หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 398 วิชาดูดวิญญาณ
จะตัดสินมาตรฐานสุขภาพของใครคนหนึ่ง ต้องดูว่าลมปราณของคนคนนั้นแข็งแรงดีหรือไม่ ทว่าเวลานี้เสี่ยวเซียนลมปราณบกพร่อง สีหน้าหมองคล้ำ ลมหายใจแห่งชีวิตแผ่วเบา ใบหน้าเริ่มเผยให้เห็นไอแห่งความตายออกมาอย่างเลือนลาง
ถ้าหากเยี่ยเทียนใช้เวทมนตร์กับใครสักคนจะได้ผลออกมาอย่างนี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยคือ ภายในร่างของหูเสี่ยวเซียนไม่มีพลังหยินร้ายคงอยู่ จึงสามารถตัดความเป็นไปได้เรื่องการใช้คุณไสยทำร้ายคน ซึ่งนอกจากวิธีนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“คุณน้าครับ เมื่อก่อนเสี่ยวเซียนเคยเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรบ้างไหม?”
หลังรอให้อารมณ์ของพวกอวี๋ชิงหย่าสงบลงแล้ว เยี่ยเทียนก็เอ่ยถามขึ้น เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนที่พบกับหูเสี่ยวเซียน ภายในร่างกายของเธอดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณอันวุ่นวายสับสน แต่เวลานี้กลับสลายไปไม่มีให้เห็นอีก
แม่ของหูเสี่ยวเซียนนึกว่าเยี่ยเทียนก็คือเพื่อนร่วมชั้นของลูกสาวตนเอง จึงส่ายหน้าตอบ “ไม่มีจ้ะ เสี่ยวเซียนของพวกเราร่างกายแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ตอนสิบขวบยังสามารถติดตามคุณปู่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา จนโตขนาดนี้ยังไม่เคยเกิดอาการเจ็บป่วยเลยสักครั้ง”
“นี่นับว่าแปลก” เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วกล่าวต่อ “คุณน้าครับ ผมเคยเรียนแพทย์แผนจีนมานิดหน่อย ขอจับชีพจรให้เสี่ยวเซียนได้ไหมครับ?”
แม่ของหูเสี่ยวเซียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า ตอบว่า “คุณปู่ของเธอเป็นหมอเก่า ก็ยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้ พ่อหนุ่ม ถ้าเธอพอรู้เรื่องล่ะก็ วัดชีพจรให้เธอเถอะ”
คุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนเมื่อยุคปี 60-70 เป็นหมอยาประจำหมู่บ้าน เล่าลือกันว่าฝีมือการรักษาสูงส่ง ได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนในยุคนั้น
หลังจากยุคปฏิรูปเศรษฐกิจจีน คุณปู่จึงเปิดคลินิกแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาโรคร้ายอันรักษาหายได้ยากเป็นหลัก แต่ว่าสำหรับหลานสาวคนนี้ของตน คุณปู่หูกลับไร้หนทางเยียวยา
ยื่นสองนิ้วแตะลงบนข้อมือของหูเสี่ยวเซียน เยี่ยเทียนค่อยๆ หลับตาลง สั่งกระแสพลังมงคลเข้าไปท่องภายในร่างกายของหูเสี่ยวเซียน แต่กลับไม่พบอะไรผิดปกติ
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ เยี่ยเทียนก็ส่งกระแสพลังมงคลไปล้อมรอบชีพจรหัวใจของหูเสี่ยวเซียน เขาตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของหูเสี่ยวเซียนไม่พบ จึงได้แค่ป้องกันชีพจรหัวใจของเธอเอาไว้ก่อน เผื่อที่จะได้ไม่เผชิญกับเหตุชีพจรขาดสะบั้นในช่วงเวลาสั้นๆ
