หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 380 ใช้มือเดียวสยบคาราเต้ (2)
การใช้มือโจมตีของคิตะทาโร่นั้นเป็นที่คาดเดาได้ แต่การเตะครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและการที่เขาเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ถ้าหากการประลองครั้งนี้คู่มือของเขาเปลี่ยนเป็นจ้าอ้วนจ้ำม่ำที่ประสบการณ์ไม่พอ ต้องเตะเข้าเป้าแน่นอน
แต่สำหรับเยี่ยเทียนที่ฝึกวิชามาถึงระดับนี้แล้ว ยังมีระยะห่างของความแข็งแรงที่ไม่สามารถการแอบโจมตีหรือใช้เทคนิคใด ๆ ใด้
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว คิตะทาโร่เปรียบเสมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดิน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ไม่รอดจากปฏิกิริยาของพลังชี่ของเขา แม้แต่ตอนที่คิตะทาโร่ถอยออกไป เยี่ยเทียนก็รู้แล้วว่าต่อไปเขาจะทำอะไร
มองไปที่ขาข้างที่กำลังจะไปกระทบที่เป้ากางเกง ใบหน้าของคิตะทาโร่แฝงไปด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น
ไม่เหมือนการเตะอย่างสะเปะสปะของสวีเจิ้นหนานที่ไปโดนท่อนล่างของ มิยาโมโตะเคนตะ คิตะทาโร่ออกแรงอย่างหนัก ขาของเขานี้พอจะทำให้อิฐสีครามแตกได้ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะฝึกวิชาภูษาเหล็กมา หากโดนเตะด้วยเท้านี้ก็คงจะสลบไป
เป็นเรื่องปกติของการประลองที่มักจะพลาดพลั้งทำให้เกิดการบาดเจ็บ นอกจากนี้ในการประลองครั้งนี้ได้มีการตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าเกิดการบาดเจ็บ ผู้เข้าร่วมประลองจะรับผิดชอบเอง ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตาย ทางมหาวิทยาลัยก็ทำอะไรไม่ได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของคิตะทาโร่ยังไม่จางไป ทันใดนั้นขาขวาของเขาที่เตะออกไปก็รู้สึกตึงเหมือนถูกอะไรบางอย่างหนีบไว้ เมื่อก้มหัวลงไปดู คิตะทาโร่ถึงกับช็อค
ที่แท้เมื่อตอนที่คิตะทาโร่ใช้ท่าแขวนตะขอทองคำ เยี่ยเทียนร่างกายไม่ขยับสักนิด แต่ร่างกายจู่ๆกลับเตี้ยลง ส่วนเอวลดต่ำลงไป จิกนิ้วเท้าทั้งสองงอเข้าข้างใน ก็เลยทำให้ขาโก่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เข่าทั้งสองข้างที่แต่เดิมแบะออกไปด้านข้าง ก็เปลี่นเป็นยื่นออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเองขาที่เตะเข้ามาตรงหว่างขาของคิตะทาโร่จึงถูกเข่าทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนหนีบไว้
ที่เยี่ยเทียนใช้ เป็นท่ามวยที่ดัดแปลงมาจากท่าการขี่ม้าและท่าสะพานเหล็กของ “มวยใต้หนานฉวน” ที่ควบคุมม้าได้อย่างมั่นคงที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ท่ายืนม้า” โดยการใช้นิ้วเท้าทั้งห้าจิกไปที่พื้น
