หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 362 ศิษย์พี่ใหญ่ (2)
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เยี่ยเทียน เจ้ารีบบอกข้ามาก่อน ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่ท่านผู้เฒ่าจากไปทรมานมากไหม?”
โก่วซินเจียส่ายหน้า แขนข้างซ้ายนี้ขาดไปเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ เวลาเป็นยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุด เวลานี้ โก่วซินเจียจึงเป็นห่วงเรื่องการเป็นอยู่ของอาจารย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามากกว่า
เยี่ยเทียนมองยังสีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ รู้ว่าภายในต้องมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เวลานั้นจึงไม่ไต่ถามต่อ เอ่ยปากว่า “ผมถูกอาจารย์รับเข้าเป็นศิษย์เมื่อต้นปี 80 ครับ ท่านอาจารย์สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาตลอด หลายปีก่อนพอถึงวาระสุดท้ายก็จากไปเป็นเซียนบนสวรรค์……”
นอกจากเรื่องที่ตนเองได้รับสืบทอดเสื้อป่านมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องใดกับศิษย์พี่ใหญ่อีก นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองและนักพรตเฒ่าในความทรงจำเล่าออกไปทั้งหมด
ได้ยินว่าเยี่ยเทียนเคยแก้ลิขิตพลิกชะตาให้หลี่ซั่นหยวน ในดวงตาของโก่วซินเจียก็ฉายแววประหลาดใจ จนกระทั่งเยี่ยเทียนเล่าถึงตอนที่ท่านอาจารย์กลายเป็นเซียนบนสวรรค์ โก่วซินเจียก็โศกเศร้าเป็นที่สุด
ถึงแม้จะใกล้อายุแปดสิบเต็มที แต่ด้วยความกรุณาจากอาจารย์นั้นหนักหนา ขณะที่เยี่ยเทียนสาธยายเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสิบปีก่อนจบ โก่วซินเจียที่เดิมทีจิตใจดั่งสายน้ำสงบนิ่ง ไม่ยินดีในโลกโลกีย์ เวลานี้กลับน้ำตานองหน้า
เห็นโก่วซินเจียโศกเศร้าจนสั่นเทาไปทั่วเนื้อตัว เยี่ยเทียนก็เอ่ยปลอบประโลม “ศิษย์พี่ อย่าเศร้าเสียใจไปเลย หากท่านอาจารย์รู้ว่าพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องพบหน้ากัน จะต้องโล่งใจอย่างมากแน่!”
โก่วซินเจียเช็ดน้ำตาที่หางตาออก ถอนหายใจยาว “ตอนนั้นขอร้องให้ท่านอาจารย์มาไต้หวันพร้อมกันกับข้า ท่านอาจารย์ไม่ยอมรับปาก ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจพบหน้ากันจนถึงห้าสิบปี!”
“ศิษย์พี่ สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามลิขิตสวรรค์ ท่านอาจารย์รู้เห็นเรื่องราวบนโลก ที่เขาอยู่ต่อในแผ่นดินใหญ่ ย่อมมีเหตุผลของตนเอง” เยี่ยเทียนไม่กล้าเห็นตรงกับคำพูดนี้ของศิษย์พี่ หากนักพรตชรามายังไต้หวัน ไหนเลยจะเกิด ศิษย์พี่รองและเขาขึ้นได้?
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ลูบคลำแขนเสื้อว่างเปล่าข้างนั้นของตนเอง พยักหน้ากล่าว “เจ้าพูดถูก หากท่านอาจารย์มาจริง ๆ ไม่แน่ว่าอาจต้องลำบากเพราะข้า”
“ศิษย์พี่ใหญ่ บาด……บาดแผลนี้ของท่านเกิดขึ้นได้อย่างไรแน่?” เยี่ยเทียนไต่ถามอีกครั้ง ก่อนหน้านี้สังหารคนไปกว่ายี่สิบคน จิตอาฆาตในใจเยี่ยเทียนยังไม่จางหาย ขณะพูดยังคงเผยจิตสังหารออกมา
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ……” โก่วซินเจียโบกมือ กล่าวว่า “จากที่เจ้าพูด จั่วเจียจวิ้นเองก็เป็นศิษย์น้องของข้าใช่ไหม?”
