หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 372 กลับบ้าน
“พี่ชาย พี่ชายกลับมาแล้ว!”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะก้าวพ้นประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสานหลังเก่าเข้าไป ก็ประจันหน้ากับหลิวหลันหลันทันที หลังจากได้รับการบำรุงมาสองปี แม่สาวน้อยร่างผอมแห้งคนเดิมนั้นตอนนี้ก็ดูเหมือนหญิงสาวขึ้นมาแล้ว
“ว้ายตาย เหมาโถว ทำไมแกผอมลงไปล่ะ?”
เมื่อเห็นเหมาโถวที่อยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียน หลิวหลันหลันก็อุ้มมันไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดพึมพำเสียงเบา “ต้องเป็นเพราะพี่ชายแกล้งแกแน่ๆ เลย เหมาโถวคนดี ไว้ฉันจะซื้อเนื้อวัวแห้งมาให้แกกินนะ!”
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า? ไป ออกไปขนของข้างนอกโน่น พี่ซื้อเสื้อผ้ามาให้เธอตั้งเยอะแน่ะ แล้วยังมีน้ำหอมด้วยนะ”
เยี่ยเทียนยิ่มพลางลูบศีรษะของน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกอบอุ่นของการได้กลับบ้าน เขาหันหน้าไปยิ้มให้คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลัง “นี่น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเองครับ ศิษย์พี่ทั้งสองเชิญเข้ามานั่งข้างในเลยครับ”
เยี่ยเทียนเชิญโก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นเข้าไปในเรือนสี่ประสาน แล้วดึงตัวหลิวหลันหลันไว้ “หลันหลัน คนนี้ พี่ติงติงนะ อาติง พวกเธอสองคนไปช่วยกันทีนะ”
คราวนี้ไม่ได้มีแค่อาติงที่ตามมาด้วย หลิวติงติงก็ตามจัวเจียจวิ้นมาปักกิ่งด้วยเหมือนกัน เพื่อที่จะกลับไปกราบท่านปรมาจารย์ที่อารามของหลี่ซั่นหยวน ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน หลิวติงติงจึงต้องไปร่วมด้วยอยู่แล้ว
หลิวหลันหลันไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน จึงไม่จำเป็นต้องนับลำดับรุ่นอาวุโสกับหลิวติงติง ไม่อย่างนั้นเห็นทีหลิวติงติงคงได้เซ็งตายแน่ๆ เพราะที่นี่ก็มีแต่คนที่ลำดับรุ่นสูงกว่าเธอทั้งนั้น
“เยี่ยเทียน มายืนคุยอะไรกันตรงประตูบ้านนี่ล่ะ รีบเชิญแขกเข้ามาก่อนสิ” ระหว่างที่กำลังคุยกัน เยี่ยตงเหมยก็เดินออกมาจากในตัวบ้าน เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนกลับมาแล้ว เธอก็มีสีหน้ายินดีเช่นกัน
“อาหญิงครับ แล้วคุณแม่ของเซี่ยวเทียนเขาล่ะครับ?” เมื่อเห็นว่ามีแต่เยี่ยตงเหมยกับลูกสาวอยู่บ้านกันสองคน เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
เยี่ยตงเหมยยิ้มพลางตอบว่า “หลายวันก่อนมีคนบริจาคกระจกตามาน่ะ น้องโจวก็เลยเพิ่งได้ไปผ่าตัด อีกหลายวันกว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล ส่วนพี่หญิงใหญ่ก็ไปอยู่ดูแลเขาที่โน่น”
“ผมไม่ยักรู้เรื่องนี้เลยนะเนี่ย ไว้พรุ่งนี้ผมไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลบ้างดีกว่า”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วพยักหน้า ตั้งแต่นางโจวมาอาศัยอยู่ที่เรือนนี้ ก็สนิทสนมกับป้าใหญ่และอาหญิงราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ เมื่อในบ้านมีคนให้พูดคุยด้วยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมามาก
“จริงสิ อาหญิงครับ สองท่านนี้คือศิษย์พี่ของผมเอง ฮ่าฮ่า อาจะคุยกับพวกเขาอย่างคนรุ่นเดียวกันก็ได้นะครับ”
เยี่ยเทียนแนะนำโก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นให้อาหญิงรู้จัก แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คงไม่ต้องเข้าไปข้างในกันก็ได้ครับ พวกเรานั่งกันในลานบ้านนี่แหละ ผมยังมีใบชาต้าหงเผาอยู่ ศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ได้ดื่มมาหลายปีแล้วสินะครับ?”