“คุณน้าครับ ผมเองก็ตรวจไม่พบปัญหาในตัวของเสี่ยวเซียน แต่ว่าเธอยังอายุน้อยอย่างนี้ ต้องไม่เป็นไรแน่ครับ”
เยี่ยเทียนเห็นไอความตายบนใบหน้าของเสี่ยวเซียนจางลงเล็กน้อย ก็รู้ว่ากระแสพลังมงคลที่ตัวเองส่งเข้าไปใช่ได้ผล จึงค่อยวางใจลง เอ่ยปากถามขึ้น “ก่อนเสี่ยวเซียนจะมีอาการป่วย ได้พบเจอเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
ถ้าหากเป็นอาการป่วยก็ย่อมมีสัญญาณบอกเหตุ แต่หูเสี่ยวเซียนที่แข็งแรงดีกลับกลายเป็นแบบนี้ เยี่ยเทียนยังสงสัยว่าเธอคงได้รับคุณไสยอะไรบางอย่างทำร้าย เพียงแต่ตัวเขาตรวจสอบไม่พบเท่านั้น
คุณแม่ของหูเสี่ยวเซียนส่ายหน้าตอบ “เรื่องพวกนี้พวกแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ เรื่องการทำงานของหูเสี่ยวเซียน น้อยมากที่เธอจะเล่าให้พวกเราฟัง”
เวลานี้คุณแม่ของหูเสี่ยวเซียนมองมายังสายตาของเยี่ยเทียนอย่างเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้าง ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงตั้งคำถามมากมายอย่างนี้? หรือว่าเสี่ยวเซียนถูกคนทำร้ายจึงได้กลายเป็นแบบนี้?
“เสียววจิ้ง เธอรู้หรือเปล่า?” เยี่ยเทียนไม่ได้สังเกตสีหน้าของคุณแม่หู แต่มองไปทางเฉินเสียวจิ้ง พวกเธอทั้งสองคนทำงานที่สถานีโทรทัศน์ทั้งคู่ อีกทั้งต่างเป็นเพื่อนร่วมชั้น คงจะรู้เรื่องราวมากกว่า
ในสายตาของเยี่ยเทียน หากอยากจะรู้สาเหตุที่หูเสี่ยวเซียนหมดสติให้กระจ่างชัด ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเธอไปทำให้ใครสักคนไม่พอใจหรือเปล่า? อีกทั้งหูเสี่ยวเซียนเพิ่งจะเรียนจบกลับจากเมืองหลวง ต่อให้ไปขัดหูขัดตาคนเข้า เกรงว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องงาน
“ไม่มีอะไรเลย ฉันทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ เสี่ยวเซียนชอบออกไปทำงานข้างนอก ช่วงนี้ทำงานเป็นนักข่าว วันนึงได้พบเธอแค่ไม่กี่ครั้งเอง”
เฉินเสียวจิ้งแม้จะสนิทสนมกันดีกับหูเสี่ยวเซียน แต่ก็ไม่ได้อยู่แผนกเดียวกัน ปัจจุบันหูเสี่ยวเซียนทำข่าวอะไรอยู่นั้นเธอไม่รู้เลยสักนิด
อวี๋ชิงหย่าเห็นคุณแม่หูมีสีหน้าอดรนทนไม่ไหวก็รีบคว้าตัวเยี่ยเทียนมาพูดว่า “เยี่ยเทียน พวกเราไปหาที่พักกันก่อน ตอนบ่ายค่อยมาดูเสี่ยวเซียนกันอีกดีกว่า?”
“ตกลง คุณน้า งั้นพวกผมไปก่อนนะครับ!” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสะดุ้งเฮือก ตอบกลับในทันใด ตัวเขาถามซอกแซกในห้องคนป่วย แน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
พอออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว อวี๋ชิงหย่าก็หยิกที่เอวเยี่ยเทียนแรงๆ หนึ่งที กระซิบบอก “นายนี่ ทำไมต้องทำตัวเหมือนเชอร์ลอค โฮล์มด้วย เสี่ยวเซียนยังนอนอยู่บนเตียง นายถามเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”
“แล้วกัน ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ “ เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดกับเฉินเสียวจิ้งที่อยู่ข้างหน้า “เสี่ยวจิ้ง เธอลองโทรสืบหน่อย ดูว่าช่วงนี้หูเสี่ยวเซียนไปทำข่าวที่ไหนบ้าง?”