เยี่ยเทียนที่ฝึกวิชากังฟูมาตั้งแต่ห้าขวบ ได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักการ “ยืนม้า” จากหลี่ซั่นหยวนตั้งแต่อายุแปดขวบ
จนถึงทุกวันนี้ เมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน เยี่ยเทียนก็ยังคงลุกขึ้นมาฝึกอยู่ทุกวัน แม้จะมีคนตัวใหญ่เข้ามาผลักก็ไม่สามารถจะทำให้เขาขยับได้
ท่ามวยนี้รู้จักกันโดยทั่วไปจากการที่ใช้ในการนั่งม้าหรือแกะ เป็นมวยตระกูลหง ใน หนานฉวน เป็นท่ามวยที่ถูกคิดค้นโดย วีรบุรุษในตำนวน หงซีกวน ลูกศิษย์ฆราวาสของวัดเส้าหลิน หลี่ซั่นหยวนได้ไปเรียนรู้มาจากลูกศิษย์ของ ทิเคียวซา หัวหน้าของสิบพยัคฆ์ร้ายกวางตุ้ง
วิชามวยของ ทิเคียวซา มีอิทธิพลมากกับการฝึกมวยจีนสมัยใหม่ โดยเฉพาะท่า ยืนม้าและท่าสะพานเหล็ก เป็นคนคิดค้าวิชาหมัดเหล็ก ซึ่งต่อมาได้ถูกถ่ายทอดให้กับหวงเฟยหงโดยลูกศิษย์คนแรกของเขา “หลินฝูเฉิง”
เยี่ยเทียนจึงใช้วิชานี้ตอบโต้ หว่างขาเดิมที่เคยเปิดออกในพริบตานั้นก็ถูกปิดเข้ามา บิดเอวออกแรงเข่าทั้งสองข้าง เหมือนเขาสัตว์สองเขาที่อยู่บนหัวแพะ หนีบขาของคิตะทาโร่ไว้อย่างแน่นหนาและง่ายดาย
ถึงแม้ว่าจะไม่ใด้เกิดทางตอนใต้ และท่วงท่า ยืนม้าของเขาจะไม่เหมือนต้นฉบับ แต่ต่อสู้กับคิตะทาโร่นั้นก็เพียงพอแล้ว ภายใต้การหนีบของเยี่ยเทียน คิตะทาโร่ก็ไม่สามารถขยับได้
เยี่ยเทียนเกลียดคิตะทาโร่ที่พูดจาไร้มารยาท หลังจากที่หนีบขาขวาของเขา ใช้ขาทั้งสองข้างหน้าหลัง ทันใดนั้นกำลังที่แข็งแกร่งทั้งหมดก็ได้แพร่กระจายไปยังเท้าของคิตะมาโร่
มีเสียงดังเหมือนคีมหนีบใข่ กระดูกข้อเท้าของคิตะทาโร่ถึงกับแตก คิตะทาโร่ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย ไอ้สารเลว!”
เดิมทีนิสัยของคิตะทาโร่มีนิสัยที่โหดเหี้ยม ตอนอายุสิบสองสิบสามก็กล้าที่จะฆ่าคน ในตอนนี้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ ก็โกรธจนตาแดงฉานไปหมดแล้ว
ในตอนนี้คิตะทาโร่ไม่สนใจขาของตัวเองอีกต่อไปแล้ว หนีบมือขวาเข้าด้วยกันเหมือนปลายมีดที่แหลมคม ฟันมาที่คอของเยี่ยเทียน
คิตะทาโร่ถึงแม้จะไม่ได้สืบทอดวิชาฟันดาบของตระกูล แต่การโจมนี้ก็ไม่มีอะไรต่างกันกับการใช้ดาบจริง สามารถตัดคอของเยี่ยเทียนได้ง่ายๆ เหมือนกัน
“นี่จะเอาชีวิตฉันเลยเหรอ แต่แกไม่สามารถใช้กลยุทธของแกได้หรอก ถ้าเปลี่ยนเป็นยาย พัคจุนฮี ผลลัพธืก็ใกล้เคียงกัน”
ฝ่ามือดาบของคิตะทาโร่ดูเหมือนจะมีความตั้งใจที่จะฆ่า แต่เขาไม่ใด้ฝึกวิชาดาบหรือเคนโดมา ท่าทางในการใช้ท่านี้จึงชัดเจนเกินไป หากเปลี่ยนเป็นคนที่เล่นเคนโดญี่ปุ่นมา อาจจะทำร้ายเยี่ยเทียนได้
เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือดาบของคิตะทาโร่ เยี่ยเทียนยังมีเวลาว่างที่จะส่งสายตาไปมองที่ด้านนอกเวทีประลอง มองไปที่พัคจุนฮี เขาอยากรู้มากว่า ลูกศิษย์ของตระกูลคิตะนั้นมีวิชาบรรลุถึงระดับไหน
