หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 361 ศิษย์พี่ใหญ่ (1)
เยี่ยเทียนค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับไหล เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ และตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน เพียงแต่การหลับไหลครั้งนี้ช่างหอมหวาน จนความขุ่นเคืองในใจราวกับจะสลายไปจนสิ้น
ว่ากันว่าในยุทธภพไม่อาจตัดสินตามใจตน เยี่ยเทียนไม่ได้ตั้งใจเข้าสู่สำนักวรยุทธ์ในยุทธภพ แต่นับตั้งแต่เขาลงมือสังหารโจรปล้นสุสานนั่นแล้ว ตามความเป็นจริงก็นับว่าเข้าสู่วงการแล้ว ยิ่งเมื่อประลองวิชากับชาญ ทองทวน จึงยิ่งไม่อาจสลัดตัวเองออกมา
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้อารมณ์ของเยี่ยเทียนขุ่นเครียดมาตลอด แต่ราวกับว่าผ่านการหลับใหลครั้งนี้แล้ว ทำให้อารมณ์ด้านลบเหล่านั้นเบาบางลงไปไม่น้อย ทำให้จิตใจเยี่ยเทียนโล่งเปล่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ที่…ที่นี่คือที่ไหน?”
ยังไม่ทันจะได้ลืมตาตื่น จมูกของเยี่ยเทียนก็ได้กลิ่นของไม้จันทน์ กลิ่นนั้นบริสุทธิ์สงบ เมื่อแตะที่จมูกทำให้ไร้ซึ่งความสับสนภายในใจอีกต่อไป
“ไม้จันทน์เมืองมัยซอร์ของอินเดียเหรอ?” เยี่ยเทียนหลุดปากออกมา หลังเบิกตาโตแล้ว ก็เห็นประกายไฟกลิ่นหอมสดชื่นล่องลอยเป็นสาย ตลบขึ้นเชื่องช้าอยู่ริมหัวเตียง
หลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนแต่ไหนแต่ไรไม่เคยพิถีพิถันกับของนอกกายสักเท่าไหร่ แต่สนอกสนใจศึกษาเรื่องใบชากับไม้จันทน์เท่านั้น จึงเป็นสาเหตุที่เลือกใช้ชีวิตที่เหมาซาน เพราะที่นั่นมีชาลิ้นนกกระจอกที่หลี่ซั่นหยวนชื่นชอบที่สุดเติบโตอยู่
อีกทั้งเวลาที่เยี่ยเทียนฝึกวิชาทำสมาธิ หลี่ซั่นหยวนมักจะพกชุดไม้จันทน์แท่งหนึ่งเสมอ กลิ่นหอมนั้นและกลิ่นที่โชยมาแตะจมูกเหมือนกันไม่มีผิด ในเวลาที่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบ ไม้จันทน์เหล่านั้นของนักพรตชราก็ใช้หมดไปแล้ว
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสิบปี แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังสามารถจดจำกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของไม้จันทน์ชนิดนี้ได้ในทันที จนหลุดปากพูดออกมา
“เจ้าหนูช่างรอบรู้ ไม่ผิด เป็นไม้จันทน์ที่ผลิตจากเมืองมัยซอร์ ประเทศอินเดียแท้ ๆ!”
เสียงแหบชราเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเยี่ยเทียน เมื่อหันหน้าไปมอง เยี่ยเทียนก็เห็นว่าข้างหน้าเตียงที่ตนเองนอนอยู่ มีนักพรตเต๋าร่างผอมแห้งนั่งอยู่
นักพรตเต๋าผู้นี้สวมเสื้อคลุมนักพรตสีน้ำเงินสีดอกชิงหลัน บนหัวสวมหมวกหุนหยวนด้านบนเรียบแบน มวยผมใช้ปิ่นหยกกลัดไว้ สางอย่างเรียบร้อยสวยงาม
นักพรตเต๋าแม้ร่างกายจะผอมแห้ง แต่ว่าสีหน้าเปล่งปลั่งสดใส ใบหน้าไม่มีรอยเหี่ยวย่นแม้แต่น้อย เพียงแค่รอยย่นตรงตาของเขาที่เยี่ยเทียนสามารถมองออกได้ว่า อายุของนักพรตผู้นี้อย่างน้อยน่าจะเจ็ดสิบขึ้นไป
เยี่ยเทียนใช้แรงจากช่วงท้องยันกายขึ้นนั่งบนเตียง ประสานมือคำนับนักพรตที่อยู่ข้างหน้า เอ่ยปากถาม “ขอบังอาจถามท่านนักพรต เป็นท่านช่วยผู้น้อยไว้หรือ?”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปนานเท่าไหร่ แต่เรื่องราวก่อนหมดสติ ยังคงกระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำเยี่ยเทียน เขาจำได้ชัดเจนว่าตนเองหมดสติลงหน้าประตูทางเข้าอารามเต๋าแห่งหนึ่ง ตอนนี้เขาน่าจะนอนอยู่ภายในอารามเต๋านั่นเอง
ก้มหน้ามองลงยังแขนขวาของตัวเอง ปากแผลนั้นถูกพอกไว้ด้วยยาสมุนไพรหนึ่งชั้น เพียงรู้สึกเย็นสดชื่น และบาดแผลรูปดอกผักกาดที่ถูกเขากรีดออกอย่างไร้ร่องรอย ก็สมานเข้าหากันแล้วโดยทิ้งแผลเป็นเอาไว้
“วาสนาประจวบเหมาะเท่านั้น ผู้ละทางโลกพบเห็นคนเจ็บ จะไม่ช่วยได้อย่างไร?”
นักพรตเต๋าผู้นั้นยิ้มพลางลุกขึ้นยืน ยื่นแก้วน้ำให้เยี่ยเทียน กล่าวว่า “ร่างของเจ้าถูกพิษงู พิษนั้นรุนแรงร้ายกาจ แต่ว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้เจ้ากำจัดพิษออกไปแล้ว อีกทั้งภายในร่างกายเจ้าพลังชี่แท้สัตย์ซื่อจริงใจ ปกป้องหัวใจไว้ ไม่อย่างนั้นต่อให้อาตมามียาแก้พิษงู ก็ไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าได้”
ได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋าแล้ว เยี่ยเทียนจึงเพ่งพลังชี่แท้ภายในตัว พลันพบว่าชี่แท้เดินทางไปทั่วอย่างอิสระ ไร้สิ่งขวางกั้นโดยสมบูรณ์ จริงแท้อย่างคำพูดของนักพรตเต๋า พิษงูถูกกำจัดออกไปแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไร เยี่ยเทียนจึงลงจากเตียงมาบนพื้นทันที โค้งคำนับนักพรตเต๋าอย่างนอบน้อม เอ่ยปากว่า “ขอบคุณท่านนักพรต ขอบังอาจถามฉายาท่านนักพรต ผู้น้อยเยี่ยเทียนวันหลังจะนำธูปเทียนมาถวาย เพื่อขอบพระคุณที่ท่านนักพรตช่วยชีวิต!”
