หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 404 สามบุปผารวมเหนือสุด
“แล้วอย่างนี้จะออกไปยังไงล่ะ?”
พอดันร่องประตูออก ก็เห็นหิมะร่วงไหลเข้ามาในประตู เยี่ยเทียนถึงกับงงงัน อย่างนี้ถ้าหากหิมะตกลงมาหนักขึ้นอีกหน่อย คนที่อยู่ในบ้านจะไม่ถูกฝังทั้งเป็นเลยเหรอ?
ความกังวลเช่นนี้ของเยี่ยเทียนไม่ใช่ว่าไร้เหตุผลสักทีเดียว ในหลายๆ พื้นที่ของเขตภูเขาฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ มีบ้านที่ถูกฝังเนื่องจากหิมะตกหนักอยู่จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะพวกกระท่อมไม้ที่โครงสร้างบอบบางนั้น มักเกิดปรากฏการณ์หิมะถล่มทับอยู่บ่อยๆ
เมื่อเห็นหูหงเต๋อกำลังถือพลั่วตักเอาหิมะในลานบ้านออกไปไว้ด้านนอก เยี่ยเทียนก็ร้องขึ้นเสียงหลง “เหล่าหู คุณออกไปได้ยังไงน่ะครับ?”
“ทางหน้าต่างไงล่ะ เยี่ยเทียน ไม่เคยเห็นหิมะตกหนักขนาดนี้เหรอ?” หูหงเต๋อที่อยู่นอกประตูหัวเราะขึ้นเสียงดัง กึกก้องจนหิมะที่อยู่บนหลังคากระท่อมสะเทือนหล่นลงมาข้างล่างดัง “ ปุๆ”
เวลานี้บนร่างของหูหงเต๋อห่มเพียงเสื้อกั๊กจิ้งจอกไฟตัวนั้น ถึงแม้จะอายุล่วงหกสิบปีแล้ว แต่ก็ยังอกผายไหล่ผึ่ง แผ่นหลังราวพยัคฆ์เอวดุจวานร กล้ามแขนกำยำ ผิวสีดำแดงเมื่ออยู่ในพื้นที่หิมะแล้วเกิดสุนทรีย์ภาพอันแตกต่างไป
“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะออกไปทางหน้าต่างบ้าง”
เห็นว่าหูหงเต๋อคงจะยังไม่มาเก็บกวาดฝั่งตัวเองอีกสักพัก เยี่ยเทียนจึงเลิกผ้าม่านหนาที่แขวนอยู่บนหน้าต่างไปไว้ทางอื่น จากนั้นผลักบานไม้ที่นำมาใช้ทำเป็นหน้าต่างก็ถูกเปิดออก
“สดชื่นจัง”
ลมเย็นพัดเอาเกล็ดหิมะจากหน้าต่างเข้าไปยังช่องลำคอของเยี่ยเทียน ราวกับกระตุ้นให้รูขุมขนทั่วร่างของเขาระเบิดออก พลังชี่ดั้งเดิมบริสุทธิ์แห่งฟ้าดินนี้ ไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
ยื่นมือออกไปนอกระแนงหน้าต่างแล้วเยี่ยเทียนก็มุดตัวออกมา สองขาเหยียบจมลงไปในกองหิมะ หิมะตกหนักทั้งคืน จนท่วมเหนือหัวเข่าของเขา
“วิวสุดยอดไปเลย!”
เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปยังสี่ทิศรอบด้าน แล้วตกตะลึงทั้งเนื้อตัวไปชั่วขณะ ท้องฟ้าและแผ่นดินที่อยู่เบื้องหน้าเขาล้วนมีเพียงสีเดียวปกคลุมจนทั่ว นอกจากสีขาวแล้ว ก็ไม่มีสีอื่นใดกระทบดวงตาเขาอีก
สีขาวเช่นนั้น ไม่เพียงสร้างแรงกระทบต่อการมองเห็นของเยี่ยเทียน แต่ยังทำให้ภายในใจเขาสั่นสะเทือนตามไปด้วย
เยี่ยเทียนไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า เมื่อสีหนึ่งมีความบริสุทธิ์จนถึงระดับสูงสุด ความงดงามอลังการนั้นจะไม่สามารถบรรยายออกมาได้ อีกทั้งท่ามกลางโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะที่ธรรมชาติมอบให้ จะเห็นได้ชัดว่ามนุษย์นั้นช่างเล็กกะจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน
เห็นเยี่ยเทียนออกมาแล้ว หูหงเต๋อก็โยนพลั่วไปให้ ร้องว่า “เยี่ยเทียน ช่วยกันหน่อย เก็บกวาดหิมะทางนี้แล้ว พวกเราจะได้ไปโรงพยาบาลกัน!”
โครงสร้างกระท่อมของหูหงเต๋อถึงแม้จะแข็งแรงมาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานการกดทับของหิมะจำนวนมากเป็นเวลานาน หลังจากเก็บกวาดกองหิมะบนพื้นจนสะอาดแล้ว เขาและเยี่ยเทียนก็ขึ้นไปบนหลังคาต่อ เพื่อกวาดเอาหิมะหนาเป็นชั้นลงมา
แม้ว่าบนท้องฟ้ายังคงมีเกล็ดหิมะโปรยปราย แต่ว่าหิมะก็ตกน้อยลงมาก ต่อให้ตกลงมาทั้งวันอีก ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อกระท่อมไม้
“เยี่ยเทียน ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอฝึกวิชานี้ได้ยังไง?”
หลังจากเก็บกวาดหิมะเสร็จแล้ว หูหงเต๋อก็รีบเร่งใส่เสื้อผ้า เมื่อครู่เวลาที่เคลื่อนไหวแล้วเลือดลมไหลเวียน ทำให้ร่างกายมีเหงื่อซึมออกมาทั้งร่าง หูหงเต๋อจึงได้ไม่หวั่นเกรงต่อความหนาวเหน็บระดับลิบยี่สิบกว่าองศา แต่ว่าเวลานี้ความร้อนนั้นสลายไปจนหมด จึงไม่กล้าเปลือยกายอีกต่อไป
หันกลับไปมองเยี่ยเทียน เมื่อตอนเหงื่อออกใส่เพียงเสื้อเชิ้ตหนึ่งตัว และตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกทั้งบนร่างกลับไม่มีแม้แต่เหงื่อซึมออกมา ราวกับว่าอุณหภูมิที่เมื่อสาดน้ำก็กลายเป็นน้ำแข็งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยเทียนปล่อยพลั่วในมือลงบนพื้นโบกไม้โบกมือไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็ปรากฏสีแดงขึ้นบนใบหน้า ตามมาด้วยเสียงดังราวฟ้าผ่าจากช่วงอก เมื่ออ้าปากพ่นก็มีคลื่นสีขาวราวกับทางช้างเผือกพุ่งออกมาจากภายในปากของเยี่ยเทียน
คลื่นสีขาวเส้นนี้รวมเป็นกลุ่มกันไม่กระจายออก รวมตัวกันอยู่เหยือหัวเยี่ยเทียนไปในระยะสามฟุตราวกับจงใจ แล้วค่อยๆ กลับกลายเป็นดอกไม้สองดอก เกสรและกลีบดอกโปร่งใสชัดเจน
“ส…… สามบุปผารวมเหนือสุด?”
หูหงเต๋อยืนงงงันด้านข้างอยู่นาน เขารู้ว่าวิทยายุทธ์ ของเยี่ยเทียนสูงส่ง แต่ไม่คาดคิดว่าจะสูงถึงขั้นนี้ สามารถเรียกได้ว่าระดับเทพเซียนเลยทีเดียว
“เงียบหน่อยครับ!”