เยี่ยเทียนเป็นคนยังไงกัน พลังพิฆาตที่เกิดจากการฆ่าคนถึงยี่สิบสองคนในไต้หวัน จนถึงตอนนี้ยังไม่สลายไปเลย ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแวบเดียว แต่พลังพิฆาตยั้นก็กลับพุ่งเข้าหาตัวของพัคจุนฮี
“นี่คือใคร ทำ……ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้”
หลังจากที่ถูกสายตาเยี่ยเทียนเพ่งมา สายตาของพัคจุนฮีที่กำลังมองสองคนที่กำลังประลองกันอยู่บนเวที จู่ๆก็รู้สึกขนหัวลุก ความหนาวเย็นแผ่กระจายไปถึงสันหลัง นาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนว่าได้ถูกตะปบโดยสัตว์ร้าย กระหายเลือด
หลังจากที่สายตาเยี่ยเทียนมองออกไป สติของพัคจุนฮีก็กระเจิดกระเจิง ซึ่งเกิดขั้นในเวลาที่สั้นมาก พัคจุนฮีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อกี้เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า
เยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากพัวพันกับคิตะทาโร่แล้ว ใช้มือขวาเป็นกรงเล็บ ฟันสวนไปที่ฝ่ามือดาบ
ตามมาด้วยเสียงดัง “แช้บ……แช้บ” ตัวของคิตะทาโร่ค่อยทรุดลง ไปกองที่พื้นพร้อมกับร้องเสี่ยงดังโหยหวน
ไม่มีใครที่เห็น ตอนที่เยี่ยเทียนหักมือและปล่อยมือที่ใช้โจมตีคิตะทาโร่ มือสะบัดผ่านท้องน้อยของคิตะทาโร่เบาๆและว่องไวราวกับปีศาจร้าย การเคลื่อนไหวนี้เร็วมากแม้กระทั่งกล้องก็ไม่สามารถจับภาพได้
ตั้งแต่เริ่มท่องยุทธภพ เยี่ยเทียนได้รับการปลูกฝังความเชื่อมาแล้วว่จะมีฆาตกรมาฆ่าเขา เมื่อเยี่ยเทียนเห็นรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่อยากจะฆ่าของชายคนนี้ เขาจึงลงมือด้วยความโหดเหี้ยมและไร้ความปราณี
“อ๊าก……อ๊าก ขาของฉัน มือของฉันหักแล้ว!”
คิตะทาโร่ที่ล้มกองอยู่กับพื้นได้สูญเสียความเป็นตัวตนไปอย่างสิ้นเชิง ร้องโหยหวนทุรนทุราย สมาชิกสองสามคนของชมรมคาราเต้ก็วิ่งไปพยุงเขา แต่กลับถูกเขาไล่เตะออกมาอย่างไร้สติ
เยี่ยเทียนเพิ่งใช้วิชาแยกกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น ไม่ได้ทำลายกระดูก อีกไม่นานก็รักษาให้หายได้ แต่อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็ยากที่จะรับมันได้เหมือนกัน
“ดี ทำได้ดี!”
“ฮีโร่ ฮีโร่จริงๆ!”
“ฆ่าพวกเศษสวะญี่ปุ่น ยกย่องอำนาจของประเทศเรา!”
ตั้งแต่การเริ่มต้นประลองกันระหว่างเยี่ยเทียนกับคิตะทาโร่ ถึงแม้ว่าจะบรรยายไปอย่างช้าๆ แต่ความจริงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเจ็ดแปดวินาที จนกระทั่งคิตะทาโร่ทรุดตัวกองกับพื้นร้องโอดโอยนั้น พวกสมาชิกชมรมศิลปการต่อสู้ที่ชมดูอยู่รายรอบพอเห็นดังนั้น ต่างก็จุดประกายความฮึกเหิม มีหลายคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ส่งเสียงตะโกนออกมาเยี่ยเทียนฟังแล้วถึงกับชาไปทั้งหัว
“พวกนายคิดว่านี่เป็นช่วงปี 1920 หรือ 1930 เหรอ?”
