หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 379 ใช้มือเดียวสยบคาราเต้ (1)
“วิชากังฟูของพวกแก ใช้ไม่ได้แล้ว!”
บรรพบุรุษของคิตะทาโร่ที่จริงแล้วเป็นนักการทหาร ตั้งแต่เด็กเขามักได้ฟังคนแก่พวกนี้เล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอในประเทศจีนเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รู้แต่เพียงว่า จีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมาก
ที่พูดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นดีนั้น นั่นเป็นเพียงแค่ทางการพูดอย่างเป็นทางการเท่านั้น แท้จริงแล้วชาวจีนมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไม่เคยยกโทษให้ประเทศเพื่อนบ้านนี้เลย
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงสำหรับชาวญี่ปุ่นหลายคน ทั้งนี้เพราะความสุขและความยินดีที่ได้รับเมื่อได้รับชัยชนะในการรุกราน ทำให้พวกทหารญี่ปุ่นบางคนลืมตัวมีความคิดที่ไม่ดีออกมา
ดังนั้นต่อให้ลูกพี่ลูกน้องของเขา “มิยาโมโตะเคนตะ” ที่เป็นน้องชายพูดยังไง คิตะทาโร่ก็จะไม่ทิ้งโอกาสที่ดีในการลดทอนความเชื่อมั่นของนักศึกษาชาวจีน เขาต้องการแสดงความแข็งแกร่งของชาวญี่ปุ่นให้นักศึกษาพวกนี้ได้เห็น
“เยี่ยเทียน แกลงมา ฉันจะประลองกับเขา แม่ง ใครกลัวใครกันแน่วะ”
เมื่อได้ยินคิตะทาโร่ยั่วยุ สวีเจิ้นหนานก็หุนหันพลันแล่นอีกครั้ง ไม่เพียงแค่เขา แต่สมาชิกของชมรมศิลปะการต่อสู้คนอื่นก็ทยอยส่งเสียงฮือฮาขึ้น
สีหน้าของเยี่ยเทียนมองมาที่คิตะทาโร่ด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด ถามว่า
“นายอยากต่อสู่ต่อจริงๆ หรือ”
ที่จริงสวีเจิ้นหนานไม่ได้ตั้งใจลงมือให้มิยาโมโตะเคนตะได้รับบาดเจ็บ เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะมีข้อพิพาทกับพวกเขา แต่ตอนนี้คิตะทาโร่กลับท้าทาย ทำให้ใจของเยี่ยเทียนลุกเป็นไฟขึ้นมา
“แน่นอน พวกนายใช้วิธีที่น่าอับอายเอาชนะลูกพี่ลูกน้องของฉัน ทำไม ตอนนี้ไม่กล้าที่จะประลองแล้วเหรอ”
ถึงแม้คิตะทาโร่จะไม่ได้เรียนวิชาฟันดาบของตระกูล แต่เขาได้คาราเต้ระดับสายดำเจ็ดชั้น เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันคาราเต้ในประเทศญี่ปุ่น มีประสบการณ์ในการต่อสู้ค่อนข้างเยอะ
ตอนเอเชียนเกมส์ปี 1994 หากยังไม่อายุน้อยเกินไป ก็คงได้เป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมเอเชียนเกมส์ไปแล้ว ดังนั้นคิตะทาโร่ค่อนข้างที่จะมั่นใจในตัวเอง
เมื่อมองว่าฝ่ายตรงข้ามยั่วยุคนอื่นด้วยคำพูด เยี่ยเทียนพูดขึ้นว่า “ได้ ฉันจะประลองกับนายเอง คงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“นาย……จะเป็นตัวแทนพวกเขาเหรอ” คิตะทาโร่ไม่รู้จักเยี่ยเทียนมาก่อน แต่สำหรับเขาแล้ว จะต่อสู้กับใครนั้นไม่สำคัญ แค่อยากให้คนจีนรับรู้ถึงความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดก็เป็นพอ
ในสนามนี้นอกจากอวี๋ชิงหย่า เว่ยหรงหรงและสวีเจิ้นหนานแล้ว ไม่มีใครรู้จักเยี่ยเทียนเลย แน่นอนว่าไม่มั่นใจในตัวเขา คนอ้วนจ้ำม่ำคนนั้นตะโกนร้องขึ้นมา “ให้ฉันไปเถอะ”
“นายเหรอ” เยี่ยเทียนส่ายหัว พูดว่า “วิชามวยเส้าหลินถานทุ่ยของคุณ ถึงแม้จะมีพื้นฐานกังฟูที่ดี แต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงมีค่อนข้างน้อย ให้ผมต่อสู้เถอะ”