ถึงแม้จะหลบเร้นซ่อนตัวอยู่บนเขา แต่ใช่ว่าโก่วซินเจียจะไม่รู้เรื่องราวอะไรบนโลกมนุษย์ ชื่อเสียงของปรมาจารย์จั่วแห่งทวีปเอเชียตะวันออกเขาเองก็เคยได้ยิน แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของตน
เยี่ยเทียนพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้วครับ ตอนนี้ศิษย์พี่รองอยู่ที่ฮ่องกง ผมจะโทรศัพท์หาเขา ให้เขารีบมาดีกว่า พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามจะได้รวมกลุ่มกัน!”
เยี่ยเทียนในเวลานั้น ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าจั่วเจียจวิ้นรีบร้อนมายังไต้หวันแล้ว ซึ่งครั้งนี้มาเพื่อตามหาตัวเขาทั่วทุกทิศทางด้วยความลนลานราวกับมดแมลงบนกระทะร้อน
ด้วยการทำสมาธิฝึกจิตเก้าถึงสิบปี ทำให้โก่วซินเจียสามารถสงบใจจากความโศกเศร้าในการรับรู้เรื่องวาระสุดท้ายของท่านอาจารย์ได้อย่างรวดเร็ว คิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงกล่าว “ข้าไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกมานานมากแล้ว ข้าไม่มีโทรศัพท์หรอก เจ้าอย่าเร่งรีบไปเลย รักษาตัวอย่างสงบก่อนสักสองวัน แล้วข้าจะพาเจ้าไปหาหัวหน้าพระสงฆ์ซิงอวิ๋นเพื่อโทรศัพท์”
ด้วยเยี่ยเทียนเคยถูกพิษงูร้ายกาจมา ถึงแม้จะกำจัดพิษให้เขาแล้ว แต่ก็ยังบาดเจ็บถึงพลังชีวิต ต้องค่อย ๆ ปรับสภาพฟื้นฟูให้ดี
อีกทั้งโก่วซินเจียเองก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างนอกเมื่อสองวันก่อน นอกจากจะแอบตกใจกับการลงมืออันอำมหิตของศิษย์น้องเล็กแล้ว ยังไม่อยากให้เยี่ยเทียนเปิดเผยร่องรอย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะนำมาสู่เยี่ยเทียนโดยไม่จำเป็น
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนได้ยินเสียง “โครกคราก” ดังมาจากท้อง ใบหน้าก็แดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยปากถาม “จริงสิ ศิษย์พี่ ผมหมดสติไปนานแค่ไหนหรือครับ?”
“สามวันแล้ว ภายในร่างกายของเจ้ายังมีพิษหลงเหลืออยู่ ข้ากลัวว่าหากเจ้าฟื้นเร็วเกินไปจะทำให้การไหลเวียนของเลือดวิ่งเร็วขึ้น จึงใช้สมุนไพรสงบจิตให้เจ้าหลับนานขึ้นอีกวัน หิวแล้วใช่ไหม? โจ๊กลูกเดือยที่ข้าต้มไว้คงจะเสร็จแล้ว จะยกมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้……”
ขณะที่ตรวจดูร่างกายของเยี่ยเทียนแล้วพบเข็มทิศกับเหรียญทองแดงที่ท่านอาจารย์มักถือเล่นอยู่เสมอ โก่วซินเจียก็รู้แล้วว่าเยี่ยเทียนกับตนต้องมีความเกี่ยวดองกัน จึงได้ลงแรงเสียสละช่วยขับพิษรักษาอาการบาดเจ็บให้เยี่ยเทียน
“สามวันแล้ว?!”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตกตะลึง ร้อนรนคว้าตัวโก่วซินเจียเอาไว้ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้า……ถ้าหากผมยังไม่ออกไปล่ะก็ เกรงว่าข้างนอกจะวุ่นวายกันใหญ่โตแน่!”