ชีวิตของเยี่ยเทียนสำหรับคนอื่นอาจจะไม่คุ้มค่าเงินเท่าไหร่นัก แต่ว่าเยี่ยเทียนหวงแหนอย่างยิ่ง เขารู้ว่าตนเองติดหนี้น้ำใจครั้งนี้ใหญ่หลวง บุญคุณที่ช่วยชีวิตเปรียบดังให้ชีวิต ชดใช้อย่างไรก็ไม่หมด
“ฉายารึ? หึ ๆ พระสงฆ์ทั้งหลายที่นี่ล้วนเรียกข้าว่าหยวนหยางจื่อ เจ้าหนูอย่างเจ้าเรียกข้าว่าหยวนหยางก็แล้วกัน!” นักพรตชรายิ้มพลางยื่นถ้วยชาในมือส่งให้เยี่ยเทียน
“หยวนหยางจื่อ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วใจกระตุก ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
สมัยโบราณ ผู้ไม่ใช่นักปราชญ์ไม่อาจลงท้ายชื่อด้วยอักษร “จื่อ” ได้
อย่างเช่นขงจื่อ เมิ่งจื่อ จ้วงจื่อและเป้าผู่จื่อเก๋อหงแห่งสำนักเต๋า ซานเฟิงจื่อ จางเฟิงจื่อเป็นต้น ล้วนเป็นผู้เบิกภูเขาก่อตั้งสำนัก นักพรตเต๋าเบื้องหน้าสามารถถูกคนขนานนามว่าหยวนหยางจื่อ จึงต้องเป็นผู้สูงส่งซึ่งล่วงรู้หนทางแห่งเต๋าอย่างลึกซึ้งแน่นอน
“เอ่อ ท่านนักพรตหยวนหยาง…แขนนี้ของท่าน?”
เมื่อรับถ้วยชาที่หยวนหยางจื่อส่งให้เยี่ยเทียนจึงได้พบว่า สาเหตุที่นักพรตเต๋าผู้นี้ผอมแห้งอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะขาดแขนซ้ายไปข้างหนึ่ง
“หึๆ ไม่มีอะไรหรอก”
เห็นเยี่ยเทียนทำสีหน้าตกอกตกใจ นักพรตชราก็หัวเราะแล้วกล่าวขึ้นอย่างเปิดเผย “ในอดีตต่อสู้กับคน ทักษะไม่อาจเทียมเขา จึงกลายเป็นเช่นนี้”
การปลดปล่อยพลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบชี่แท้ของฝ่ายตรงข้ามเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อครู่เยี่ยเทียนจึงไม่ได้สัมผัสพลังชี่ภายในร่างกายของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตชราแล้วเยี่ยเทียนกลับเกิดความสงสัยขึ้นมา อดที่จะปลดปล่อยพลังชี่ของตนออกไปไม่ได้้
การทดสอบนี้กลับทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงใหญ่หลวง เพราะเขาพบว่าชี่แท้ในกายของฝ่ายตรงข้ามล้ำลึกจนไม่อาจประมาณได้ ราวกับหลุมดำที่ตนเองไม่อาจหยั่งลงไปถึงก้นบึ้ง!
ที่แท้คนผู้นี้ก็มีวิทยายุทธ์เทียบเท่ากับเขา ที่เยี่ยเทียนตกใจอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ตั้งแต่เขาเข้าวงการมา นอกจาก หลี่ซั่นหยวนที่กลายเป็นเซียนบนสวรรค์แล้ว เยี่ยเทียนยังไม่เคยเห็นใครอื่นที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณได้อีกเลย
แต่ว่าภายในอารามเต๋ากลางขุนเขาแห่งนี้ กลับมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวอยู่ ทำให้เยี่ยเทียนตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด จนลืมดึงพลังชี่ของตนเองกลับไป
“เอ๋ เจ้าหนู เจ้า……อายุยังเยาว์วัย เหตุใดถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?” ขณะที่นักพรตชรารักษาบาดแผลให้เยี่ยเทียน ถึงแม้จะรู้ว่าพลังชี่ดั้งเดิมของเขากล้าแข็ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะมีความสามารถสูงถึงขั้นนี้
“ผมแค่วาสนาเหมาะสมเท่านั้นเองครับ” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองยังหยวนหยางจื่อแล้วเอ่ยถาม “แต่ท่านนักพรตถึงขั้นสามารถเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณ บนโลกนี้ยังจะมีใครสามารถต่อกรกับท่านได้?”