ได้ยินเสียงร้องของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็มองไปทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จมูกปากสูดเข้าอย่างแรง กลีบดอกไม้ทั้งสองดอกนั้นพลันกลายเป็นหมอกขาวกลุ่มหนึ่ง พุ่งเข้าไปยังในจมูกเยี่ยเทียน
“พื้นที่หนาวเย็นจัดอย่างนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการฝึกวิชาแนวทางเต๋าออกไม่ใช่เหรอครับ?” ถึงแม้จะถูกหูหงเต๋อรบกวนกลางคัน แต่ภายในใจเยี่ยเทียนก็ยังอิ่มเอมเป็นสุข
นับตั้งแต่เข้าสู่ขั้นการฝึกหลอมปราณสู่จิต วรยุทธ์ ของเยี่ยเทียนก็ไม่พัฒนาขึ้นไปอีก แต่วันนี้ขณะกวาดพื้นได้ปิดรูขุมขนทวารทั้งร่างแล้ว กลับได้ผลดีอย่างไม่คาดคิด
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนเมื่อครู่เป็นท่วงท่าการสูดลมจากนอกสู่ใน เขาปิดรูขุมขนทั่วทั้งร่างเพื่อต้านทานความหนาวเย็น เพียงแต่อุณหภูมิติดลบหลายสิบองศานี้ยังคงส่งแรงกระตุ้นต่อเขา ทำให้ปราณอวัยวะภายในช่องท้องทั้งห้าล้วนได้รับแรงสั่นสะเทือน
อีกทั้งความรู้สึกสำนึกในธรรมชาตินั้น ก็งอกเงยขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจเยี่ยเทียน หลังจากที่เยี่ยเทียนปลดปล่อยพลังชี่แท้ที่วนเวียนอยู่ภายในร่างออกมาแล้ว ลมหายใจนั้นก็กลายเป็นดำและขาว เคียงข้างอย่างละฝั่ง มีรูปร่างคล้ายเคียงกับสามบุปผารวมเหนือสุดอยู่กลาย ๆ
ที่เรียกขานกันว่าสามบุปผารวมเหนือสุดนั้น หากจะให้แยกอธิบาย “สามบุปผา” นั้นเปรียบถึง “สามเฟื่องฟู” อันหมายถึงจิตวิญญาณอันเฟื่องฟูในร่างกายมนุษย์ “รวมเหนือสุด” นั้นคือการนำเอาแก่นกายและปราณมารวมกันที่จุดทวาร
แนวทางแห่งเต๋านั้นเน้นหนักที่การฝึกฝน ฝึกแก่นหลอมรวมสู่ปราณ ฝึกปราณหลอมรวมเข้าสู่จิต ฝึกจิตกลับคืนสู่ความว่าง สุดท้ายรวมเข้าเป็นหนึ่ง หมื่นสรรพสิ่งก็ไม่อาจกล้ำกราย
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว แก่นปราณจิตจากที่อยู่ในสถานะแยกกันก็กลับมาสู่สถานะ “รวม” กัน ราวกับกลีบดอกไม้ทองคำปรากฏขึ้นประปรายทั่วไปในอากาศ กระดูกและเนื้อส่องแสงเรืองรอง วาวโรจน์ทั่วทั้งสี่ทิศ
สามบุปผายังตรงกับขั้นทั้งสามในแนวทางแห่งเต๋า บุปผาแห่งคนคือหลอมแก่นสู่ปราณ บุปผาแห่งดินคือหลอมปราณสู่จิต กระทั่งบุปผาสวรรค์ก็ยังหมายถึงหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า และยังเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นบุปผาตะกั่ว บุปผาเงินและบุปผาทองคำ
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนเพียงสามารถสร้างได้แค่บุปผาที่ยังไม่สมบูรณ์สองชนิด และกระทั่งบุปผาเงินก็ยังไม่ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ ยิ่งไม่อาจพูดถึงธาตุทั้งห้ารวมกันเป็นหนึ่งอะไรแบบนั้น แต่ว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้ว มาถึงขั้นนี้ก็นับว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เดิมทีเยี่ยเทียนเคยนึกสงสัยมาตลอด ว่าระดับขั้นหลังจากหลอมปราณสู่จิตนั้น คิดค้นขึ้นเพื่อเหล่านักปราชญ์ในสมัยโบราณหรือเปล่า? แต่ว่าจากญาณสัมผัสในวันนี้ ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกราวกับจะสัมผัสหนทางได้
“หากสามารถฝึกได้ถึงขั้นห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง ขณะที่จิตท่องไปภายนอก คำพูดนั้นในไซอิ๋วที่ว่า “สามบุปผารวมเหนือสุด ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่งทะลวงหมดสิ้น” ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล!”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ที่เดิม ค่อยๆ หลับตาลง สัมผัสถึงญาณเมื่อครู่อย่างละเอียด หูหงเต๋อรู้ว่าตนเองรบกวนเยี่ยเทียนแล้ว ครั้งนี้จึงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงออกมา
ในรัศมีสามเมตรรอบตัวเยี่ยเทียน กลับไม่มีเกล็ดหิมะตกลงมาเลย ราวกับมีเกราะคุ้มกันไร้รูปร่างกางอยู่ ทว่าเยี่ยเทียนที่ตอนนี้อยู่ภายในกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม เยี่ยเทียนถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม คำที่กล่าวกันว่า “พบพานทางสว่าง” ในคัมภีร์ลัทธิเต๋านั้น เขาได้สัมผัสแล้วเมื่อครู่นี้ ราวกับฟ้าดินได้เปิดบานประตูกว้างให้เยี่ยเทียนอีกครั้ง
“เยี่ย……เยี่ยเทียน เมื่อครู่ฉันรบกวนให้เธอตกใจสินะ?” เห็นใบหน้าเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา หูหงเต๋อก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
หากพูดไปว่าก่อนหน้านี้หูหงเต๋อชื่นชมเยี่ยเทียน เดิมนั้นมีสาเหตุจากโก่วซินเจีย แต่เวลานี้กลับเพิ่มความหวั่นเกรงขึ้นไปอีกเล็กน้อย เยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกว่าสง่างามราวกับขุนเขาอันยิ่งใหญ่ กดดันเสียจนเขาแทบหายใจไม่ออก
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา โบกมือกล่าวว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมฝึกวิชายังไม่เสร็จ ถ้าหากบังคับรีดเค้นสามบุปผาล่ะก็ พลังจะย้อนกลับเข้าสู่ตัว เมื่อครู่กลับเป็นคุณที่ช่วยผมเอาไว้”
เยี่ยเทียนฝึกถึงขั้นหลอมปราณเข้าสู่จิตได้ไม่นานเท่าไหร่ แม้จะมีญาณสัมผัสได้อยู่บ้าง แต่พลังก็ยังตื้นเขินเกินไป พลังอวัยวะภายในทั้งห้าจึงยังไม่เพียงพอจะสร้างบุปผาทั้งสามได้
“เมื่อ……เมื่อครู่นี้คือสามบุปผารวมเหนือสุดจริงเหรอ?” หูหงเต๋อตกใจจนอ้าปากกว้าง แต่ว่าผู้ฝึกวิทยายุทธ์ทั่วไป ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อนี้
“ผมเพิ่งจะแตะถึงธรณีประตูได้บ้าง ยังห่างชั้นจากสามบุปผารวมเหนือสุดอีกไกลครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า จะฝึกวิชาให้ถึงขั้นสามบุปผารวมเหนือสุดห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง จะต้องทำได้ถึงขั้นหัวใจซ่อนจิต ตับซ่อนวิญญาณ ม้ามซ่อนความคิด ปอดซ่อนจิตสัมผัส ไตซ่อนแก่น ซึ่งเยี่ยเทียนยังไม่สามารถฝึกได้สักอย่างเลย
“สุดยอด สุดยอดมาก!” หูหงเต๋อไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาชื่นชมเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงแกมอิจฉาเสียเหลือเกิน
เห็นหูหงเต๋อว่าอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็ยิ้มตอบ “เหล่าหู คุณไม่ต้องอิจฉาผมหรอกครับ ผมฝึกฝนวิชาของสำนักเต๋า คุณฝึกวรยุทธ์นอกรีต ต่างฝ่ายต่างมีข้อดีของตนเอง เดี๋ยวถ้าหากมีเวลาผมยังอยากขอให้คุณช่วยสอนวิชากรงเล็บเหยี่ยวบ้างเลย”
เยี่ยเทียนสังเกตเห็นสองมือของหูหงเต๋อราวกับแขนงรากต้นไม้นานแล้ว เล็บของทั้งสิบนิ้วนั้นงองุ้มเข้าไปด้านใน อันเป็นลักษณะของผู้ฝึกวิชากรงเล็บเหยี่ยวขั้นสูงสุด เวลาที่เผชิญหน้ากับศัตรู เล็บทั้งสิบนั้นจะพุ่งออกมา สามารถตัดได้ทั้งทองและเหล็ก พลังของมันเทียบเท่ากับมีดสั้นอันคมกริบเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้น เราสองคนลองประมือกันสักหน่อยไหม?”