ไม่ต้องพูดถึงศิษย์พี่รองจั่วเจียจวิ้น ก็ยังมีถังเหวินหย่วนที่มีชีวิตอยู่ต่อมาหลายปีเพราะตนเอง น่ากลัวว่าครั้งนี้คงจะตามหาตัวเขาอย่างสุดความสามารถ บวกกับกงเสี่ยวเสี่ยวอีกคน มหาเศรษฐีสองคนนี้อาจถึงขั้นพลิกแผ่นดินฮ่องกงและใต้หวันอย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่ผิด ถังเหวินหย่วนร้อนรนอย่างหนัก เดิมทีได้ยินจากจั่วเจียจวิ้นแล้วก็เงียบหายไปสองวัน แต่สุดท้ายเมื่อไม่พบร่องรอยของเยี่ยเทียน ผู้เฒ่าถังครั้งนี้ถึงกับร้อนรนมายังไต้หวัน
เวลานี้ที่เมืองเกาสง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือแก๊งเล็กแก๊งน้อย เกือบทุกคนมีรูปถ่ายของเยี่ยเทียนอยู่ในมือ สามารถพูดได้ว่าทุกคนต่างเคลื่อนไหวสืบเสาะตามหาเยี่ยเทียน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่า ที่แท้แล้วเยี่ยเทียนไม่ได้ออกไปจากเขาฝ่อกงซานเลย
ขณะนั้นก็มีตำรวจพบเจออารามเต๋านี้ แต่ว่าโก่วซินเจียกลัวว่าตำรวจพวกนั้นจะนำตัวเยี่ยเทียนไปดำเนินคดี จึงโกหกว่าไม่รู้เรื่องนี้ ทำให้ตำรวจสับสนแล้วจากไป
อีกทั้งคนทั้งหลายต่างนึกว่าเยี่ยเทียนออกจากเขาฝ่อกงซานไปแล้ว หลายวันมานี้จึงไม่มีใครมาตามหาอีก แต่ว่าขอบเขตการตามหาเยี่ยเทียนนั้น กลับขยายวงกว้างไปจนถ้วนทั่วไต้หวัน
“ไม่ได้การ ผมต้องโทรศัพท์ก่อนล่ะ!”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนคิดกลับไปกลับมา นั้นเพื่อทำความเข้าใจจุดสำคัญของเหตุการณ์ แล้วอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ ที่พวกถังเหวินหย่วนร้อนใจนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้นำเอามาใส่ใจ แต่หากที่บ้านได้ยินข่าว จะไม่ทำให้คุณพ่อกับพวกคุณป้าเสียใจแย่หรือ?
“เยี่ยเทียน เจ้าสังหารคนไปมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะออกไป เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้ารอข้าสักครึ่งชั่วโมง ข้าจะไปหาโทรศัพท์มาให้!”
โก่วซินเจียยื่นแขนมากั้นเยี่ยเทียนเอาไว้ คนทั่วไปไม่รู้ว่าคดีฆาตกรรมนั้นเยี่ยเทียนเป็นคนทำ แต่โก่วซินเจียกลับรู้แจ้ง กระสุนที่รักแร้ของเยี่ยเทียนนั้นเป็นเขานำออกมาด้วยมือตัวเอง
“งั้น ก็ได้ครับ ศิษย์พี่ รบกวนท่านด้วย!”
