หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 364 ความลับ (1)
วัดเต๋าแห่งนี้บนเขาฝ่อกงซานสำหรับผู้เชื่อในพระพุทธศาสนามากมายนั้นไม่มีความประทับใจอะไรเลย แต่พระที่อยู่
เต็มภูเขาแห่งนี้กลับไม่มีใครไม่รู้จักวัดเต๋าแห่งนี้
จั่วเจียจวิ้นมาถึงตีนเขาและเริ่มสืบข้อมูลเพียงครู่เดียวก็รู้ตำแหน่งทิศทางของวัดเต๋าแล้ว สั่งให้คนขับรถรออยู่ที่ตีนเขา
ส่วนตัวจั่วเจียจวิ้นถือเหล้าขาวไม่กี่ขวดและอาหารสุกเดินขึ้นเขาไปแล้ว
“นี่……นี่เป็นรูปปั้นแกะสลักของบรรพจารย์ไม่ใช่หรือ?”
หลังจากที่เข้าไปถึงกลางวิหารของวัดเต๋าแล้ว จั่วเจียจวิ้นมองดูประติมากรรมดินเผาที่ตั้งไว้ตรงกลางแล้วรู้สึกเสียดายอย่างมาก ถ้าหากเขามาถึงวัดเต๋าแห่งนี้เร็วกว่านี้หน่อย ก็คงหาเยี่ยเทียนกับศิษย์พี่ใหญ่เจอแล้ว
มองดูวัดเต๋าสักพัก จั่วเจียจวิ้นก็เริ่มตะโกน “เยี่ยเทียน เยี่ยเทียน ศิษย์พี่ใหญ่?!”
“นายคือ……ศิษย์น้องจั่ว?” เสียงที่แก่ไปบ้างดังออกมาจากข้างหลังวิหาร จั่วเจียจวิ้นหันไปตามเสียง ทันใดนั้นทั้งตัว
ของเขาก็ตะลึงไปเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง จั่วเจียจวิ้นพูดออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว “อา……อาจารย์? โอ้ ไม่ ศิษย์พี่!”
อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คล้ายกับหลี่ซั่นหยวนมากๆ นอกจากใบหน้าที่ไม่เหมือนแล้ว แต่หุ่นและบุคลิกที่เหมือนกับบรรลุแล้วนั้นเกือบจะเหมือนกันทุกประการ มองอย่างรวดเร็วจนจั่วเจียจวิ้นเกือบจะจำผิดคนด้วยซ้ำ
ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่จั่วเจียจวิ้นเท่านั้น แม้แต่ตอนที่เยี่ยเทียนเผชิญหน้ากับโก่วซินเจีย ก็มักเกิดภาพลวงตาขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์ล้วนเป็นที่ยึดนักพรตป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ความเหมือนในเรื่องของบุคลิกนั้นก็มีมากมาย
“ศิษย์น้องจั่ว มาที่ห้องด้านข้างที่นี่สิ ศิษย์น้องเล็กก็อยู่ที่นั่น!” โก่วซินเจียแสดงรอยยิ้มที่คล้ายกับเด็กทารกออกมาเพราะเขาได้พบกับศิษย์สำนักเดียวกันถึงสองคนในวันเดียว ทำให้เขารู้สึกปรีดาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้
การฝึกฝนการเจริญสติจนถึงระดับโก่วซินเจียเช่นนี้จะไม่ไปควบคุมอารมณ์ชอบโกรธเศร้าดีใจของตนเองอีกแล้ว ใน
เต๋านั้นแน่นอนว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามใจ ยามร้องไห้ควรร้องไห้ ยามยิ้มควรยิ้ม
ก้าวขาเข้าไปข้างในห้องด้านข้างเพียงก้าวเดียว จั่วเจียจวิ้นก็เห็นบริเวณไหล่ของเยี่ยเทียนถูกพันด้วยผ้า จึงรีบก้าวเข้าไปสองก้าวถามว่า “เยี่ยเทียน นายได้รับบาดแผล?”