หูหงเต๋อเองก็เป็นผู้คลั่งวรยุทธ์คนหนึ่ง นับตั้งแต่เขาเกิดมาวิทยายุทธ์ก็ไม่เคยบกพร่อง ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยได้ต่อสู้กับใครได้อย่างสาแก่ใจเลยสักครั้ง พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแล้ว เกิดกระสันอยากลองขึ้นมาทันที
“อย่าดีกว่าครับ”
เห็นหูหงเต๋อมีท่าทางอดรนทนไม่ไหวอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นอย่างตะขิดตะขวงใจ “เหล่าหู หลานสาวของคุณอดทนได้อย่างมากที่สุดก็สามวัน พวกเรารีบลงจากเขากันดีกว่า”
“จริงสิ จริงด้วย ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันนะ”
หูหงเต๋อตบหัวตัวเอง กล่าวว่า “รอให้อาการป่วยของเสี่ยวเซียนดีขึ้น เยี่ยเทียนต้องอยู่กับฉันที่นี่สักสองเดือน แล้วฉันจะสอนเคล็ดวิชากรงเล็บเหยี่ยวให้เธอหมดเลย ด้วยความสามารถของสำนักเธอ จะต้องออกมาเก่งกาจกว่าฉันร้อยเท่า!”
แม้ว่าลูกชายของหูหงเต๋อจะร่ำเรียนวิชาที่ถ่ายทอดกันมาในสำนักไปจำนวนหนึ่ง แต่ว่าภายหลังตัดสัมพันธ์กับเขา ท่วงท่าร้ายกาจบางท่าจึงไม่สามารถสืบทอดต่อไปได้
อีกทั้งหูเสี่ยวเซียนก็เป็นเด็กผู้หญิง ไม่เหมาะจะฝึกฝนวิชากรงเล็บเหยี่ยว สายสำนักนี้ของหูหงเต๋อจะไม่เพียงสูญเสียแค่คัมภีร์วิชา กระทั่งวิทยายุทธ์ก็จะไม่สามารถสืบทอดได้ต่อหน้าต่อตา จึงได้มีความคิดจะถ่ายทอดให้แก่เยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา กล่าวว่า “ไว้เสี่ยวเซียนหายแล้ว คุณตามไปเมืองหลวงกับผมดีกว่า คิดว่าศิษย์พี่จะต้องดีใจที่ได้เจอคุณแน่นอน”
“ได้ ถึงยังไงวิชานี้จะถ่ายทอดที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ!” หูหงเต๋อพยักหน้าอย่างหนักแน่น ราวกับหวังพึ่งพิงเยี่ยเทียน เกิดความกลัวว่าเขาจะไม่ยอมฝึกวิชานี้จากตน
การฝึกวิชาของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ ทำให้เสียเวลาไปถึงสองชั่วโมง เวลานี้ยังไม่ทันได้กินข้าว หูหงเต๋อเก็บข้าวเก็บของเสร็จ ทั้งสองคนก็ย่ำหิมะหนาหนักลงจากเขาไป
……