“ได้ ฉันจะไปถามดูเดี๋ยวนี้ล่ะ” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินเสียวจิ้งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
ผ่านไปสักพักเฉินเสียวจิ้งก็วางสายแล้วพูดกับเยี่ยเทียน “นักข่าวคนหนึ่งที่พาเสี่ยวเซียนไปบอกว่า ดูเหมือนเสี่ยวเซียนจะเข้าไปยุ่งกับเส้นทางลักลอบค้าสัตว์ป่า”
“ลักลอบ?”
“ใช่แล้ว ลักลอบนั่นแหละ ภายในเขาฉางไป๋ของพวกเรามีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย มีคนขึ้นเขาไปฆ่าสัตว์เอาชิ้นส่วนอยู่บ่อย ๆ ช่วงหลังยังมีพวกลักลอบเอาสมุนไพรล้ำค่าอย่างพวกกระดูกเสือและดีหมีออกไปอยู่บ้าง”
ในฐานะชาวเขาฉางไป๋ ไม่มีใครไม่รู้ว่ามีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น เฉินเสียวจิ้งเองก็มีหูตากว้างไกล “ไม่เพียงแค่ยาสมุนไพร พวกมันยังล่าเอาแม้กระทั่งสัตว์ป่าเป็น ๆ ทุกปีล้วนสืบพบคดีพวกนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง…….”
ถึงแม้ทุกปีรัฐบาลจะทำโฆษณาชวนเชื่อเป็นจำนวนมาก อีกทั้งดำเนินการปลดอาวุธ แต่อยู่ในป่าก็อาศัยของป่า จึงยังมีผู้คนมากมายยอมเสี่ยงอันตรายลักลอบล่าสัตว์ป่าสงวน ห้ามได้ยากลำบากยิ่ง
“พวกลักลอบฆ่าสัตว์เหรอ?”
เยี่ยเทียนพึมพำอยู่ในใจหนึ่งเสียง เงยหน้าขึ้นกล่าว “ไปหาที่กินข้าวกันก่อนเถอะ เสี่ยวจิ้ง เดี๋ยวเธอพาชิงหย่าไปซื้อเสื้อกันหนาวหนาสักหน่อย จากนั้นพวกเราค่อยไปดูเสี่ยวเซียนกัน”
“ได้ ข้างโรงพยาบาลก็มีโรงแรม เป็นแห่งที่ดีที่สุดในฉางไป๋ ผู้ค้าสมุนไพรมากมายต่างอาศัยกันอยู่ที่นั่นแหละ”
เฉินเสียวจิ้งพยักหน้า เธอรู้ว่าอวี๋ชิงหย่าและเว่ยหรงหรงล้วนเงินไม่ขาดมือ และเยี่ยเทียนก็เป็นคนเปิดธุรกิจนำเข้ารถ จึงนำสองสามคนนั้นไปเช็คอินเปิดห้องที่โรงแรม 2 ห้อง
แน่นอนว่า ห้องคู่นั้นเว่ยหรงหรงกับอวี๋ชิงหย่าพักด้วยกัน นายเยี่ยเทียนจึงต้องพักห้องเดี่ยวคนเดียว
ข้าวเที่ยงก็กินที่โรงแรม แต่ละคนต่างไม่อยากอาหารกันสักเท่าไหร่ หลังจากกินกันไปคนละนิดหน่อย เฉินเสียวจิ้งก็พาหญิงสาวสองคนไปซื้อเสื้อผ้า ส่วนเยี่ยเทียนกลับไปที่ห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาโก่วซินเจีย
หลังจากเยี่ยเทียนอธิบายสถานการณ์ของหูเสี่ยวเซียนคร่าว ๆ แล้วก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ผมมองตำแหน่งอาการเจ็บป่วยในร่างกายของหูเสี่ยวเซียนไม่ออก แต่ผมมีความรู้สึกว่า เธอน่าจะถูกคนทำคุณไสยใส่!”