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นคิดว่าแผลนี้คือความรับผิดชอบที่เยี่ยเทียนได้รับจากการหลบหนีการฆ่าคนในครั้งนี้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เรื่องนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพูดว่า “ครั้งนี้เป็นความสะเพร่าของผมเอง ไหล่ถูกยิงหนึ่งนัด ตรงนี้ก็ถูกงูกัด ถ้าไม่ใช่เพราะได้เจอ
ศิษย์พี่ใหญ่ ชีวิตของผมจะรักษาและอยู่มาถึงตอนนี้ได้หรือไม่ ก็ยังไม่รู้เลย……”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก บุญวาสนาสูง ไม่ใช่คนอายุสั้น ถึงแม้ทั้ง ชีวิตจะมีอยู่อุปสรรคเยอะ แต่ก็รอดมาอย่างปลอดภัย!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นคนของสำนักฉีเหมินก็ตาม แต่การฝึกฝนระดับโก่วซินเจีย แม้จะทำนายชะตาชีวิตของเยี่ยเทียนไม่แตกฉาน แต่ก็สามารถดูเงื่อนงำบางอย่างจากรูปลักษณ์ใบหน้าของเยี่ยเทียนได้
ก็เหมือนกับเยี่ยเทียนในปีนั้น ที่เคยทำนายอายุชีวิตขีดสูงสุดของอาจารย์ได้ เพียงแต่ว่าพลังของเขาในตอนนั้นยังอ่อนมากทำให้ได้รับพลังที่ตีกลับมาหนักพอสมควรเท่านั้นเอง
“จั่วเจียจวิ้นสำนักเสื้อป่าน ขอคารวะศิษย์พี่ใหญ่!”
รอจนได้พูดคุยกับโก่วซินเจียไปไม่กี่คำเสร็จ จั่วเจียจวิ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าและเดินไปข้างหน้าโก่วซินเจีย ก้มหัวคารวะ
ด้วยความเคารพ
คนในฉีเหมินให้ความสำคัญกับลำดับรุ่นมาก ตั้งแต่หลี่ซั่นหยวนถึงแก่กรรม โก่วซินเจียจึงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเสื้อป่านในปัจจุบัน ขอแค่เยี่ยเทียนไม่ใช้อำนาจของการเป็นเจ้าสำนัก เขายังคงให้โก่วซินเจียเป็นใหญ่
โก่วซินเจียเดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว ใช้แขนข้างเดียวพยุงจั่วเจียจวิ้นขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “ชื่อเสียงของศิษย์น้องจั่วในไต้หวันไม่เบาเลยนะ เพียงแต่ว่าตัวพี่เองกลับไม่เคยรู้ว่าเราอยู่สำนักเดียวกันเท่านั้น จึงทำให้เจอกันช้าไปสิบกว่าปี……”
“ต่อหน้าศิษย์พี่ จะมีชื่อเสียงของเจียจวิ้นให้เอ่ยถึงได้อย่างไรกัน?!” จั่วเจียจวิ้นถูกโก่วซินเจียพูดถึงจนหน้าแดง ระเรื่อไปหมด เขาไม่ได้ถ่อมตัวเพียงแต่รู้สึกอับอายอย่างจริงจัง
ไม่พูดถึงวิธีจัดการที่คล้ายกับปีศาจของเยี่ยเทียนแล้ว วัยชราตอนปลาย 80 ปีอย่างศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า พลังลมปราณภายในร่างกายนั้นลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งหนุ่มทั้งแก่ก็ถูกเอาชนะจนหมด
และจั่วเจียจวิ้นเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ศิษย์พี่ใหญ่ของเขามีพรสวรรค์มาก การฝึกฝนวิชาภายในสำนักนั้นไม่มีใครอาจเทียบเทียมได้สักคน และได้ค้นคว้า ศึกษาเกี่ยวกับการฝึกจิตจนชำนสญ เป็นศิษย์คนนึงที่ได้รับการสืบทอดวิชามากที่สุด
ตัวของจั่วเจียจวิ้นนั้นฝึกได้ถึงระดับพลังแฝง(อันจิ้ง)แล้ว อีกเพียงก้าวเดียวจะก้าวข้ามไปสู่ระดับพลังสับเปลี่ยน(หวาจิ้ง)แล้ว เดิมทีรู้สึกภูมิใจอยู่ในใจอย่างมาก แต่ข้างหน้าเขามีเยี่ยเทียนข้างหลังเขามีโก่วซินเจียจึงทำให้สภาพจิตใจของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยทีเดียว
การฝึกฝนในช่วงแรกคือการฝึกหมัด เท้าของร่างกาย เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการฝึกจิตนั่นเอง
สภาพจิตใจของจั่วเจียจวิ้นผ่อนคลายลงครั้งนี้ คนทั้งคนก็กลายเป็นว่างเปล่าขึ้นมา สิ่งที่ไม่เข้าใจในอดีตก็กระจ่าง แจ้งขึ้นมาทันใด ในเวลานี้ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาจากข้างในอย่างไม่ทันตั้งตัว
“สติปัญญาของศิษย์พี่ ศิษย์น้องนั้นสูงมาก!”