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าที่ผมฝึกคือมวยถานทุ่ยล่ะ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน คนอ้วนจ้ำม่ำถึงกับตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียน ในชมรมการฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่มีใครรู้ว่าศิลปะการต่อสู้ที่เขาเก็บไว้เป็นความลับคือวิชามวยเส้าหลินแบบถานทุ่ย
“คุณถึงแม้จะอ้วนไปหน่อย แต่ตอนที่เดินตรงราวกับเชือก ดูออกง่ายมาก”
เยี่ยเทียนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก การเคลื่อนไหวแบบมวยถานทุ่ยนั้นต้องใช้ความสามารถมาก ปรับประสานให้เข้ากัน ท่วงท่าการต่อสู้เปลี่ยนได้หลายแบบ การโจมตีและการป้องกันได้อย่างรวดเร็ว จังหวะใหม่ที่เห็นได้ชัด หลี่ซั่นหยวนเพื่อเทิดทูนศิลปะการต่อสู้นี้ ก็เคยฝึกให้เยี่ยเทียนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ศิลปะการต่อสู้ของจีนเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “มวยใต้ขาเหนือ” มวยใต้” ในที่นี่ก็คือ “หงฉวน” และ “ขาเหนือ”แน่นอนก็คือ “ถานทุ่ย”
วิชามวยนี้มีต้นกำเนิดจากวัดหลงถานในจังหวัดหลู จึงเรียกว่ามวยถานทุ่ย ในสมัยราชวงศ์หมิง พระอาจารย์ “เซียงจี่”จากวัดเส้าหลินบนภูเขาซงซาน ได้ไปเยี่ยมชมวัดหลงถานที่เมืองลินฉิง ได้พบกับพระอาจารย์ “เยว่กง” ผู้สืบทอดวิชามวย คุนหลุน
พระอาจารย์ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนวิชามวยอรหันต์ของเส้าหลินกับวิชาเตะของคุนหลุน บัญญัติวิชามวยขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการพบกัน ต่อมาวัดเส้าหลินก็ได้เพิ่มท่ามวยขึ้นอีกสองท่า หลังจากนั้นมาจึงเรียกว่า “วิชามวยเส้าหลินถานทุ่ย”
หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนวิจารณ์ท่ามวยของตัวเอง ใบหน้าของเจ้าอ้วนจ้ำม่ำก็มีสีหน้าที่ไม่แน่ใจขึ้นมา เขาไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนที่ไม่มีรูปร่างแบบคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้เลย จะดูวิชามวยของตัวเองออกได้ยังไง
“พอแล้ว พวกเขาไม่มีใครโต้แย้งแล้ว มาเริ่มการประลองกันเถอะ”
เยี่ยเทียนหันหน้ามามองที่คิตะทาโร่พูดว่า “คาราเต้ญี่ปุ่นเป็นเพียงทักษะที่รวมเอาการโจมตีของจีนบางอย่างมาเล็กน้อย แกมาขอคำแนะนำมวยจีน ก็เหมือนกับนักเรียนที่มาขอคำแนะนำ สั่งสอนจากอาจารย์ ฉันใช้มือสองข้าง จะเป็นการะรังแก แกมากเกินไป เอาอย่างนี้ไหม ฉันใช้มือแค่ข้างเดียวประลองคาราเต้ญี่ปุ่นกับแก!”
เยี่ยเทียนพูดไป ก็เอามือซ้ายของตัวเองไว้ที่ด้านหลัง มือขวาค่อยๆยกขึ้น มองหน้าคิตะทาโร่อย่างยิ้มแย้ม
“อะไรน่ะ ใช้แค่มือเดียวเหรอ”
“นี่ล้อเล่นหรือเปล่า”
“ลูกพี่สวี่ เพื่อนคุณคนนี้เป็นใครกันเหรอ คงไม่ใช่อาจารย์ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงนั้นใช่ไหม”
คำพูดนี้เมื่อออกมาจากปากเยี่ยเทียน ทันใดนั้นในสนามประลองก็มีระเบิดลง คำพูดนี้ค่อนข้างที่ปลุกปลอบกำลังใจ ใบหน้าของคนในชมรมศิลปะการต่อสู้เต็มไปด้วยอาการตื่นเต้น ต่างทยอยถามที่มาของเยี่ยเทียนจากสวี่เจิ้นหนาน
ส่วนนักเรียนคาราเต้ที่ติดตามมิยาโมโตะเคนตะมา ใบหน้ากลับมีสีหน้าความโกรธแค้นออกมาชัดเจน พฤติกรรมนี้ของเยี่ยเทียน แทบจะเป็นการเหยียดหยามกีฬาที่ยิ่งใหญ่อย่างคาราเต้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้
คิตะทาโร่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ปริปากด่าว่า “ไอ้สารเลว!”