“ลมหายใจชีวิตอ่อนแรงมาก ลมปราณบกพร่อง แต่ร่างกายกลับไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรเลย?”
โก่วซินเจียพึมพำอยู่ในโทรศัพท์สักครู่ พลันเอ่ยปากออกมา “เยี่ยเทียน ลัทธิบูชาผีเชื่อว่าสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ในนั้นมีวิชาคาถาไม่น้อยล้วนพุ่งเป้าไปที่ดวงวิญญาณ พี่ว่า ครั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าเป็นวิชาดูดวิญญาณของลัทธิบูชาผี!”
“วิชาดูดวิญญาณ? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยครับ!” เยี่ยเทียนส่ายหน้าอัตโนมัติ รีบร้อนถามต่อ “ศิษย์พี่ ถ้าอย่างนั้นจะทำลายวิชาประเภทนี้ได้ยังไง?”
“พวกลัทธิบูชาผีน้อยมากจะออกจากสามมณฑลทางตะวันออก (เฮยหลงเจียง, จี๋หลิน, เหลียวหนิง) พี่เองก็ไม่เข้าใจวิชาของพวกเขามากนัก ส่วนชื่อนี้ก็ได้ยินมาจากปากของหัวหน้าพระลามะทิเบตท่านหนึ่ง”
โก่วซินเจียนิ่งไปสักพัก ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น “เยี่ยเทียน นายลองใช้วิชาเรียกวิญญาณที่สืบทอดมาของพวกเราดู ว่าสามารถปลุกให้หญิงคนนั้นฟื้นได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ล่ะก็ พี่เองก็ไม่มีวิธีอื่นเหมือนกัน”
วิชาดูดวิญญาณ ความหมายจากชื่อ ก็คือจับวิญญาณที่อยู่ภายในร่างคนดูดออกมา เมื่อไม่มีวิญญาณแล้ว ร่างก็ต้องสูญสลายไปตามธรรมชาติ หากไม่สามารถฝึกฝนวิชาแห่งเต๋า หลอมจิตสู่ความว่างเปล่าถอดจิตนอกร่างได้ล่ะก็จะต้องเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน
วิธีที่โก่วซินเจียเสนอขึ้นมานั้นเป็นการกระทำอันสิ้นคิด ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามดูดวิญญาณไป เราก็จับวิญญาณมา เพียงแต่วิชาแห่งทุ่งหญ้าภาคกลางกับลัทธิบูชาผีนั้นมีความแตกต่างกันมาก เขาเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนคิดได้เรื่องหนึ่ง หัวเราะแห้งๆ ออกมา “ศิษย์พี่ หากจะใช้วิชาจับวิญญาณ ครอบ……ครอบครัวของฝ่ายหญิงคงจะไม่ยอมแน่!”
