หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 365 ความลับ (2)
พูดมาถึงตรงนี้โก่วซินเจียรู้สึกเสียใจ พี่น้องที่เดินทางกลับไปจีนแผ่นดินใหญ่กับเขาล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องที่เขาฝึกฝนมากับมือ มีสายใยความผูกพันลึกซึ้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดจะต้องมาพบจุดจบแบบนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าลูกน้องได้ใช้ระเบิดมือเปิดให้ทางเขา แล้วสู้จนตัวตายแล้วละก็ แม้แต่ตัวเขาเองอาจไม่รอด เรื่องราวผ่านมาแล้วเกือบห้าสิบปี นึกถึงทีไรก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ทุกครั้ง
“ศิษย์พี่ เป็นฝีมือใครกัน? ใช่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไหม?”
ทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นหน้าเปลี่ยนสีทันที สำนักของพวกเขามีความแค้นชนิดฝังลึกกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ นี่อาจจะเป็นฝีมือของนายทักษิณก็เป็นได้?
“นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทำไมพวกนายถึงคิดว่าเป็นเขาล่ะ?”
ฟังข้อสงสัยของเยี่ยเทียนจบ โก่วซินเจียแสดงสีหน้าฉงน “ฉันคิดว่า อาจารย์ของเราเคยประลองฝีมือกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เรื่องที่ฉันถูกลอบฆ่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเขา”
โก่วซินเจียเริ่มติดตามร่ำเรียนวิชากับหลี่ซั่นหยวนมาตั้งแต่ยุคปี1920-1930 เขาจึงทราบดีถึงเรื่องราวสมัยวัยหนุ่มของอาจารย์ แม้แต่ตอนที่หลี่ซั่นหยวนกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ประลองฝีมือกัน เขายังได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เยี่ยเทียนพูดอย่างเปิดเผยว่า “ศิษย์พี่ ช่วงก่อนผมได้สังหารชาญ ทองทวนลูกศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จนตาย ที่ผมถูกตามล่าตัวครั้งนี้คนที่ตามมาฆ่าผมเป็นคนที่เชี่ยวชาญไสยศาสตร์มาก ผมคาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
ในเอเชียอาคเนย์มีผู้ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำมากมาย แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยเทียนฆ่าศิษย์เอกของเขาตาย การลอบฆ่าเยี่ยเทียนครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเทียนหลงที่เยี่ยเทียนฆ่าเป็นคนสุดท้ายก็เป็นศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน คราวนี้ตัวเยี่ยเทียนกับตำหนักไสยศาสตร์มนต์ดำในประเทศไทยคงต้องตามจองล้างจองผลาญกันไม่สิ้นสุด
“อืม พิษงูในร่างกายของนายนั้นร้ายแรงมาก ถ้าฉันไม่มียาเฉพาะ แขนข้างนี้ของนายคงรักษาไว้ไม่ได้ นี่คงจะเป็นอสรพิษร้ายที่คนไทยเลี้ยงไว้”
โก่วซินเจียพยักหน้า แล้วขมวดคิ้วเอ่ยต่อ “จะว่าไปความสามารถของพวกเราไม่ได้ด้อยกว่านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เลย แต่ด้วยวิชาชั้นต่ำของมัน ทำให้เราป้องกันตัวยาก”
เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นเห็นด้วยกับความคิดเห็นของโก่วซินเจีย อย่างกรณีของชาญ ทองทวนจะว่าไปฝีมือก็ธรรมดา แต่เพราะว่ามีเจ้าครึ่งผีครึ่งคนนั่นคอยคุ้มครองอยู่ จึงทำให้ทั้งเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นรับมือได้ยาก
สิ่งที่เยี่ยเทียนเรียนรู้ได้ดีที่สุด ตอนที่เขาฆ่าเทียนหลงไปเมื่อหลายวันก่อน แม้ร่างกายของเทียนหลงที่หมดลมแล้ว ยังอุตส่าห์ปล่อยงูพิษร้ายจู่โจมเยี่ยเทียนได้อีก นึกถึงทีไรเขายังกลัวไม่หาย
โก่วซินเจียเห็นสีหน้าของศิษย์น้องทั้งสองไม่สู้ดี เขาคิดว่าศิษย์น้องคงวิตกหวาดกลัว ก็หัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร พวกนายไม่ต้องกลัว ตอนนั้นอาจารย์กำราบมันลงได้ ตอนนี้ศิษย์พี่อย่างฉันถึงจะแก่แล้ว แต่ก็ยังสามารถคุ้มครองความปลอดภัยพวกนายได้อยู่!”