เมื่อวิทยายุทธ์ถึงขั้นเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณแล้ว จิตจะมีความสามารถพยากรณ์และคาดเดาเหตุการณ์ได้ล่วงหน้า ขอเพียงไม่ต้องการ ก็จะสามารถหลบหลีกภยันอันตรายที่มาเผชิญหน้าได้
เช่นเดียวกับที่เยี่ยเทียนเผชิญอันตรายในครั้งนี้ ก็เป็นความตั้งใจของเขาที่จะกำจัดคนที่ไล่ตามสังหารเขา ไม่อย่างนั้นตอนที่เยี่ยเทียนอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงก็จะหนีรอดได้ไปนานแล้ว เจ้าหนุ่มเทียนหลงจะไม่สามารถล้อมสกัดเขาเอาไว้ได้
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงกล้ามั่นใจว่า มือข้างนี้ของนักพรตชรา จะต้องสูญเสียขณะต่อสู้โดยลำพังอย่างแน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจเยี่ยเทียนก็ออกจะหดหู่เล็กน้อย เดิมเขาคิดว่าบนโลกนี้มีเพียงตนเองที่เข้าถึงสภาวะปรับเปลี่ยนลมปราณเป็นจิตวิญญาณ แต่นึกไม่ถึงว่าตนเองจะเป็นกบในกะลา
“เจ้าหนู เวลานั้นข้าเพียงใช้พลังความมืดในตัว ยังไม่ได้มีความสามารถอย่างตอนนี้”
นักพรตชราได้ยินแล้วหัวเราะขื่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง ใบหน้าพลันสงบนิ่ง เอ่ยปากว่า “เจ้าหนู พุทธะกล่าวถึงเหตุและผล ทางแห่งเต๋าถกดวงชะตา เจ้ากับข้าวันนี้มีวาสนา อาตมามีเรื่องหนึ่งอยากไต่ถาม หวังว่าเจ้าจะสามารถตอบตามความจริง!”
เห็นหยวนหยางจื่อเคร่งขรึมจริงจังอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็คลายรอยยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านนักพรตหยวนหยางเชิญถาม หากเป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนล่วงรู้ จะไม่กล้าปิดบังเป็นอันขาด!”
“ดี งั้นอาตมาจะถามล่ะ!”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว มือข้างนั้นของหยวนหยางจื่อก็พลิกขึ้น เบื้องหน้าบนโต๊ะที่นอกจากถ้วยชาแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่น พลันปรากฏของสองสิ่งขึ้น
“ขอถาม ของสองชิ้นนี้ของเจ้าได้จากที่ใดมา?!” หยวนหย่างจื่อนำของสองสิ่งนั้นออกมาแล้ว ก็จ้องมองเขม็งยังดวงตาของเยี่ยเทียน ราวกับจะแยกแยะว่าเขากำลังหลอกลวงหรือไม่
“ท่าน…ทำไมท่านถึงหยิบของจากบนตัวผม?”
เห็นของสองสิ่งนั้นแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป ยื่นมือออกไปจากอก หากปราศจากเข็มทิศนั่นกับ ”ต้าฉีทงเป่า”(เหรียญทองแดงที่หลอมขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ถังใต้)แล้ว ก็จะเหลือเพียงกระดุมเปล่าติดอยู่ที่เอวตนเองเท่านั้น
“เจ้าหนู ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่เห็นเข้าตอนที่รักษาบาดแผลให้เจ้าเท่านั้น”
หยวนหยางจื่อส่ายหน้า กล่าวอย่างจริงจัง “ของสองสิ่งนี้เกี่ยวพันยิ่งใหญ่กับตัวข้า หวังว่าหากเจ้าหนูบอกกล่าวความจริง หยวนหยางจะขอบคุณเป็นล้นพ้น!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกตะลึงไปชั่วขณะ แทบจะกล่าวออกมาโดยอัตโนมัติ “สิ่งของเหล่านี้เป็นของเจ้าสำนักผม จะเกี่ยวพันกับท่านได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าสำนัก?!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว นักพรตชราก็เบิ่งตาโตทั้งสองข้าง
“เกี่ยวข้อง?!” หลังจากกล่าวย้ำคำพูดของนักพรตชรา ในใจเยี่ยเทียนเองก็สัมผัสถึงบางสิ่ง”
“นาม…นามสกุลเดิมของท่านคือโก่วซินเจียหรือครับ?!”