เยี่ยเทียนกับโก่วซินเจียสบตาต่อกัน ขณะเดียวกันก็ยิ้มออกมาพร้อมๆกัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพื่อทำให้จั่ว
เจียจวิ้นตื่นขึ้นมา เพราะการเข้าใจทันใดในลัทธิเต๋า เป็นสิ่งที่เพียงพานพบมิอาบครอบครอง
“หา เยี่ยเทียน ศิษย์พี่ใหญ่ ฉันเสียมารยาท!” เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเต็มๆ จั่วเจียจวิ้นเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากฝัน สติค่อยๆกลับมา
“ยินดีด้วยศิษย์น้องจั่ว เชื่อว่าถ้าใช้เวลาอีกสักครึ่งปี นายก็สามารถเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตเหมือนกัน
“คงต้องพึ่งการชี้แนะจากศิษย์พี่ครับ” จั่วเจียจวิ้นเองดีใจมาก และโค้งคำนับกับโก่วซินเจียอีกครั้ง
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นนึกว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่สามารถเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว แต่ไม่คิดว่าการเข้าใจทันใดเพียง
ครั้งเดียว จะสามารถทำให้เขาก้าวข้ามประตูนี้ได้ ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่วแน่ ครึ่งปีเท่านั้นก็จะสามารถแตกฉานและก้าวข้ามระดับที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน
โก่วซินเจียหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆ สายเลือดเสื้อป่านทั้งสามพี่น้อง สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของการฝึก
ลมปราณได้ ศิษย์พี่อย่างฉัน ภาคภูมิใจจริงๆ!”
นักพรตเวลาฝึกพลังลมปราณ ถึงแม้จะมีระดับการหลอมปราณสู่จิตยังมีฝึกเซียนหวนคืนสู่ความว่างเปล่า และฝึก
ความว่างเปล่ารวมเต๋าเป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำเล่าขานต่อๆกันมาเท่านั้นอย่างน้อยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจุจัน
ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถทำได้ถึงระดับนั้น แม้แต่การฝึกหลอมปราณสู่จิตเองก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกจนสำเร็จ
ถ้าหากนำระดับของเยี่ยเทียนทั้งสามคนเปิดเผยสู่ยุทธภพฉีเหมิน เกรงว่าทั้งองค์กรฉีเหมินคงจะสั่นสะเทือนอย่างแน่
นอน เพราะว่าฉีเหมินในปัจจุบันเริ่มถดถอย นอกจากชายชราที่ไม่อาจะพบได้โดยทั่วไปแล้ว คนที่สามารถเข้าสู่ระดับพลังแฝงได้ก็มีไม่มากแล้ว
“ลุกขึ้นมา วันนี้ต้องทำโทษด้วยเหล้าแก้วใหญ่!” โก่วซินเจียพยุงจั่วเจียจวิ้นลุกขึ้นมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “แต่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ร่างกายทรุดโทรม การเงินก็ฝืดเคือง อาหารและเหล้ายา ต้องเตรียมเองนะ”
หลังจากได้ยินคำของโก่วซินเจียแล้ว จั่วเจียจวิ้นรีบพูดต่อว่า “ศิษย์พี่ใหญ่พูดอะไรแบบนั้น ความสามารถของพี่ตอนนี้เพียงพอที่จะเป็นองค์ชายหัวเราะใส่ขุนพลได้แล้ว จะมาแปดเปื้อนสิ่งของทางโลกเหล่านี้ได้อย่างไรกันเล่า?”
