หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 389 หัวหน้าเซวีย
ในเมืองหลวงตำแหน่งข้าราชการย่อมสูงกว่าเมืองอื่นหลายเท่าตัว ถ้าเป็นเมืองชนบททั่วไป หัวหน้าแผนกที่มีการแบ่งมากที่สุดคือ ระดับเขต แต่เสิ่นหมิงซินดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าเขต
แม้ว่าสถานีตำรวจจะขึ้นตรงกับรัฐบาล แต่ยังมีแผนกพิเศษอื่นที่มีอำนาจนอกเหนือ หัวหน้าเลขาเจียวยังไม่มีสิทธิ์ไปตรวจสอบการทำงานของเสิ่นหมิงซินเลย
เสียงที่ไม่คุ้นเคยที่ตะโกนออกมาว่าให้พักงาน ทำให้ทุกคนที่นั้นตื่นตกใจ มองหาที่มาของเสียงกันใหญ่
คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 45-46 ปี หน้าตาธรรมดาแต่ด้วยท่าทางนั้นดูเหมือนเขาน่าเกรงขาม คงจะเป็นคนที่มักออกคำสั่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ข้างๆ ชายวัยกลางคนมีชายสูงวัยอายุราวหกสิบปียืนอยู่ รูปร่างเตี้ย ผมขาวโพลน แต่นัยน์ตาคมกริบจนทำให้ผู้ที่เผลอสบสายตาด้วยรู้สึกหวาดเกรงน่าขนลุก
เบื้องหลังคนทั้งสองยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบอีกเจ็ดแปดคน อายุประมาณสี่ห้าสิบปี บนบ่าของเจ้าหน้าที่มีดาวประดับทุกคน ตำแหน่งนั้นสูงกว่าเสิ่นหมิงซินแน่นอน
“ผู้การโต้ว? ท่านมาได้ยังไง?”
พอเห็นชายมีอายุผมขาว ผู้การเฮ่อรีบรุดเข้าไปต้อนรับ คำพูดของเขาทำให้ตำรวจทุกคนในที่นั้นตกตะลึงเพราะว่าผู้การโต้วท่านนี้เป็นพี่ใหญ่สุดในสายงานตำรวจท้องที่ในเมืองปักกิ่ง ทั้งยังควบตำแหน่งรองผู้การเข้าด้วย
ความจริงแล้วในใจเสิ่นหมิงซินไม่ได้หวาดเกรงผู้การเฮ่ออย่างที่แสดงออก เพราะผู้การเฮ่อยังไงก็ต้องไว้หน้าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเองบ้าง แม้จะรู้สึกว่าโชคดี แต่ตอนนี้ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำ
ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวหน้าเสิ่นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เหตุการณ์ตรงหน้าเขารับมือไม่ไหวแล้ว จึงใช้โทรศัพท์โทรออก แล้วเสิ่นหมิงซินก็อุทานอย่างตกใจ เพราะว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์หมดเกลี้ยง
“เสี่ยวเฮ่อ นายก็อยู่ด้วยเหรอ”
ผู้การโต้วพยักหน้าให้ผู้การเฮ่อทีหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “เลขาจาง ได้ยินที่หัวหน้าเซวียพูดแล้วหรือยัง นำตัวเสิ่นหมิงซินไปสอบสวนปัญหาที่เกี่ยวข้อง”
คำสั่งของผู้การโต้วจบ ทุกคนแทบไม่กล้าหายใจ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเขา พลางคาดเดาสถานะของเขา
“หัวหน้าเซวีย?”
หัวหน้าเลขาเจียวเห็นเขาเข้า ตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เคยรู้จัก เมื่อหัวหน้าโต้วเอ่ยปาก ก็รีบเข้าไปรับหน้า เดินยื่นมือทั้งสองออกให้แต่ไกล
“หัวหน้าเซวีย ผมเป็นสมาชิกประจำเมืองปักกิ่งเจียวฉีกุ้ย เรื่องนี้ทำให้ท่านตกใจแล้ว?” ท่าทางพินอบพิเทาของเลขาเจียว แม้แต่ตอนที่พบกับเลขารัฐบาลประจำเมือง เขายังไม่แสดงความเคารพมากขนาดนี้
หัวหน้าเซวียยื่นมือออกไปจับทักทายกับหัวหน้าเลขาเจียว แล้วพูดต่อว่า “หัวหน้าเลขาเจียว ท่านผู้บัญชาการท่านกังวลกับเรื่องนี้มาก สถานีตำรวจในเมืองหลวงยังไงก็เป็นตัวแทนของการบังคับใช้กฎหมายในประเทศ ดังนั้นคนที่จะมาบ่อนทำลายกฎหมายก็คงต้องกำจัดให้ออกไปจากกองบังคับการตำรวจนะ!”