“อา…อาจารย์ของเจ้านามสกุลหลี่ ชื่อซั่นหยวนหรือ?!”
เยี่ยเทียนกับหยวนหยางจื่อเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองคน ใบหน้าล้วนเผยให้เห็นถึงความรู้สึกอันไม่ได้คาดคิด
หยวนหยางจื่อยังพอว่า ตอนที่เห็นเข็มทิศของเจ้าสำนักและ “ต้าฉีทงเป่า” ที่ท่านอาจารย์ถือเล่นอยู่บ่อย ๆ แล้ว ในใจก็พอคาดเดาได้บางส่วน
แต่เยี่ยเทียนนั้นแตกต่าง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ ว่าจะมาเจอกับศิษย์พี่ใหญ่ของตนที่หายสาบสูญไปเป็นเวลาสิบปีที่อารามพุทธบนเขานี้ เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกราวกับฝันไป
เยี่ยเทียนพึมพำออกมา “ศิษย์…ศิษย์พี่ใหญ่?”
“เจ้าคือลูกศิษย์ที่อาจารย์ข้ารับไว้หรือ?”
เวลานี้หยวนหยางจื่อมั่นใจในสถานะของเยี่ยเทียนแล้ว มือขวาควานที่ช่วงเอว หยิบเอาจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมา กล่าวว่า “นี่คือเครื่องรางของขลังที่อาจารย์ข้ามอบไว้เป็นของขวัญตอนจากมาเมื่อปี 49 สามารถยืนยันตัวตนของข้าได้!”
“ศิษย์พี่!”
เยี่ยเทียนถอยหลังไปสองก้าว โค้งคำนับลงอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าในอดีตท่านอาจารย์มีของขลังเป็นหยกแกะสลักอยู่หลายชิ้น แบ่งให้กับศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจียและศิษย์พี่รองจั่วเจียจวิ้น
“เยี่ย…เจ้าคือเยี่ยเทียนสินะ?” โก่วซินเจียถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ท่าน…ท่านอาจารย์ผู้ชราคนนั้น ยังอยู่หรือเปล่า?”
โก่วซินเจียติดตามหลี่ซั่นหยวนร่ำเรียนวิชามาตั้งแต่เล็ก สายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ไม่น้อยไปกว่าพ่อกับลูก แม้ว่าจะจากแผ่นดินใหญ่มาจนเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ไม่มีเวลาไหนเลยที่โก่วซินเจียไม่คิดถึงน้ำเสียงและรอยยิ้มของนักพรตชรา
โก่วซินเจียเองก็เข้าใจ ว่าหากนักพรตชรายังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันจริง เกรงว่าอายุคงจะเกินร้อยสามสิบปีแล้ว แต่ภายในใจของเขายังคงมีความหวังเหลืออยู่น้อยนิดเสมอมา หวังว่าจะได้ยินข่าวคราวจากปากเยี่ยเทียนว่าท่านอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่!
เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงโศกสลด “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์เขากลายเป็นเซียนบนสวรรค์เมื่อสามปีที่แล้ว!”
แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้แต่แรก แต่โก่วซินเจียก็ยังคงหน้าเปลี่ยนสี เซถลาไปด้านหลังสองก้าว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังตน
“ศิษย์พี่ ท่านผู้เฒ่าจากไปอย่างสงบนิ่ง!”
เยี่ยเทียนก้าวนำไปพยุงโก่วซินเจียไว้ ขณะคว้าแขนเสื้อซ้ายว่างเปล่าข้างนั้น แววตาไม่อาจกลั้นประกายความโกรธเคืองเอาไว้อยู่ เอ่ยถามขึ้น “ศิษย์พี่ แขนข้างซ้ายของพี่ใครเป็นคนทำกันแน่?”
………