“ไอ้บ้า แกลองด่าอีกสักประโยคสิ” ทันใดนั้นใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เยือกเย็นขึ้นมา การเปลี่ยนใบหน้าอย่างรวดเร็วทำให้ใจของคิตะทาโร่หนาวเย็นไปหมด
“ขอโทษ ที่เสียมารยาท!”
คิตะทาโร่ที่ได้คาราเต้สายดำชั้นเจ็ดมา ไม่ใช่จะได้มาโดยไม่มีอะไร เขาชนะการแข่งขันนับไม่ถ้วน มีความสามารถในการควบอารมณ์ได้ดี หลังจากที่ระเบิดความโกรธออกมา ก็รีบรวบรวมสภาพจิตใจ และโค้งคำนับเยี่ยเทียน
“แม่ง พวกญี่ปุ่นราคาถูก พูดคุยดีๆกับพวกที่พาลหาเรื่อง พอโกรธหน่อยก็มาอ่อนข้อซะงั้น” เยี่ยเทียนคิดว่าที่ คิตะทาโร่ทำให้ตัวลงสบลงเป็นเพราะว่ากลัวเขา
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนมีสีหน้าที่นิ่งสงบ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ คิตะทาโร่ก็มีสีหน้าที่ดูระมัดระวังขึ้นมา เขาก็หยิบผ้าผืนหนึ่งในกระเป๋ามารัดไว้ที่หน้าผาก หลังจากนั้นก็ตั้งท่าป้องกันตัวของคาราเต้อยู่ตรงกลางสนาม
ความอวดดีบ้าระห่ำของคิตะทาโร่ก็มาจากความยั่วยุโมโหของฝ่ายตรงข้าม แต่ท่าทางที่แสดงออกมา ทำให้ทั้งตัวเขาเปลี่ยนท่าทีที่สุขุมขึ้นมา ไม่มีท่าทีว่าจะลงมีก่อนสักนิด
“มาเถอะ คาราเต้โจมตีหนักป้องกันน้อย ถ้าฉันลงมือก่อน แกก็จะไม่มีโอกาสแล้วนะ”
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง ไปกระตุ้นคิตะทาโร่ ใช้ท่าทางที่คิตะทาโร่ดูถูกสวีเจิ้นหนานย้อนกลับไปที่ตัวเขา
เมื่อเป็นแบบนี้ คิตะทาโร่ก็รักษาความสงบของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ทำผิดพลาดโดยขยับเท้าและร่างกายพุ่งมาที่ข้างหน้าของเยี่ยเทียน ฝ่ามือขวาชิดกัน ฟันไปที่ใบหน้าของเยี่ยเทียน พร้อมกับเปล่งเสียง “โฮ” ออกมา
คาราเต้เป็นกีฬาการโจมตีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างพละกำลังและทักษะ ฝ่ามือของคิตะทาโร่นี้ สามารถทุบก้อนอิฐ สิบสองก้อนให้แตกกระจายได้
ถึงแม้ในตอนนั้นเขาจะไม่ออกแรงไปทั้งหมด แต่ถ้าโจมตีถูกเยี่ยเทียนแล้ว แน่นอนว่าภายในพริบตาจะทำให้เยี่ยเทียนหมดโอกาสในการต่อสู้ และยังจะได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรงด้วย
“อะไร หนะ!”
เมื่อเห็นฝ่ามืออันดุเดือดของคิตะทาโร่ผู้คนที่ล้อมรอบในสนามก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมาพร้อมกับเสียงร้องของคิตะทาโร่ พลังฝ่ามือนี้มีความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าที่ พัคจุนฮีโจมตีหลี่เฟิงให้แพ้อย่างราบคาบเลย
“หืม”
เมื่อมองไปที่ฝ่ามือของคิตะทาโร่ เยี่ยเทียนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาออกมา ตัวไม่ขยับ ยกมือขวาที่หน้าอกขึ้นมาป้องกันไหล่ไว้
เมื่อฝ่ายตรงข้ามฟันมือลงมาเกือบจะถูกหน้าเขา เยี่ยเทียนใช้นิ้วมืขวาปาดไปที่สันข้อศอกของคิตะทาโร่ ฝ่ามือของ คิตะทาโร่เดิมที่เต็มไปด้วยพลังก็อ่อนลง ฝ่ามือตกลงมา
ปฏิกริยาตอบโต้ของคิตะทาโร่ นั้นรวดเร็วมาก เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเยี่ยเทียนบล็อกท่านี้ของเขาได้ยังไง ขาซ้ายกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายของเขานั้นลอยตัวกลางอากาศ และเข่าขวาของเขากระแทกโดนไหล่ของเยี่ยเทียนอย่างแรง