เยี่ยเทียนคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้ารับคำ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าด้านนอกสถานการณ์เป็นอย่างไร สังหารคนไปคราวเดียวยี่สิบกว่าคน เยี่ยเทียนยังรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาจริง ๆ
“เจ้ากินโจ๊กนี่เสียก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็มา” นักพรตเต๋าถือหม้อโจ๊กลูกเดือยออกมาจากห้อง วางชามตะเกียบลงข้างหน้าเยี่ยเทียน แล้วหันร่างออกไปจากอารามเต๋า
เวลานี้เยี่ยเทียนเองก็หิวจริง ๆ ไม่ห่วงว่าโจ๊กลูกเดือยจะลวกปาก กินโจ๊กทั้งหม้อนั้นหมดเกลี้ยงภายในรวดเดียว เมื่อครู่เอาแต่พูดคุยกับศิษย์พี่ ตอนนี้จึงได้มีเวลาสำรวจดูอารามเต๋าหลังนี้
ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอยู่คือห้องปีกส่วนหลังของอารามเต๋า ตรงนี้เป็นลานเดี่ยว ตรงกลางลานมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ โดยห้องปีกทั้งสี่โอบล้อมลานเอาไว้ นอกจากห้องนี้ที่คนพักอาศัยอยู่ได้ สามห้องที่เหลือก็เป็นห้องครัวหนึ่งห้องและห้องเก็บของจิปาถะอีกสองห้อง
ด้วยเยี่ยเทียนอยู่ในห้องปีกแล้ว โก่วซินเจียจึงดัดแปลงห้องเก็บของจิปาถะชั่วคราว แต่ก็เพียงใช้ก้อนอิฐไม่กี่ก้อนรองบานประตู ก็กลายเป็นเตียงได้แล้ว
ทะลุเฉลียงทางเดินไปจะเป็นห้องทำพิธีหลัก เทวรูปบูชาด้านในไม่ใช่เหล่าเทพเจ้าซันชิง ทว่าเป็นปรมาจารย์นักพรตเสื้อป่านแห่งสำนักเสื้อป่าน ถ้าหากก่อนที่เยี่ยเทียนจะล้มหมดสติไปได้เห็นเทวรูปดินเหนียวองค์นี้ ก็คงจะสามารถเดาสถานะของโก่วซินเจียออกได้นานแล้ว
“ศิษย์พี่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์จริง ๆ ให้ตายสิ พระสงฆ์พวกนั้นไม่ใช่คนดีสักนิด!”
วนรอบภายในอารามเต๋าที่ไม่ใหญ่นักหลังนี้รอบหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็เลี้ยวกลับมายังห้องปีก ภายในนอกจากโต๊ะเก้าอี้และเตียงอย่างละชิ้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก กระทั่งไฟฟ้ายังส่งมาไม่ถึง
ประเด็นคือ กระทั่งภายในอารามเต๋าหลังนั้นที่เหมาซานซึ่งเยี่ยเทียนเคยอยู่ หลายปีก่อนยังมีไฟฟ้าส่งมาถึง เขาฝ่อกงซานแห่งนี้แสงไฟส่องสว่างยามค่ำคืน มีเพียงอารามเต๋าแห่งนี้เท่านั้นที่ไม่มีแสง เห็นได้ว่าศิษย์พี่ถูกพระสงฆ์เหล่านั้นกีดกันออกมา
“เยี่ยเทียน โทรศัพท์มาแล้ว อ้าว กินข้าวต้มหมดเลยหรือนี่ พอดีเลย ข้าขอข้าวจากหัวหน้าพระสงฆ์พวกนั้นมานิดหนึ่ง ตอนเย็นเรามาหุงกินกันเถอะ!”
โก่วซินเจียไม่ปล่อยให้เยี่ยเทียนรอนาน เพียงแค่ยี่สิบกว่านาทีเท่านั้นก็รีบร้อนกลับมา หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งส่งให้เยี่ยเทียน ยิ้มกล่าว “ของชิ้นนี้ข้าใช้ไม่เป็น หัวหน้าพระสงฆ์นั่นสอนข้าอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าใช้เป็นหรือเปล่า?”