เยี่ยเทียนมองขึ้นไปด้านบน แล้วโบกมือเขาลงด้านล่าง เสียงในสนามจึงเงียบลงได้ “นักศึกษาทุกคน จุดประสงค์ของการฝึกศิลปะป้องกันตัวเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง หวังว่าต่อไปนี้ทุกคนจะสำนึกถึงจุดนี้ด้วย อย่าไปประลองฝีมือกับคนอื่นอีก”
ความจริงประโยคนี้เยี่ยเทียนตั้งใจจะพูดกับสวีเจิ้นหนาน โบราณบอกว่าคนที่จมน้ำตายต่างก็ว่ายน้ำเป็นทั้งนั้น และคนที่สำเร็จวิทยายุทธเร็วที่สุดก็คือคนที่ไม่พอใจน้ำที่ยังคงเหลืออยู่ครึ่งขวด
พูดได้ว่าวิชามวยแมวสามขาของพวกนี้ ไม่สามารถใช้ได้จริง ไม่คิดว่ายังจะกล้าขึ้นมาประลองกับคนอื่น ถ้าไม่เตือนเขาสักหน่อย เกรงว่าวันหลังถูกคนส่งกลับไปเกิดใหม่
เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนมองมาที่ตัวเอง สวีเจิ้นหนานก็ยิ้มหน้าเหยเกขึ้นมา มือทั้งสองน้อมคำนับเยี่ยเทียน แต่เขากลับอยากให้เยี่ยเทียนไว้หน้าเขาต่อหน้าคนอื่นบ้าง
“แกทำร้ายคนอื่น คิดจะจบแค่นี้เหรอ”
“ใช่ เขาทำคิตะทาโร่จนบาดเจ็บ อย่าให้เขาไป”
“ไม่รู้ว่าคิตะทาโร่บาดเจ็บขนาดไหน ทุกคนล้อมเขาไว้!”
ตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมจะออกจากเวทีประลอง นักศึกษาห้าสิบหรือหกสิบคนจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้รีบเร่งเข้ามา
ล้อมเขาไว้ เสียงน่าสงสารของคิตะทาโร่ที่ร้องอย่างเจ็บปวด ทำให้พวกเขากลัว จึงได้ล้อมเยี่ยเทียนไว้ไม่ให้จากไป
แน่นอน การประลองจบสิ้นแล้ว ไม่มีใครกล้าลงมืออีก เพราะไม่อยากเป็นคนต่อไปที่ล้มลงร้องโอดโอย
“เขาไม่เป็นไรใช่ไหม ฉันขอรักษาสักเขาหน่อย”
เยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ยิ้มแล้วเดินตรงไปที่คิตะทาโร่ในเวทีประลอง
“นายจะทำอะไร”
พัคจุนฮียืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน คิตะทาโร่เป็นลูกหลานของอาจารย์เคนโด ถ้าได้รับบาดเจ็บอีก พัคจุนฮีคงไม่มีคำอธิบายเมื่อกลับไปญี่ปุ่น
“แค่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาเท่านั้น”
เยี่ยเทียนมองมาที่พัคจุนฮี ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่รู้สึกถึงพลังพิฆาต แต่ก็ทำให้พัคจุนฮีตกใจถอยออกไปสองก้าว รอเธอไปอยู่ด้านหลังแล้ว เยี่ยเทียนจึงเดินต่อไป
“ทนเจ็บหน่อย!”
เยี่ยเทียนจับมือขวาของคิตะทาโร่ไว้ นิ้วหัวแม่มือทาบและกดตรงข้อมือ เอ็นใหญ่สองเส้นพันกัน ถูไปถูมาด้วยฝ่ามือ เสียงร้องเจ็บปวดของคิตะทาโร่ก็หยุดลง
หลังจากที่ปล่อยมือคิตะทาโร่ เยี่ยเทียนก็หันไปจับข้อเท้าของเขา ในขณะเดียวกันก็ถูไปถูมาด้วยฝามือ ทันใดนั้นอาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง คิตะทาโร่มีความรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนรักษาอาการเจ็บปวดของตัวเอง หน้าผากที่ยกขึ้นสูงของคิตะทาโร่ในที่สุดก็ลดต่ำลงมา หลังจากที่ถูกพยุงตัวขึ้น ก็หันมาพูดกับเยี่ยเทียนว่า “ขอบคุณ ฉันแพ้แล้ว!”
“อาการบาดเจ็บของแกไม่เป็นไรมาก พักผ่อนสองสามวันก็หายดีแล้ว” ใบหน้าของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น เขาดูออกว่า ตอนที่คิตะทาโร่ก้มหัวลงมายังมีสายตาของความอาฆาตแค้นและอยากฆ่าเกิดขึ้น
เยี่ยเทียนก็ไม่ใช่คนที่ดีอะไร ในการประลองนี้เขาก็ได้ลงมืออย่างเหี้ยมโหดตั้งแต่แรกแล้ว คาดว่าคิตะทาโร่ก็คงไม่มีโอกาสที่จะแก้แค้นได้อีกแล้ว
……