ช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว อากาศที่เมืองปักกิ่งก็เริ่มเย็นสบายขึ้น ทุกคนจึงไม่เข้าไปในบ้าน แต่นั่งคุยกันในลานบ้านเลย
เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์เอ่ยถึงว่า ชาต้าหงเผาที่ท่านเคยดื่มสมัยก่อนโน้น โก่วซินเจียเป็นคนหามาให้ท่านทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคาดว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็คงจะชอบชาชนิดนี้เช่นกัน จึงไปหยิบชาต้าหงเผาที่เว่ยหงจวินให้เขาเป็นของขวัญออกมา
“สมัยก่อนครอบครัวฉันก็มีบ้านแบบนี้อยู่ที่เมืองหลวงเหมือนกัน เผลอแวบเดียวก็ผ่านไปห้าสิบหกสิบปีแล้ว ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าพรตเฒ่าอย่างฉันจะได้มานั่งอยู่ในเรือนสี่ประสานแบบนี้อีก”
เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมอันคุ้นตาอยู่ตรงหน้า โก่วซินเจียก็อดรู้สึกสะทกสะท้อนไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาบนแผ่นดินของเมืองหลวงแห่งนี้ ความทรงจำกว่าครึ่งค่อนทศวรรษก็โลดแล่นอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา
“เยี่ยเทียน บ้านที่นายพูดถึงก็คือที่นี่งั้นหรือ?”
ส่วนจัวเจียจวิ้นกลับมองสำรวจไปรอบๆ แล้วมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าสงสัย “ที่นี่ก็ดูเหมือนจะไม่มีค่ายกลชุมนุมพลังอะไรนี่นา แล้วค่ายกลชุมนุมพลังที่นายพูดถึงนั่นอยู่ที่ไหนล่ะ?”
เมื่อได้ยินจัวเจียจวิ้นพูด โก่วซินเจียก็เงยหน้าขึ้นมาบ้าง แต่เขามีพลังฝีมือสูงกว่าจัวเจียจวิ้นมาก เหลือบดูเพียงปราดเดียว สายตาก็จับจ้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านแล้ว
“ร้ายเหมือนกันนี่ ถึงขั้นแย่งเอาปราณมังกรของพระราชวังมา แล้วยังชักนำพลังอาฆาตจากในวังออกมาได้ด้วย ศิษย์น้องนี่ทำการใหญ่จริงๆ เลยนะเนี่ย” เมื่อดูเสร็จแล้ว โก่วซินเจียก็มีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมาทันที ร่างก็ลุกขึ้นมาด้วย เหมือนนึกอยากจะไปสำรวจดูทางโน้นเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ไว้กินข้าวเย็นเสร็จแล้วพวกเราค่อยไปดูเถอะนะครับ เดี๋ยวพ่อผมก็คงจะกลับมาแล้ว เขารู้จักกับอาจารย์มานานยิ่งกว่าผมอีกนะ ต้องให้มาเจอกับพวกพี่สักหน่อยแล้วละ”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางรั้งตัวโก่วซินเจียไว้ แล้วพูดกับจัวเจียจวิ้นว่า “ศิษย์พี่รองครับ ถ้ามาอยู่ที่บ้านผมสักสองเดือนละก็ รับรองเลยว่าพี่จะต้องฝึกไปถึงระดับหลอมปราณสู่จิตได้แน่นอน!”