โก่วซินเจียพูดจบ เห็นสีหน้าของจั่วเจียจวิ้นกลับแปลกไปกว่าเดิม อดถามไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องจั่ว เป็นอะไรไป? ไม่เชื่อคำพูดของฉันเหรอ?”
จั่วเจียจวิ้นติดตามอาจารย์เป็นคนแรก ได้เล่าเรียนวิชามามากที่สุด นอกจากวิชายุทธแล้ว พวกวิชาค่ายกลต่างๆ นักพรตเฒ่าได้สืบทอดให้เขาทั้งหมด
บวกกับการฝึกฝนมาห้าสิบปี วิชาค่ายกลสังหารของเขา เขาได้ทำให้มันสมบูรณ์ที่สุด จนกล้าบอกได้เลยว่า ในสำนักค่ายกลทั้งหลายไม่มีใครต่อกรกับเขาได้
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ศิษย์พี่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
จั่วเจียจวิ้นรีบโบกมือปฏิเสธ เหลือบไปทางเยี่ยเทียนแล้วกล่าวต่อ “แต่ในบั้นปลายชีวิตของอาจารย์ ท่านได้ปรับปรุงวิชาค่ายกลจนสมบูรณ์แล้วสืบทอดวิชาทั้งหมดให้ศิษย์น้องเล็กไปแล้ว”
“อะไรนะ? ศิษย์น้อง นายพูดจริงหรือ?”โก่วซินเจียตกตะลึง ปากกำลังถามจั่วเจียจวิ้นแต่สายตามองไปที่เยี่ยเทียน
การฝึกวิชาของโก่วซินเจียได้พัฒนาขึ้นมาก เขาคิดว่าเขาสามารถพัฒนาวิชาของสำนักให้สมบูรณ์เหมือนอาจารย์ได้ แต่วิชานั้นสุดลึกล้ำยากจะเข้าใจ แม้ใช้เวลาหลายสิบปี ฝีมือค่ายกลของเขาทำได้แค่เพียงทำให้ค่ายกลแข็งแรงขึ้น
โก่วซินเจียเคารพยกย่องวิชาของอาจารย์ที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะทำให้วิชาบรรลุขั้นสูงสุดได้แล้ว เมื่อรู้เข้าจึงอดเสียจริตไม่ได้
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่จั่วพูดถูกแล้ว อาจารย์เคยไปสืบเสาะหาตำราของสำนักวิชาต่างๆ แล้วเรียนรู้วิชาเหล่านั้นมาประยุกต์กับสำนักของเรา จนในที่สุดก็สำเร็จ และสืบทอดวิชาเอาไว้มาถึงตอนนี้”
เยี่ยเทียนได้ใส่ไฟลงไปนิดหน่อย เพราะว่าวิชาของโก่วเจียซินนั้นแทบจะไม่ได้ด้อยกว่าอาจารย์เลย ความเข้าใจถ่องแท้ในวิชาที่ตัวเองคิดค้นขึ้นนั้นย่อมลึกซึ้งกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ถ้าหากเยี่ยเทียนยังดันทุรังว่าวิชาสำเร็จขั้นสูงได้เพราะ นักพรตเฒ่าเป็นผู้สร้างขึ้น โก่วเจียซินคงจะไม่ยอมเชื่อ
สำนักวิชาที่หลากหลาย เยี่ยเทียนเพียงบอกว่าอาจารย์ได้ยืมวิชาจากสำนักอื่นมาดัดแปลง กลับทำให้โก่วซินเจียหลงเชื่อ แต่โก่วซินเจียไม่ทราบเลยว่าสำนักต่างๆนั้นได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ถึงจะมีที่หลงเหลืออยู่ ฝีมือก็เทียบไม่ได้กับของเยี่ยเทียน
พอได้ยินคำตอบเยี่ยเทียน โก่วซินเจียพยักหน้าเห็นด้วยแล้วทอดถอนใจออกมา “อาจารย์ของเราศึกษาค้นคว้าวิชาอย่างลึกซึ้ง ศิษย์อย่างเราเทียบไม่ได้เลย”
“ศิษย์พี่โก่ว อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ไว้ผมค่อยรวบรวมเคล็ดลับวิชาแล้วมอบให้พี่คราวหลัง”
เยี่ยเทียนกลัวว่าโก่วซินเจียจะถามรายละเอียดของวิชาที่อาจารย์คิดค้นอีก จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ศิษย์พี่ตอนนั้นใครเป็นคนทำร้ายพี่ ช่วยเล่าให้ผมกับศิษย์พี่จั่วฟังหน่อย”
“ใช่ ใช่ เป็นคนพวกไหนถึงกล้ามาทำร้ายศิษย์พี่?”
