบตามจิ่วกง มีหลายที่ที่สอดประสานกับฮวงจุ้ยได้ดี เยี่ยเทียนเพียงแค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ก็สามารถจัดวางให้เป็นค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตได้
เยี่ยเทียนเดินทอดน่องราวกับเดินเล่น สนามหญ้าด้านตะวันออกฝังหินหยกเอาไว้หนึ่งก้อน แยกกำแพงฝั่งตะวันตก ก็ยัดของใส่เข้าไป หลังจากชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไป หินหยกที่ถือเต็มมือ หนึ่งกระเป๋าพลันหายไปหมดซักก้อนก็ไม่เหลือ
“ศิษย์น้อง นี่….ที่วางนี่คือค่ายกลอะไรกันทำไมฉันมองไม่เห็นวิชาเต๋าเลยหล่ะ”
จั่วเจียจวิ้นอยากรู้ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าหินหยกที่วางอยู่ตามตำแหน่ง ต่างๆนั้น มีความหมาย อย่างไร มองไปก็มึนงง
“ศิษย์พี่ ไป เดี๋ยวกลับไปที่ห้องรับรองแขกก็จะรู้เองว่านี่คือค่ายกลอะไร! “
เยี่ยเทียนกล่าวยิ้มๆ อยากมีเลศนัย ดึงจั่วเจียจวิ้นกลับเข้าไปในห้องรับแขก บริเวณนี้เป็นตำแหน่งศูนย์กลาง ของคฤหาสน์หลังนี้พอดี และก็เป็นตาของค่ายกลที่เยี่ยเทียนตั้งใจเว้นไว้
“ศิษย์พี่ดูให้ดีล่ะ!”
หลังจากกลับมาที่ใจกลางของคฤหาสน์ เยี่ยเทียนก็ไขว้มือสาม สี่ ห้านิ้วเข้าด้วยกันทั้งซ้ายและขวา นิ้วโป้งขวากดอยู่ใต้นิ้วโป้งของมือด้านซ้าย นิ้วชี้ซ้ายและขวาเปิดอ้าออก กล่าวสวดว่า “ดาวนพเก้าเรียงลำดับ พลังชี่สับสน ดวงตาเบิกกว้าง พลังชี่กระสานซ่านเซ็น จิ่วกงปากว้า ตาข่ายฟ้าดิน เปิดออกให้ข้า !”
ตามเสียงสวดจากปาก นิ้วชี้ซ้ายและขวาของเยี่ยเทียนกดเข้าหากัน ชี้ตรงไปที่ง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ในห้องรับแขก ในตอนนั้นที่เขาเอาง้าวแทงลงพื้นที่นี่ ก็ไม่ได้ว่าไร้แผนการซะทีเดียว
ตามนิ้วดัชนีของเยี่ยเทียนที่ชี้ไป ง้าวพระจันทร์เสี้ยวก็ระเบิดพลังไอหยางพุ่งตรงเข้ามา ทำให้ในตอนนั้น ทั่วทั้งห้องแผ่กระจายเต็มไปด้วยไอ ราวกับถูกตาข่ายขนาดมหึมาครอบเอาไว้ก็ไม่ปาน
ตามที่นิ้วของเยี่ยเทียนบัญชา ง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่แผ่ไอออกมามากมายกลับไม่ได้หายไป แต่กลับแผ่ขยาย ออกไปยังทิศทั้งแปดของค่ายกลเก้าตำหนัก อุณหภูมิภายในของคฤหาสน์ทั้งหลัง พลันก็ลดลงอย่างทันที
จั่วเจียจวิ้น ที่ยืนอยู่บริเวณห้องนั่งเล่น รับรู้ได้เพียงแค่ว่ามีเสียงของลมหยางพัดวูบไป นอกจากตาของค่ายกล ที่เขาและเยี่ยเทียนยืนอยู่ วิวในรัศมีสามเมตรกลายเป็นขมุกขมัวขึ้นมา
เยี่ยเทียนปล่อยพลัง ปรับเปลี่ยนค่ายกลทั้งหมดแล้ว ถึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่จั่ว ลอง เดินออกจากตาของ ค่ายกลไป ดูว่าประสิทธิภาพของค่ายกลนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นลองเดินออกไปก้าวหนึ่ง มีไอพลังพัดมาระลอกหนึ่ง เท้าข้างขวา ที่ก้าวออกไปนั้นพลันรู้สึกเจ็บขึ้นมา เหมือนมีมีดมาตัดออกไป