“โอ้? วิเศษขนาดนั้นเลยรึ? ศิษย์น้องเยี่ย พูดจริงรึเปล่าเนี่ย?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จัวเจียจวิ้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ถึงเขาจะฝึกไปจนเกือบถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว แต่ถ้าจะเข้าสู่ระดับนั้นให้ได้จริงๆ ละก็ คงยังต้องใช้เวลาอีกนานถึงครึ่งปีกว่าๆ
แต่เมื่อเยี่ยเทียนบอกว่า เรือนสี่ประสานนั้นสามารถร่นระยะเวลาในการพัฒนาของเขาได้ ก็ทำให้จัวเจียจวิ้นรู้สึกสนใจขึ้นมาเลย
ควรทราบว่า หากเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตได้ ก็หมายความว่าอายุขัยจะเพิ่มขึ้นมามาก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่มีชีวิตอยู่จนถึงร้อยปีหรือมากกว่านั้นก็ทำได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว อย่างหลี่ซั่นหยวนก็มีอายุขัยถึงหนึ่งร้อยสามสิบปีเต็มๆ
ผลการวิจัยของสถาบันวิจัยบางแห่งพบว่า สำหรับมนุษย์แล้ว อายุขัยโดยปกติก็ควรจะมากกว่าแปดสิบหรือเก้าสิบปี เพียงแต่มีปัจจัยหลายอย่างที่มาจำกัดอายุขัยของคนให้สั้นลง
อย่างเช่นความกดดันต่างๆ ในชีวิต การทำงาน การสูบบุหรี่ดื่มสุราและมลพิษทางอากาศ เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อายุขัยของคนสั้นลง
แต่วิชาพลังภายในที่เยี่ยเทียนฝึกมานี้ สามารถขจัดโรคภัยที่แฝงอยู่ภายในร่างกายออกไปได้ จึงทำให้มีอายุยืนยาวมากขึ้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ว่า ทำไมศิษย์สำนักเสื้อป่านแต่ละสมัยเข้าไปก้าวก่ายลิขิตฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังมีชีวิตที่ยืนยาวได้อยู่
“ก็ต้องจริงน่ะสิครับ ไว้เดี๋ยวผมพาพวกพี่ไปดูแล้วก็จะรู้กันเองแหละ” เยี่ยเทียนหัวเราะ ปราณวิเศษที่เรือนสี่ประสานของเขานั้นเข้มข้นอย่างยิ่ง จึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ฝึกให้บรรลุระดับขั้นเป็นที่สุด
“อาจารย์ กลับมาแล้วหรือครับ?!”
ระหว่างที่กำลังสนทนากับศิษย์พี่ โจวเซ่าเทียนก็เดินเข้าประตูมาด้วยสีหน้ายินดี สองมือถือกล่องใบใหญ่ไว้ข้างละกล่อง เพราะเขาถูกหลิวหลันหลันที่กำลังขนย้ายข้าวของอยู่ข้างนอกเกณฑ์แรงงานไปช่วยพอดี
เมื่อเห็นชายสูงวัยสองคนนั่งอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียน โจวเซ่าเทียนก็เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “อาจารย์ครับ สองท่านนี้คือ?”
“เจ้าตัวดี นี่ฉันไม่อยู่แค่เดือนเดียว แกก็ฝึกได้จนถึงขั้นพลังแฝงแล้วเรอะ?”