จั่วเจียจวิ้นรีบเออออตาม ยังไม่นับความแค้นเรื่องที่ทำให้โก่วซินเจียเสียแขนไปข้างหนึ่ง แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เป็นความลับใหญ่หลวงแล้ว
“ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง!”
โก่วซินเจียลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง เปิดผ้าห่มบนเตียงออกกึ่งหนึ่ง แล้วหยิบเอาดาบญี่ปุ่นด้ามยาวอันหนึ่งออกมา
“เป็นฝีมือคนญี่ปุ่น!”
โก่วซินเจียวางดาบลงบนโต๊ะ เล่าต่อ “สมบัติทองคำทั้งหลายที่ญี่ปุ่นปล้นมาจากเอเชียอาคเนย์ พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม พวกเขาได้นำทองคำฝังซ่อนเอาไว้ ตอนหลังทหารที่ฝังทองคำไว้บางคนยังมีบางคนรอดชีวิต
แต่ตอนนั้นสถานการณ์ในเอเชียอาคเนย์ไม่มั่นคง ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม พวกทหารญี่ปุ่นจึงรออีกห้าปี ตั้งใจว่าเมื่อผ่านไปแล้วจะกลับมาลักลอบขนทองกลับประเทศตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าฉันได้มาพบเข้าก่อน…”
หลังจากโก่วซินเจียพ่ายแพ้ครั้งนั้น ย่อมไม่ยอมเลิกราง่ายๆ พอหนีกลับไต้หวันแล้ว เขาอาศัยความสัมพันธ์ที่ปิดบังมิดชิด สืบหาความจริง
ทางฝ่ายญี่ปุ่นและคนแซ่เจียงคนนั้นก็มีความคิดแบบเดียวกัน พวกเขาได้ส่งกำลังคนที่มีพละกำลังรบมหาศาล ในนั้นยังมีสมาชิกของสำนักการต่อสู้แบบญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยถึงสามสำนัก
แขนซ้ายของโก่วซินเจียถูกตัดขาดโดยนักฆ่าหนุ่มคนหนึ่งของตระกูลคิตะมิยะของญี่ปุ่น แต่เขาเองก็เสียท่าโก่วซินเจียด้วยเหมือนกัน โดนโก่วซินเจียซัดที่หน้าอกไปหนึ่งฝ่ามือ แม้แต่อาวุธของตัวเองยังถูกแย่งมา
“ดาบเยี่ยม!”
จั่วเจียจวิ้นหยิบดาบบนโต๊ะขึ้นมา ชักดาบออกมาครึ่งหนึ่ง ดาบสะท้อนกับแสงไฟสาดลงบนหน้าของจั่วเจียจวิ้น พร้อมกับไอพิฆาตที่เกิดจากการฆ่าคนมากมายพรั่งพรูออกมา ถึงกับทำให้จั่วเจียจวิ้นหายใจติดขัด
ดาบญี่ปุ่นด้ามยาวเล่มนี้คมกริบ ตัวดาบถูกตีขึ้นด้วยแร่เหล็กชั้นดี บนตัวดาบมีลวดลายละเอียดอ่อนสวยงาม ดาบมีค่าแบบนี้ ในสมัยปัจจุบัน แทบจะหาไม่ได้แล้ว
เมื่อจั่วเจียจวิ้นสังกตุเห็นตัวอักษรที่สลักบนดาบสองตัวแล้ว ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น ตะโกนออกมาว่า “มุรามาสะ? เป็นมันนี่เอง!” “ดาบมารมุรามาสะ?”