“ใช้ได้ ผมใช้ได้ครับ!”
เยี่ยเทียนไม่ได้ไปรับโทรศัพท์ แต่กลับไปคว้าข้าวสารที่สะพายอยู่ตรงหัวไหล่โก่วซินเจียและอีกหนึ่งถุงลงมา เมื่อเปิดถุงออกดูพบว่าภายในถุงพลาสติกมีหัวไชเท้าแผ่นตากแห้งอยู่จำนวนหนึ่ง จนดวงตาของเยี่ยเทียนกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาไว้ไม่อยู่
“ศิษย์……ศิษย์พี่ ท่าน……ท่านกินของพวกนี้ประจำเหรอครับ?”
ศิษย์พี่อายุมากแล้ว ทั้งยังขาดแขนหนึ่งข้าง ไม่ต้องพูดถึงว่าปกติข้างกายไม่มีคนคอยช่วยรับใช้ ในทุก ๆ วันกลับกินเพียงของพวกนี้ ดูท่าร่างกายที่ผอมแห้งนั้นจะไม่ได้มาจากการออกกำลังแล้ว
เห็นท่าทางของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยปากว่า “ศิษย์น้อง ฝึกวิชามาถึงขั้นเจ้ากับข้าแล้ว กินอะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น จริงอยู่ที่อาหารชั้นเลิศทำให้ปากท้องเป็นสุข แต่ชาหยาบข้าวจืดก็สามารถเติมเต็มความต้องการร่างกายได้เช่นกัน”
ครึ่งชีวิตแรกของโก่วซินเจียรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด ทว่าเมื่อสิบปีก่อนได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว ก็สามารถคุมจิตใจได้ถึงขั้นไม่ยินดีในสรรพสิ่ง ไม่โศกเศร้าในสิ่งใดอีกต่อไป
ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ยินเรื่องของท่านอาจารย์ จิตใจของนักพรตชราจะไม่สั่นคลอนไปแม้แต่น้อย เมื่อพูดถึงจุดนี้ วิทยายุทธ์ด้านการฝึกจิตของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าหลี่ซั่นหยวนแล้ว
“ศิษย์พี่ ทุกวันนี้ท่านช่างใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นเหลือเกิน!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไม่หยุด ทันใดในใจก็มีความสงสัยผุดขึ้น เอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่ เขาฝ่อกงซานนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในไต้หวัน ทำไม……ทำไมถึงสามารถมีอารามเต๋าหลังนี้ของท่านเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งได้?”
ก่อนที่จะหมดสติไปในใจของเยี่ยเทียนก็พร่ำถามขึ้นมาแล้ว แต่จนกระทั่งเวลานี้จึงจะมีโอกาสถาม
“หึ ๆ นั่นเป็นเพราะหัวหน้าพระสงค์ซิงอวิ๋นแพ้เดินหมากกับข้าน่ะสิ!” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ สีหน้านั้นเบิกบานราวกับเด็กน้อยที่ได้ชัยชนะเหนือผู้อื่น
ที่แท้โก่วซินเจียอาศัยอยู่ในวัดฝ่อกงซานซานมาตลอด แต่เพราะอยากสืบทอดสำนักต่อ เขาจึงได้ท้าพนันกับหัวหน้าพระสงฆ์ซิงอวิ๋น เมื่อชนะก็ได้อารามเล็กมาหลังหนึ่ง จึงได้ดัดแปลงเป็นอารามเต๋าเสื้อป่านหลังนี้
เพียงแต่ตัวอยู่ที่เขาฝ่อกงซาน ผู้ที่มาล้วนเป็นสาวกในศาสนาพุทธ ไม่มีใครศรัทธาในลัทธิเต๋า บวกกับโก่วซินเจียเองก็มีใจเก็บงำ ไม่อยากเผยแพร่ออกไป ดังนั้นอารามเต๋าจึงคงอยู่มาเก้าถึงสิบปีโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
……….