“นี่…นี่เป็นความจริงหรือว่าภาพลวงตา” จั่วเจียจวิ้นตกใจ รีบชักขาข้างขวากลับมาดูเป็นการใหญ่ แต่กลับไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บอยู่แม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ พลังหยางฆ่าคนได้ไร้ร่องรอย ทำไมต้องแบ่งเป็นของจริงหรือภาพลวงตากัน”
เยี่ยเทียนหัวเราะ กล่าวต่อว่า “ค่ายกลของผมอาศัยค่ายกลเก้าตำหนักปรับเปลี่ยนมา ศิษย์พี่ขอแค่เพียงเดินตามทิศปากว้าภายในนี้ก็จะไม่ถูกไอพลังทำร้าย”
“จริงเหรอ”
จั่วเจียจวิ้นได้ยินก็ตะลึง จิ่วกงแปดทิศเป็นเคล็ดวิชาที่คนทำนายดวงทุกคนล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี ปากว้าในสำนักวิชาของฉีเหมินถูกเรียนว่าแปดประตู โดยแบ่งออกเป็นประตูพัก, ประตูชีวิต, ประตูบาดเจ็บ, ประตูอุปสรรค, ประตูทางออก, ประตูความตาย,ประตูความตื่นตระหนก, และประตูเปิด
ตามปกติแล้วประตูเปิด ประตูพักและประตูชีวิตเป็นประตูให้โชคสามบาน ประตูตาย ประตูตื่นตระหนก ประตูบาดเจ็บเป็นประตูโชคร้าย ประตูอุปสรรค ประตูทางออกถือว่าอยู่ในระดับกลาง จั่วเจียจวิ้นลองก้าวเดินออกไป จากทางประตูเปิด กลับไม่ถูกไอพลังหยางทำร้าย
“ฮ่าๆ ศิษย์น้อง ฝีมือดี!” หลังจากกระจ่างแจ้งในค่ายกลทั้งหมดแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เดินทะลุไปมาอยู่ในค่ายกล ราวกับปลาได้น้ำ เดินอย่างสะดวกสบายหัวเราะขึ้นมาอยู่ด้านใน
จั่วเจียจวิ้นพลันคิดออกเรื่องหนึ่ง พลันหยุดเสียงหัวเราะลง เท้าที่ย่างก้าวออกไปก็หยุดชะงักลง มองไปทางเยี่ยเทียนพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว ศิษย์น้องเยี่ย นายวางค่ายกลนี้ ชาญ ทองทวนนั่นก็น่าจะดูออก เขา….ถ้าเขาไม่เข้ามาเราจะทำยังไงกัน”
“เหอะๆ ฉันตลบหลังเขา เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะไม่เข้ามาได้เหรอ” เยี่ยเทียนกล่าวอย่างยิ้มๆ มือขวาทำท่าออกมา หลายกระบวน ปากร้องตะโกน “เก็บ!”
ตามเสียงตะโกนของเยี่ยเทียน ไอพลังที่ลอยอยู่เต็มห้องก็พลันกลับคืนสู่สภาพเดิม พลันกลับไปที่ง้าวพระจันทร์เสี้ยว ได้ยินเสียงเหล็กกระทบกันดังสะท้อนขึ้นมา ไอพลังเดิมที่ครอบทั้งคฤหาสน์นี้อยู่ ได้ถูกง้าวพระจันทร์เสี้ยวดูดกักเก็บคืนไปหมดแล้ว
“ฮ่าๆ เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นแบบนี้ชาญ ทองทวนยังจะมองออกอีกหรือไม่” เห็นจั่วเจียจวิ้นที่อ้าปากค้างอยู่ เยี่ยเทียนก็หัวเราะพลันกล่าวว่า “ศิษย์พี่ นี่ถือเป็นความร้ายกาจของเครื่องรางที่ใช้โจมตีอย่างหนึ่ง”
จั่วเจียจวิ้นมองตาค้างไปแล้ว กล่าวอึกอักว่า “ดู…ดูไม่ออก นอกซะจากชาญ ทองทวน จะเดินเข้าใกล้ง้าวพระจันทร์เสี้ยวในรัศมีสามเมตร!”