หัวหน้าเซวียพูดเสียงค่อย แต่ทุกถ้อยคำกลับทำให้เสิ่นหมิงซินที่กำลังส่งมอบปืนพกออกไปนั้นยิ่งหมดกำลังใจ ไม่รู้ว่าหัวหน้าเซวียคนนี้โผล่มาจากไหน ดูช่างร้ายกาจเสียจริง คำพูดเหล่านั้นเหมือนกับบีบบังคับให้เขายอมรับผิด
ถ้าไม่ได้ฝากความหวังไว้กับหัวหน้าชายชราแล้วล่ะก็ เสิ่นหมิงซินตอนนี้คงชักปืนสู้เพื่อหลบหนีแล้ว
ในที่นั้นผู้การโต้วตำแหน่งใหญ่ที่สุด จากคำแนะนำของหัวหน้าเซวีย ผู้การโต้วพูดขึ้นว่า “หัวหน้าเซวียโปรดวางใจ พวกเราจะต้องชี้แจงให้ผู้บังคับบัญชาฟังอย่างชัดเจน ท่านดูสิ ตอนนี้ควรจะปล่อยตัวผู้ที่ถูกขังอยู่ออกมาก่อนดีไหม?”
หัวหน้าเซวียพยักหน้า พูดต่อว่า “อืม คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนเถอะ ปล่อยคนที่อยู่ข้างในออกมา!”
หลังจากหัวหน้าเซวียพูดจบ ตำรวจที่มุงดูอยู่โดยรอบก็วงแตก วันนี้ฉากใหญ่น่าดูเสียจริง แต่ถ้ายังหลงอยู่ต่อเดี๋ยวอาจจะถูกหัวหน้าเพ่งเล็ง แล้วก็คงจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากกันพอดี
เสิ่นหมิงซินที่กำลังจะถูกเลขาจางนำตัวไปรู้สึกไม่ยินยอมจึงได้ตะโกนออกมาว่า “ผู้การโต้ว หวงซือจื้อแห่งบ้านตระกูลหวงก็อยู่ในนั้น ผมอยากช่วยพวกเขาออกมาถึงได้ทำแบบนี้!”
“หวงซือจื้อ? ทำไมเขาถึงอยู่ข้างใน?”
ผู้การโต้วได้ฟังก็อึ้งไป บ้านตระกูลหวงพินาศไปแล้ว แต่หนอนร้อยขาต่อให้ตายแล้วก็ไม่เน่าเปื่อย หมายถึงตอนนี้ยังมีผู้ใหญ่มีอำนาจบางคนยังคงนึกถึงสายสัมพันธ์ครั้งก่อน จึงอาจจะยังให้ความช่วยเหลือเขาอยู่
“เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ หวงซือจื้อมาแจ้งความว่าเขาถูกคนชื่อเยี่ยเทียนทำร้าย พวกเรารับคดีแล้วก็เรียกตัวนายเยี่ยเทียนมาสอบสวนเพิ่มเติม ใครจะไปนึกว่าเยี่ยเทียนจะลงมือทำร้ายคนอีก แล้วก็ขังเอาหวงซือจื้อกับตำรวจอีกหลายคนไว้ข้างใน”
เห็นท่าทีลังเลของผู้การโต้ว เสิ่นหมิงซินคิดว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวของเขา จึงรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา โดยที่ไม่ได้ปรับเสริมเติมแต่งใดๆ
“แค่เรียกมาสอบถามหรือ ไม่ได้สอบในห้องสอบสวนหรือ?”