เมื่อครู่ตอนกินข้าวเยี่ยเทียนได้ยินเฉินเสียวจิ้งว่า พ่อแม่ของหูเสี่ยวเซียนเป็นอาจารย์ จึงไม่ค่อยถูกชะตากับเรื่องผีสางทางนั้นสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้คุณปู่ของเสี่ยวเซียนอยากจะเชิญเจ้าเข้าทรงมา แต่กลับถูกพ่อแม่ของหูเสี่ยวเซียนห้ามเอาไว้
เวลาเยี่ยเทียนบริกรรมคาถา ถึงแม้จะไม่มีการเคาะฆ้องตีกลองร่ายรำอลังการอย่างนั้น แต่ก็ต้องเชื่อมต่อกับพลังชี่ดั้งเดิมของฟ้าดิน และเรียกขานชื่อของหูเสี่ยวเซียนจึงจะสำเร็จ
“นักพรต รื่อเยว่เต้าผู้นั้นที่พี่รู้จักเมื่อก่อนก็นามสกุลหู นายลองดูว่ามีความเกี่ยวพันกับตระกูลหูนี้หรือเปล่า ถ้าหากมล่ะก็ อาจสามารถคุยได้”
ทันใดนั้นโก่วซินเจียนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง พูดต่อว่า “จริงสิ พี่ได้ยินว่าคนที่ถูกดูดวิญญาณดึงตัวไป ยังต้องใช้รากของหญ้าคืนวิญญาณเพื่อไปทำเป็นตัวยานำพา เมืองฉางไป๋ผลิตของพวกนั้น นายลองไปหาดูก่อนก็ได้!”
“หญ้าคืนวิญญาณ? ครับ ผมเข้าใจแล้ว ถ้ามีอะไรผมโทรหาศิษย์พี่อีกทีนะ?”
หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา ดูท่าเมื่อก่อนตนเองจะเป็นกบในกะลาเสียจริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิชาดูดวิญญาณที่โก่วซินเจียกล่าวถึง หรือว่าหญ้าคืนวิญญาณนั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักอย่าง
แต่ยังดีที่เยี่ยเทียนได้ป้องกันชีพจรหัวใจของหูเสี่ยวเซียนเอาไว้แล้ว ภายในช่วงเวลานี้จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เยี่ยเทียนจึงมีเวลาไปสืบหาเรื่องหญ้าคืนวิญญาณ
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พวกอวี๋ชิงหย่าที่ไปเดินถนนช็อปปิ้งเสื้อผ้าก็กลับมายังในโรงแรมเช่นเดียวกัน พักผ่อนสักครู่แล้วทั้งกลุ่มก็มายังห้องผู้ป่วยอีกครั้ง
นอกจากแม่ของหูเสี่ยวเซียนแล้วนางพยาบาลแล้ว เวลานี้ภายในห้องผู้ป่วยก็มีผู้เฒ่าวัยหกสิบกว่าอีกหนึ่งคน ผู้เฒ่าคนนั้นร่างสูงโปร่ง ใบหน้าน่าเกรงขาม ช่วงเอวแหละหลังตั้งตรงตระหง่าน ไม่เผยให้เห็นถึงความแก่ชราแม้แต่น้อย
“สุดยอด คนผู้นี้ฝึกวิชาสำนักอื่นจนถึงขั้นสูงสุดแล้วหรือไง?”
เยี่ยเทียนปราดสายตาไปยังร่างของผู้เฒ่าแล้ว ร่างอดสะท้านขึ้นมาไม่ได้ ผู้เฒ่าคนนี้เข้าถึงขอบเขตพลังงานแห่งความมืดทั้งจากภายนอกสู่ภายใน ลมปราณแข็งแกร่ง กระทั่งคนหนุ่มวัยยี่สิบกว่ายังเทียบเท่าเขาไม่ได้
“ฉันว่านะเสี่ยวเหลียน เชิญหมอผีมาทำพิธีแล้วจะเป็นอะไรไป? เมื่อก่อนฉันยังเชิญเทพเซียนจิ้งจอกมาดูอาการคนป่วยเลย พวกเธอคนหนุ่มสาวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เสี่ยวเซียนเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ลองดูสักหน่อยจะกลัวอะไร?”
น้ำเสียงของผู้เฒ่าดังก้องกังวาน แม้ว่าขณะพูดจะจงใจกดเสียงให้ต่ำ แต่ก็ยังคงสั่นสะเทือนดัง “หึ่งๆ” ในหู
…………..