ง้าวพระจันทร์เสี้ยวเดิมทีก็เป็นอาวุธร้ายแรง ถึงแม้จะถูกเยี่ยเทียนใช้วิชากดไว้ แต่ก็มีไอพลังบางส่วนที่เก็บไปไม่หมด ปกติคนที่ฝึกวิชาล้วนจะสัมผัสได้
แต่ว่าหากจะจับสัมผัสไอพลังของง้าวพระจันทร์เสี้ยว หากอยู่ด้านนอกคฤหาสน์นั่นเป็นไปไม่ได้แน่ เหมือนกับที่จั่วเจียจวิ้นพูด จะต้องเข้ามาใกล้ง้าวพระจันทร์เสี้ยวจึงจะสัมผัสได้
จั่วเจียนจวิ้นตะลึงแต่ดึงสติกลับมาได้แล้ว พลันร้องขึ้นเสียงดัง “ศิษย์น้อง นี่…กระบวนท่านี้นายจะต้องสอนให้ฉัน หากตอนนั้นฉันสามารถสร้างค่ายกลแบบนี้ได้ จะกลัวอะไรกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ พระเฒ่านั่น!”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าลำบากใจกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ค่ายกลสอนให้พี่ได้ แต่ว่า…”
“เฮ้อ แต่ก็ใช่ หากไม่มีง้าวพระจันทร์เสี้ยวเอามาเป็นตาของค่ายกลแล้ว ค่ายกลนี้ก็ไม่สามารถดำเนินการได้อยู่ดี!” จั่วเจียนจวิ้นตอบสนองอย่างรวดเร็ว พลันสีหน้าก็เหมือนคนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
แต่จั่วเจียจวิ้นไม่รู้ว่า ในมือของเยี่ยเทียนไม่ได้มีแต่ง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่เป็นอาวุธวิเศษเพียงอย่างเดียว มีดสั้น “อู่เหิน” ที่แอบอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาจึงจะถือว่าเป็นไม้ตายของเขาจริงๆ
“ศิษย์น้องเยี่ย นายสอนเคล็ดวิชาฉันเถอะ เมื่อซักครู่มีปัญหา…”
จั่วเจียจวิ้นส่ายหัว ดึงเยี่ยเทียนลงมานั่งที่โซฟา อยากจะเรียนวิชาที่ไม่มีทางได้ใช้ ไม่สู้เรียนวิชาหลายกระบวนท่า ที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
……………………
ในเขตร้อนชื้นที่บริเวณพัทยาแหล่งท่องเที่ยวที่ห่างจากกรุงเทพฯ ประเทศไทยออกไปร้อยกว่ากิโลเมตร มีภูเขาลูกหนึ่งที่มีไอหมอกตลอดเวลา เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศสูงกว่าสิบแปดองศาตลอดทั้งปี ภูเขาแห่งนี้มีดอกไม้บาน สะพรั่งตลอดฤดู
แต่ภูเขาที่วิวสวยสะกดตานี้ กลับถูกคนดัดแปลงเป็นพักอาศัย ถนนสี่แยกที่ใช้รถกระบะวิ่งผ่าน วิ่งจากภูเขาไปเป็นป่าฝนลึกเข้าไปเป็นทาง
ประเทศไทยป่าฝนค่อนข้างเยอะ การเดินทางถนนหนทางยังไม่พัฒนา สามารถสร้างถนนในสถานที่แห่งนี้ได้ หากในสายตาคนธรรมดาดูเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับภายในภูเขาแห่งนี้ถือเป็นความหวังของทั้งหมู่บ้าน
ในหุบเขาสร้างสิ่งก่อสร้างทรงยุโรปหลังหนึ่ง สนามรอบห้องทรงยุโรปหลังนั้น ประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ละลานตา
แต่ทั้งหุบเขา กลับไม่เห็นสิ่งมีชีวิตซักคนเดียว แม้แต่เสียงแมลงนกร้องก็ไม่มี วังเวงผิดปกติ บรรยากาศดูอันตราย และกดดัน
เสียงเครื่องปั่นไฟดังลอยมาแต่ไกล ทำลายความเงียบของภูเขาลูกนี้
หลังจากผ่านไปสามนาที รถคันหนึ่งที่ดูภายนอกแล้วเหมือนจะแยกชิ้นส่วนทำลายตัวเองตลอดเวลาคันหนึ่ง ขับตรงมาจากสี่แยกนั้น ขับมาจนถึงหน้าภูเขาก็ดับเครื่อง
ชายรูปร่างสันทัดผิวสีเข้มวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ ดับเครื่องลงอย่างเบามือ ราวกลับกลัวจะไปรบกวน ใครเข้าอย่างนั้น
เงยหน้ามองทางเข้าหุบเขาที่ไร้แววคนเฝ้า สีหน้าของชายวัยกลางคนปรากฏแววหวั่นเกรงออกมา ยืนอยู่ข้างรถอย่าว่าง่าย เขาเชื่อว่าเสียงรถที่ดัง น่าจะทำให้เจ้าของหุบเขานี่ได้ยินแล้ว
“สมชาย เป็นนายใช่มั๊ย” เสียงหนึ่งดังออกมาจากหุบเขา ประตูฝรั่งโบราณบานใหญ่ก็เปิดออก
“ครับ อาจารย์ชาญ ทองทวน ผมสมชายมาแล้ว!”
หลังจากได้ฟังเสียงแล้ว เข่าทั้งสองข้างของสมชายก็ลงสัมผัสพื้นอย่างแรง ศรีษะก้มลงจรดกับพื้นหินที่อยู่โดยรอบ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ไปจนถึงร่างกายเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย
“เข้ามาเถอะ ไม่ต้องกลัว…” ตามเสียงที่ดังออกมา เงาร่างคนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกประตู
“ขอรับ!”
สมชายลุกขึ้นยืนจากพื้น เดินเข้าไปในหุบเขาอย่างระแวดระวัง ก่อนที่จะวางเท้าจะต้องมองพื้นอย่างละเอียดก่อน
สมชายรู้ดีว่า พื้นที่นี้เต็มไปด้วยวิชาอาคม ครั้งที่แล้วเขาพาคนมากราบไหว้อาจารย์ชาญ ทองทวน แต่ทว่าผู้ติดตามที่มาด้วยไม่เคารพนับถืออาจารย์เท่าที่ควร หลังจากเหยียบก้าวเข้าสู่หุบเขาก็ตายในทันที
……