จั่วเจียจวิ้นคิดว่า ศิษย์พี่ใหญ่นั้นฝึกฝนโดยการหนีทางโลก มิฉะนั้นด้วยความสามารถของเขาแล้ว ก็คงถูกบูชากราบ
ไหว้เหมือนเซียนที่มีชีวิตอย่างนั้นแล้วมั้ง?
นำของที่ถือไว้ในมือวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจั่วเจียจวิ้นพยุงโก่วซินเจียพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่ เชิญนั่งครับ!”
โก่วซินเจียโบกมือไปมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “พวกเราที่เป็นพี่น้องกันไม่ต้องพูดกันขนาดนี้หรอก เก้าอี้ที่ห้องฉันไม่พอ ศิษย์น้องนั่งบนเตียงก็แล้วกันนะ”
“ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ แขน……แขนของพี่?”
จนถึงเวลานี้ จั่วเจียเพิ่งจะสังเกตเห็นความว่างเปล่าของแขนขวาของโก่วซินเจีย สีหน้าเปลี่ยนอย่างกะทันหัน “ศิษย์พี่ แขนของพี่ใครเป็นคนทำหรือ?”
การแสดงออกของเขาเหมือนกับเยี่ยเทียนตอนนั้นเลย ใบหน้าของจั่วเจียจวิ้นก็แสดงความตกใจมากถึงที่สุดออกมาเช่นกัน จากการฝึกฝนของศิษย์พี่ใหญ่นั้นสามารถที่จะแสวงหาความดี หลีกเลี่ยงภยันตรายได้แล้ว เป็นใครกันที่ทำร้ายเขาได้จนถึงขนาดนี้?
“ศิษย์พี่จั่ว นั่งลงคุยกันเถอะ”
เยี่ยเทียนดึงจั่วเจียจวิ้นเอาไว้ จากนั้นก็เดินออกจากห้องด้านข้างไปเอาถ้วยจากห้องครัวกลับมาสามใบ หลังจากกลับมาถึงก็เปิดเหล้าขาวที่จั่วเจียจวิ้นนำมาด้วย เทใส่ถ้วยจนเต็มทั้งสามถ้วย เปิดปากพูดว่า “วันนี้ผมได้พบกับศิษย์พี่ใหญ่ นับเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดของสำนักเสื้อป่าน น้องขอเคารพศิษย์พี่ทั้งสองหนึ่งถ้วย!”
เยี่ยเทียนเองก็เคยถามโก่วซินเจียด้วยคำถามเดียวกัน แต่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมพูด เยี่ยเทียนจึงคิดว่าดื่มกันสักถ้วยสองถ้วยให้เหล้าได้เริ่มทำงานครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็คงพูดออกมาเอง
“ศิษย์น้องเล็ก กล้าตุกติกกับศิษย์พี่แล้วเหรอ?”
โก่วซินเจียมีชีวิตมาแล้ว 80 ปี วิธีที่เยี่ยเทียนกำลังใช้อยู่นั้นเขารู้ดีอย่างแน่นอน ส่ายหัวหัวเราะและพูดว่า “มีโอกาสได้
พบกับศิษย์น้องทั้งสอง ทั้งชีวิตของคนแก่คนนี้ไม่มีอะไรจะขออีกแล้ว ส่วนเรื่องแขนข้างนี้ จะพูดให้พวกนายฟังก็แล้วกัน!”
“มา ชนถ้วยนี้ก่อน!”