หัวหน้าโต้วยังไม่ทันพูดอะไร หัวหน้าเซวียชิงถามขึ้นมา “นอกจากหวงซือจื้อเป็นเจ้าทุกข์แล้ว ทำไมเขายังมาปรากฏตัวตอนที่เยี่ยเทียนถูกสอบสวนอีกเล่า? คงไม่ใช่เพราะมีใครใช้อำนาจส่วนตัวหรอกนะ?”
สายตาเฉียบคมของหัวหน้าเซวียมองเห็นประเด็นปัญหาอย่างชัดเจน ทำเอาแผนการของหัวหน้าเสิ่นกับสารวัตรอู๋ถูกเปิดโปงออกมา จนเสิ่นหมิงซินพูดไม่ออก
ดูจากท่าทีไม่ไว้หน้าของหัวหน้าเซวียแล้ว ผู้การโต้วคิดว่าเรื่องนี้คงจบไปไม่สวยแน่ จึงโบกมือบอกปัด “เอาเถอะ เสี่ยวเสิ่น ทำผิดไม่กลัว แต่ต้องอธิบายความผิดมาให้ชัดเจน ไปกับเลขาจางเถอะ”
ตอนที่ผู้อาวุโสตระกูลหวงยังมีชีวิตอยู่ ผู้การโต้วจำเป็นต้องเห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่าด้วย แต่ตอนนี้ตระกูลหวงแทบจะสูญสิ้นแล้ว เทียบไม่ได้กับคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังของหัวหน้าเซวีย
ได้ยินที่ผู้การโต้วพูดจบ เสิ่นหมิงซินถึงกับหน้าถอดสี อย่างกับว่าแก่ลงไปอีกสิบกว่าปีในชั่วพริบตา เดินกระแทกส้นตามหลังเลขาจางออกไป
ในขณะเดียวกัน ประตูห้องสอบสวนถูกเปิดออกจากด้านนอก บรรยากาศภายในทำให้ผู้ที่ไม่เคยดูกล้องวงจรปิดอย่างผู้การทั้งหลายและหัวหน้าเลขาตกตะลึง
ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สอบสวน ส่วนตำรวจคนอื่นยืนกระสับกระส่ายอยู่ชิดผนังห้อง บนพื้นมีร่างของอีกสองคนนอนอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เมื่อเห็นประตูใหญ่ถูกเปิดออก สารวัตรอู๋ถือปืนไว้ในมืออย่างกระหยิ่มใจ บุกก้าวเข้าไปในห้องโดยที่ไม่ได้ดูให้ดีก่อน พร้อมกับตะโกนว่า “ขัดขืนการจับกุม ทำร้ายเจ้าหน้าที่ รีบจับตัวเยี่ยเทียนไว้เดี๋ยวนี้”
“เหลวไหลทั้งเพ นายเป็นใคร?!”
น้ำเสียงเด็ดขาดของผู้การโต้วทำให้สารวัตรอู๋อึ้งไป สายตาเหลือบไปเห็นฝ่ายตรงข้าม อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา นายใหญ่ของเมืองหลวง เขาไม่รู้จักได้ยังไง?
“รายงานท่านผู้การโต้ว ตอนที่พวกเรากำลังดำเนินการสอบสวน อยู่ๆ ก็มีผู้ต้องสงสัยบุกเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ กำลังเตรียมดำเนินการอยู่ครับ!”
สารวัตรอู๋ก็เป็นถึงระดับหัวหน้า คำพูดที่ใช้ในราชการพูดจนติดปาก ตอนนี้เขายังประติดประต่อเรื่องไม่ได้ว่าการที่ผู้การโต้วมาปรากฎตัวที่นี่เกี่ยวอะไรกับเยี่ยเทียน
“ใครสั่งให้แกใช้ปืน? ปืนของตำรวจมีไว้ต่อสู้กับประชาชนหรือยังไง?”
รูปร่างของผู้การโต้วแม้จะไม่สูงใหญ่ แต่พอตะโกนออกมาเสียงดังก้องจนหูชา รวมถึงสารวัตรอู๋ที่ยืนตัวค้างอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขารายงานไปมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?