“โยนเข่าขึ้นบนเหรอ? เป็นเทคนิคของประเทศไทย ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่มีวัฒนธรรมเป็นจองตัวเองเลยเลย”
ในสายตาของคนอื่น การเคลื่อนไหวของคิตะทาโร่นั้นต่อเนื่องกันตลอด ไม่มีการหยุดกระทันหันระหว่างกลางเลย แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน คิตะทาโร่กลับเปิดเผยจุดอ่อนออกมามากมาย แถมมีเวลาในการพิจารณาท่าทางของอีกฝ่ายด้วย
ถึงแม้จะเป็นการเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงของฝ่ายตรงข้าม ร่างของเยี่ยเทียนก็ยังไม่ขยับเช่นเดิม มือขวาที่กำลังใช้ป้องกันหัวไหล่ทันใดนั้นก็งอเข้า ใช้นิ้วชี้จี้ไปที่หัวเข่าของคิตะทาโร่
ท่านี้ของเยี่ยเทียนไม่เพียงเหนือการคาดหมายของทุกคน คิตะทาโร่เองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เข่าหนึ่งที่พร้อมจะออกไปกระแทกกับอีกคนที่ใช้นิ้วที่เปราะบาง ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
เมื่อเข่าสัมผัสกับนิ้วชี้ ทุกคนรวมถึงคิตะทาโร่เองคิดว่าตอนนั้นนิ้วของเยี่ยเทียนคงหักไปแล้ว ทันใดนั้นเองร่างของคิตะทาโร่ก็ลอยไปบนอากาศ จากนั้นก็ตกลงมาบนพรมอย่างหนัก
“เกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมถึงตกลงมาได้เหมาะเหม็ง พอดีขนาดนั้นล่ะ!”
“คนญี่ปุ่นคนนั้นเหมือนจะท่าทางดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้งั้นเหรอ”
การเปลี่ยนอย่างฉับพลันแบบทำให้คนในชมรมศิลปะการต่อสู้ถึงกับประหลาดใจ พากันหัวเราะเยาะคิตะทาโร่ ความอับอายต่อการพ่ายแพ้ของหลี่เฟิงเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว
“ไอ้สารเลว!”
คิตะทาโร่ที่ล้มลงกับพื้นไม่ได้รับบาดเจ็บ รีบลุกขึ้นมา สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดุร้าย จ้องมาที่เยี่ยเทียน
“ฉันบอกแกไปแล้ว ทำไมแกถึงไม่จำมันให้ดีหน่อย”
เยี่ยเทียนรู้อยู่แล้วว่า เมื่อครู่ที่เขาใช้นิ้วจี้ไปที่ต้นขาของคิตะทาโร่ ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้ แสดงออกมาให้เห็นว่าเขาไม่คิดทำร้ายคิตะทาโร่ และปล่อยเขาไป
ใครจะรู้ว่า คิตะทาโร่ จู่ๅ ก็ด่าคนขึ้นมา นี่ทำให้เยี่ยเทียนในใจเต็มไปด้วยความโกรธ คนจีนเกลียดที่สุดคือที่ถูกคนญี่ปุ่นด่าเป็นภาษาตัวเอง
คิตะทาโร่ไม่ได้ตอบเยี่ยเทียน กลับลุกขึ้นมาอีกครั้งปัดตามเนื้อตัวอย่างรวดเร็วด้วยมือที่เคยใช้โจมตีหัวของเยี่ยเทียน
หลังจากที่ถูกบล็อกจากเยี่ยเทียน คิตะทาโร่ก้าวออกมาครึ่งก้าวเล็กๆ ทันใดนั้นก็ใช้ขาขวาเตะไปที่หว่างขาของเยี่ยเทียนอย่างเงียบๆ
การเลือกท่าของคิตะทาโร่ในครั้งนี้ กลับไม่ใช่วิชาของคาราเต้ แต่เป็นเคล็ดลับการโจมตีของตระกูลคิตะมิยะที่ได้รับการถ่ายทอดมา
คิตะทาโร่ได้ฝึกวิชานี้มาตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งสามารถใช้เท้าทุบก้อนอิฐสีครามสี่ห้าก้อนให้แตกได้ ใช้ในการต่อสู้เพื่อทำให้คนพ่ายแพ้ ทำให้บาดเจ็บถึงตาย ถือว่าเหี้ยมโหดมาก
“แม่ง ยังกล้าพูดว่าพวกเราไม่มีคุณธรรมในการต่อสู้ งั้นเหรอ”
ตอนที่คิตะทาโร่เลือกใช้ท่านี้ เขาอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนยี่สิบสามสิบเซนติเมตร เยี่ยเทียนรู้สึกถึงลมเย็นที่มาจากภายในต้นขาของเขา
……