นักพรตเต๋าไม่มีข้อห้ามเรื่องการกินอาหารคาว อย่ามองว่าโก่วซินเจียตัวเล็ก แต่ระดับการกินเหล้าของเขานั้นไม่แพ้เยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นเลย อึกเดียวก็ดื่มเหล้าในถ้วยลงท้องไปแล้วกว่าครึ่งถ้วย
“พวกนายรู้ดีว่า ฉันมาไต้หวันกับคุณเจียงตั้งแต่ปี 49 แต่ที่พวกนายไม่รู้คือฉันเคยกลับเข้าไปภายในประเทศหนึ่งครั้งในปี 50……”
โก่วซินเจียถือถ้วยเปล่าเอาไว้และเริ่มดำดิ่งสู่ความทรงจำในอดีต และพูดความลับอันนึงที่ทำให้เยี่ยเทียนและจั่วเจีย
จวิ้นตกใจอย่างมาก
ที่แท้ในตอนนั้นโก่วซินเจียอยู่ในรัฐบาลของตระกูลเจียง เขาเป็นตัวละครที่พิเศษมากคนหนึ่ง ดูแลเรื่องที่ตระกูลเจียง
ไม่สามารถมอบหมายให้คนอื่นทำโดยเฉพาะ
ในปี 1950 ประเทศจีนเปิดประเทศเกือบทุกๆด้านแล้ว โก่วซินเจียได้รับภารกิจหนึ่งอย่าง ต้องขนย้ายทองคำจำนวน
มหาศาลจำนวนหนึ่งจากประเทศจีนไปที่ไต้หวัน
ทองคำครั้งนี้ไม่ได้เป็นของประเทศจีนทั้งหมด แต่เป็นของที่ญี่ปุ่นไปปล้นมาจากนานาประเทศในแถบตะวันออกเฉียงใต้ และเนื่องจากในปี 45 ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม จนไม่ทันได้ขนย้ายทองคำกลับสู่ประเทศญี่ปุ่น จึงต้องฝังเอาไว้ที่แถบชายแดนประเทศจีนกับพม่าแทน
ข้อมูลนี้เพิ่งจะรู้กันในวันที่ตระกูลเจียงพ่ายแพ้ให้กับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ตระกูลเจียงในตอนนั้นก็ไม่เวลาสน
ใจทองคำครั้งนั้นแล้ว จนเมื่อปักหลักที่ไต้หวันเรียบร้อยแล้ว ความคิดจะนำทองคำออกมาก็เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ภารกิจนี้ในเวลานั้นถูกมอบหมายให้โก่วซินเจีย โดยมีคนติดตามเขาอีกยี่สิบกว่าคน ผ่านความยากลำบากไม่น้อยในการหาทางเข้าประเทศจีนแผ่นดินใหญ่โดยเส้นทางพม่า
ในเวลานั้นภายในมณฑลยูนหนานยังไม่เปิดทั้งหมด นายพลเฉินกับซ่งเหรินฉงยังไม่ได้เข้าเมืองชุน สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย
ตอนเริ่มต้นภารกิจของโก่วซินเจียสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น ใช้เวลาเพียงสามวันเต็มๆเท่านั้นก็สามารถนำทองคำครึ่หนึ่งออกมาและขนส่งไปถึงประเทศพม่า เตรียมพร้อมส่งกลับไปยังไต้หวันโดยใช้เส้นทางทางทะเลของอ่าวเบงกอล
แต่หลังจากที่เข้าสู่ภายในประเทศพม่าแล้ว ก็มีสัญญาณเตือนโก่วซินเจียขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้ลูกน้องฝังทองคำอีกครั้ง และเตรียมตัวพาคนของตนเองกลับสู่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
ถึงแม้ว่าทองคำจะถูกซ่อนไว้แล้ว แต่ตอนที่โก่วซินเจียกลับเข้าเขตชายแดนนั้น กลับถูกกลุ่มคนลึกลับซุ่มยิง คนของเขาตายในเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนโก่วซินเจียได้จ่ายค่ารอดชีวิตด้วยแขนข้างซ้ายไปหนึ่งข้างเขาจึงรอดออกมาได้
………