“ปลดอาวุธเขาออกมา พาตัวไปให้ปากคำ ดูสิว่าได้ไปใช้อำนาจในทางมิชอบรึเปล่า”
ฟังคำสั่งของลูกพี่แล้ว ผู้การเฮ่อโบกมือ เจ้าหน้าที่ต่างก็ล้อมเข้ามา คว้าปืนมาจากมือของสารวัตรอู๋แล้วนำตัวสารวัตรที่เหงื่อโชกออกไป
“พวกนายเป็นใคร?” หวงซือจื้อออกมาจากห้องสอบสวนเห็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“นายเป็นหลานบ้านตระกูลหวงใช่ไหม? ทำไมไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้าง” ผู้การโต้วมองดูหวงซือจื้อแล้วกล่าวต่อว่า “พาเขาไปอีกห้อง”
หวงซือจื้อไม่ได้ขัดขืน เขาเหลือบไปเห็นหูจวินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน คิดในใจว่า สถานการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้นเพราะหงจวินแน่ แต่เขาไม่หวั่น ถ้าเสิ่นหมิงซินเส้นใหญ่ไม่พอ เขายังสามารถอาศัยบารมีจากคนอื่นได้
“เยี่ยเทียน นายไม่เป็นไรนะ?”
หงจวินเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาก็รีบเข้าไปหา “ฉันผิดเองที่ไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้ดีตั้งแต่แรก ทำให้เจ้าหวงซือจื้อนั่นยังแค้นนาย!”
“ไม่เป็นไร”
เยี่ยเทียนพยักเพยิดให้หูจวิน ชี้ไปที่คนพวกนั้นว่า “สองคนที่นอนอยู่กับพื้นนั่นจะเอากระบองตีฉัน แต่ไม่ระวังเลยโดนตีเข้าใส่ตัวเอง ส่วนพวกที่เหลือ อืม ไม่เป็นอะไรมาก”
เมื่อเยี่ยเทียนเห็นหูจวินกับคนอื่นภายนอกห้องสอบสวน เขาก็รู้ว่าตัวเองน่าจะปลอดภัยแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องราวบานปลาย เพราะว่าตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านั้นแค่ทำตามคำสั่ง ไม่ได้ทำผิดอะไรร้ายแรง
เยี่ยเทียนพูดจบ พวกตำรวจมองดูสารวัตรถูกนำตัวไป ก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อครู่ตรงจุดที่โดนตีก็ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บแล้ว จึงมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาขอบคุณและเป็นมิตรขึ้น
“ตีตัวเองเนี่ยนะ?”
คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ตำรวจพวกนั้นได้แต่ยิ้มแห้ง เจ้าหนุ่มนี่ช่างแถจริงๆ? ใครมันจะบ้าเอาไม้กระบองตีตัวเองจนสลบ?
แต่การมาของพวกเขาครั้งนี้ก็เพราะเยี่ยเทียนคนเดียว แน่นอนว่าไม่กล้าเปิดโปงการตบตาของเยี่ยเทียน ต่างก็มองกันไปมาแล้วยิ้มแหย
ผู้การโต้วเห็นเยี่ยเทียนไม่ได้รับบาดเจ็บ ดวงหน้าที่เครียดขึงก็ผ่อนคลายลง พูดว่า “เอาล่ะ นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ส่วนคนอื่นให้บันทึกปากคำไว้ก็พอ”
“นายคือเยี่ยเทียนรึ?” หัวหน้าเซวียมองเยี่ยเทียนด้วยความสนใจ พูดต่อว่า “ผู้การโต้ว เราไปคุยกันที่อื่น?”
“ได้ ไปที่ห้องประชุมแล้วกัน”
ผู้การโต้วพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีคนออกมาเดินนำทาง คนนั้นก็คือรองหัวหน้าผู้คุมแผนกลงทัณฑ์ที่กำลังจะถูกปลดนั่นเอง
“เอ้อ นายไม่ต้องตามมา”
ตอนที่หูจวิน ผู้การจ้าวที่หูจวินพามาและเยี่ยเทียนกำลังเดินไปที่ห้องประชุม รองหัวหน้าผู้คุมก็ถูกคนสนิทของหัวหน้าเซวียห้ามไว้
……..