เยี่ยเทียนมองไปที่โจวเซ่าเทียนปราดเดียวแล้วก็มีสีหน้าชื่มชมขึ้นมาทันที โจวเซ่าเทียนมีพรสวรรค์ที่เหมาะแก่การเรียนศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่เด็กเขาก็เรียนวิชายุทธมาอีกแบบหนึ่ง จึงไม่สามารถเข้าสู่สำนักเสื้อป่านได้
“เพิ่งจะบรรลุเมื่อหลายวันก่อนนี่เองครับอาจารย์” โจวเซ่าเทียนเกาศีรษะอย่างขัดเขิน แต่สายตากลับจับจ้องไปที่โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นตลอดเวลา
หลังจากเข้าสู่ระดับพลังแฝง ประสาทการรับรู้ต่อสิ่งนอกกายของโจวเซ่าเทียนก็ไวขึ้นมาก เขาจึงรู้สึกได้ว่า ชายแก่ร่างผอมแห้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีเลือดลมที่ทรงพลังพอๆ กับเยี่ยเทียนเลย ถ้าเทียบกับเขาเองแล้วก็ยิ่งสูงส่งกว่าจนไม่รู้เลยว่ากี่เท่า
การค้นพบนี้ทำให้โจวเซ่าเทียนผู้เพิ่งจะเข้าสู่ระดับพลังแฝงได้นั้นรู้สึกเหมือนตัวเองพ่ายแพ้ เพราะเขานึกว่าตัวเองก็ถือว่าเก่งแล้ว ไม่นึกเลยว่าแม้แต่ตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้สองคนนี้เขาก็สู้ไม่ได้
เยี่ยเทียนดูออกว่าโจวเซ่าเทียนคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “เซ่าเทียน สองท่านนี้เป็นอาจารย์ลุงของนายน่ะ เข้ามาคารวะอาจารย์ลุงสิ”
“คารวะอาจาย์ลุงทั้งสองครับ”
เมื่อได้ยินที่เยี่ยเทียนบอก โจวเซ่าเทียนก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วรีบก้าวเข้าไปโค้งคารวะต่อโก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นตามลำดับ ความรู้สึกคับแค้นในใจก็มลายหายไปจนหมด ถ้าผู้อาวุโสในสำนักสู้เขาไม่ได้ละก็ อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว
“หน่อนั้นเป็นหน่อที่ดี เสียแต่ที่ฝึกมาไม่ใช่วิชายุทธของสำนักเราเท่านั้น น่าเสียดาย”
โก่วซินเจียส่ายหน้าอย่างเสียดาย แล้วพูดว่า “ได้ยินศิษย์น้องเยี่ยเล่าเรื่องของเธอให้ฟังแล้วละ สายสำนักของเธอนี่ฉันก็รู้จักอยู่เหมือนกัน สมัยโน้นโดนสายตระกูลห่างๆ แย่งวิชาไป เมื่อหกสิบกว่าปีก่อนน่ะฉันรู้จักลูกหลานตระกูลโจวอยู่หลายคน ตอนนี้น่าจะอยู่กันแถวๆ เซียงซี ถ้ามีเวลาก็ลองไปเสาะหาดูแถวนั้นได้…”
สมัยที่โก่วซินเจียติดตามท่านนายพลเจียงเมื่อครั้งกระโน้น ก็เท่ากับเป็นตัวแทนฝ่ายทางการในแวดวงศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพ จึงรู้เกี่ยวกับค่ายสำนักต่างๆ ยิ่งกว่าหลี่ซั่นหยวนเสียอีก
ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนที่ได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงศิษย์นอกสำนักคนนี้ เขาก็รู้ประวัติของโจวเซ่าเทียนหมดแล้ว วันนี้เมื่อเห็นว่าโจวเซ่าเทียนมีคุณสมบัติไม่เลว จึงเล่าเรื่องในอดีตที่ตนรู้ออกมาให้ฟัง
“หกสิบกว่าปีก่อน?” โจวเซ่าเทียนได้ยินอย่างนั้นก็แลบลิ้นแผลบ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่สีหน้าก็บอกอยู่แล้วว่าไม่เชื่อ
โก่วซินเจียอายุถึงแปดสิบแล้ว แต่เพราะซุ่มฝึกวิชามาหลายปี ใบหน้าจึงดูคล้ายกับคนอายุห้าสิบกว่าปี อยู่ดีๆ เขาก็มาพูดถึงเรื่องเมื่อห้าหกสิบปีก่อนแบบนี้ ก็ต้องฟังดูไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว
“เจ้าบ้านี่ อาจารย์ลุงใหญ่บอกแล้วแกยังไม่เชื่ออีกเรอะ? สมัยที่อาจารย์ลุงใหญ่แกออกท่องยุทธภพน่ะ ปู่แกยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำไป”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางตีโจวเซ่าเทียนหนึ่งแปะ แล้วพูดว่า “เอาละ รีบกลับไปช่วยทางโน้นเถอะ ฉันซื้อนาฬิกาพกจากฮ่องกงมาตั้งหลายเรือน ไว้แกเลือกไปสักเรือนนึงนะ”
หลังจากโจวเซ่าเทียนออกไปแล้ว เยี่ยตงผิงก็จอดรถแล้วเดินเข้ามาในเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนจึงแนะนำให้รู้จักกันอีกรอบหนึ่ง
เยี่ยตงผิงรู้จักคบหากับหลี่ซั่นหยวนมายี่สิบกว่าปี จึงรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับท่านดียิ่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก ก็เลยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพรตเฒ่าในสมัยนั้นให้ฟัง ทำให้โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นต่างก็ทอดถอนใจกันไม่หยุด
เมื่อตกเย็นอวี๋ชิงหย่าก็รีบกลับมา ฉุดเยี่ยเทียนไปยังจุดที่ไม่มีคนแล้วเริ่มบ่นว่าเสียยกใหญ่ พูดไปๆ น้ำตาก็แทบจะร่วงออกมา
แต่เยี่ยเทียนกลับหนังหน้าหนาขึ้นทุกวัน เขากอดอวี๋ชิงหย่าไว้แล้วจูบหอมอย่างดุเดือด จากนั้นก็หยิบของขวัญสารพัดอย่างที่ซ่อนไว้บนตัวตั้งแต่แรกแล้วออกมา ในที่สุดก็ทำให้น้ำตาของคนงามกลายเป็นรอยยิ้มได้
ตอนแรกเขาก็อยากให้อวี๋ชิงหย่าอยู่ค้างคืนที่นี่ แต่หลังจากกินข้าวแล้วอวี๋ชิงหย่ายังต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยอีก
เพราะอวี๋ชิงหย่าใกล้จะเรียนจบแล้ว ที่มหาวิทยาลัยจึงมีธุระหลายอย่างต้องจัดการ เธอนัดเยี่ยเทียนไว้ว่าพรุ่งนี้ให้ไปช่วยเธอขนข้าวของส่วนตัวบางอย่างกลับมาไว้ที่บ้าน ถึงอย่างไรทั้งสองก็หมั้นหมายกันแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ดูไม่งามอะไร
ตอนกลางคืนโจวเซ่าเทียนต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาที่โรงพยาบาล ส่วนเยี่ยเทียนก็พาศิษย์พี่ทั้งสองรวมถึงหลิวติงติงและอาติงมาที่เรือนของตัวเองหลังนั้น ทันทีที่เข้าประตูมา โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นต่างก็ตะลึงอึ้งกับปราณวิเศษอันเข้มข้นนั้นกันไปทั้งคู่
“รวมหยินหยางไว้ใช้งาน อาศัยพลังงานจากธรรมชาติ ศิษย์น้อง ในด้านค่ายกลนี่น่ะ ศิษย์พี่สู้นายไม่ได้จริงๆ!” โก่วซินเจียทุ่มเทมุ่งมั่นศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลวิเศษมาหลายสิบปี แต่เมื่อเห็นค่ายกลชุมนุมพลังที่ได้ผลถึงระดับนี้ ก็ยังต้องยอมแพ้ให้อย่างศิโรราบ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ต้องพูดอย่างนั้นเลยครับ พอมาถึงที่นี่แล้ว ผมน่ะรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์เสียจริง”
จัวเจียจวิ้นเองก็ยิ้มเจื่อนๆ เช่นกัน ที่บ้านของเขาที่ฮ่องกงก็จัดตั้งค่ายกลไว้เหมือนกัน แต่เทียบกับที่เรือนสี่ประสานนี้แล้ว นับว่าห่างชั้นกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
“ศิษย์พี่ เลือกห้องอยู่กันคนละห้องก่อนเถอะครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มๆ แล้วหันไปพูดกับหลิวติงติงและอาติง “พวกเธอสองคนอยู่ที่นี่กันได้แค่อาทิตย์ละสามวันนะ อาติง ใช้เวลาสักเดือนหนึ่งโรคภัยของนายก็จะถูกขับออกไปหมดแล้วละ”
……….