เยี่ยเทียนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆยังอึ้งไป สมัยสงครามจีนต่อต้านญี่ปุ่น นักพรตเฒ่าได้ต่อสู้กับสำนักการต่อสู้หลายแห่งของญี่ปุ่น เยี่ยเทียนจึงพลอยได้รู้จักคุ้นเคยกับสำนักเหล่านี้ไปด้วย
ตัวคมดาบยาว 37.32 เซนติเมตร ดาบมุรามาสะเป็นดาบที่ตีขึ้นในโรงดาบที่เมืองมุรามาสะในยุคปลายสมัยมูโรมาชิ ความคมกริบของมันเหนือกว่าดาบทั่วไป
วิญญาณน่าเวทนาที่ต้องสังเวยให้ดาบเล่มนี้มีมากเหลือเกิน ปู่ของโทคุงาวะ อิเอะยะสึ คือคิโยยาสึ มัตสึไดระได้ทำสงครามกับตระกูลคิตะ สุดท้ายถูกขุนนางของตัวเองใช้ดาบเล่มนี้ฟันตะพายแล่งตั้งแต่ไหล่ขวาลงไปถึงท้องด้านซ้าย
หลังจากนั้นพ่อของโทคุงาวะ อิเอะยะสึ หรือฮิโรทาดะ มัทสึไดระถูกขุนนางใกล้ชิดใช้ดาบนี้ฟันเข้าที่ต้นขา ต่อมาบุตรชายคนโตของโทคุงาวะ อิเอะยะสึก็ถูกโนบุนากะ โนดะร่วมมือกับตระกูลทาเคดะฆ่าคว้านท้อง ได้ใช้ดาบเล่มนี้เช่นกัน
ดังนั้นโทคุงาวะ อิเอะยะสึกับดาบมุรามาสะเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ถึงกับสั่งคนในตระกูลว่า ดาบนี้เป็นของอัปมงคล ห้ามคนในตระกูลใช้ดาบนี้เด็ดขาด ผู้ที่ใช้จะถือว่าทรยศต่อตระกูล จะต้องได้รับการลงโทษขั้นสูงสุด เพราะเหตุนี้ชื่อเสียงของ “ดาบมารมุรามาสะ”ถูกเผยแพร่ออกไป
แต่ที่เมืองมุรามาสะเป็นแหล่งกำเนิดของของดาบซามูไรที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ในยุคแรกเริ่มก็ได้เป็นดาบที่มีชื่อเสียงติดหนึ่งในสิบของญี่ปุ่น
ในบรรดาดาบเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการตกทอดมามีเพียงไม่กี่เล่ม แต่ดาบมารเล่มนี้กลับหายสาบสูญ เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นดาบนี้กับตาของตัวเองที่นี่
“ไม่ผิดหรอก นี่เป็นดาบมุรามาสะแห่งยุคโทคุงาวะ อิเอะยะสึของแท้ ตอนหลังตกไปอยู่ในมือของตระกูลคิตะมิยะ เหอะๆ คิดไม่ถึงว่าดาบมีค่าประจำตระกูลจะถูกฉันแย่งมา คงไม่มีหน้าประกาศออกไปหรอก?”
เห็นท่าทางสงสัยของจั่วเจียจวิ้นและเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียหัวเราะเสียงดัง หลายปีมานี้ ตระกูลคิตะมิยะออกตามหาดาบนี้แทบพลิกแผ่นดิน แม้โก่วซินเจียจะไม่มีจิตใจใฝ่ในการต่อสู้แล้ว แต่พอคิดได้อย่างนี้ก็อดสะใจไม่ได้
โก่วซินเจียละทางโลกแสวงหาทางธรรมอาศัยอยู่บนเขาฝ่อกงซาน ยังล่วงรู้ข่าวคราวเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าเกือบห้าสิบปีมานี้ ตระกูลคิตะมิยะไม่เคยหยุดเสาะแสวงหาดาบมุรามาสะเลย
เยี่ยเทียนรับดาบมุรามาสะมาจากมือของจั่วเจียจวิ้น สีหน้าแสดงความโกรธแค้น กล่าวขึ้นมาว่า “ตระกูลคิตะมิยะกล้ามารังแกสำนักเสื้อป่านของเรา ศิษย์พี่ทั้งสอง เราบุกไปฆ่ามันที่ญี่ปุ่นกันไหม? บุกไปที่รังของมัน?”
“บุกไปญี่ปุ่น? ศิษย์น้อง นายว่าพวกเราจะไหวหรือ?”
โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นฟังเยี่ยเทียนพูดจบก็ทำหน้าไม่ถูก อายุของคนทั้งสองรวมกันก็เกือบ150 ปีแล้ว ต่อให้ความแค้นจะใหญ่หลวงกว่านี้ คงจะบุกไปถึงฐานศัตรูไม่ไหวหรอก
……….