หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 406 เรียกวิญญาณ (2)
เมื่อเห็นหูต้าจวินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เยี่ยเทียนจึงเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าหู ไม่ต้องเรียกนายน้อยอะไรนั่นหรอก ผมเป็นเพื่อนกับเสี่ยวเซียน เราก็คุยกันสบายๆ นี่แหละ”
“ดี เราคุยกันสบายๆ นะ จริงสิ เยี่ยเทียน แล้วศิษย์พี่ของเธอชื่อว่าอะไรหรือ?”
หูต้าจวินก็เป็นคนอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว จึงนึกกลัวอยู่ว่าพ่อของตัวเองจะยืนกรานให้ตนเรียกเยี่ยเทียนว่านายน้อยจริงๆ พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ก็เลยรีบฉวยจังหวะนี้เออออตามไปด้วย
“ไอ้ลูกเวรนี่ ผู้อาวุโสก็คือผู้อาวุโสสิ ไม่รู้มารยาทเอาเสียเลย!” หูหงเต๋อพึมพำขึ้นมาข้างๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เยี่ยเทียนยิ้มตอบว่า “ศิษย์พี่ผมชื่อโก่วซินเจียครับ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินมาก่อนไหม?”
“อินทรีเนตรทอง?” หูต้าจวินร้องอุทานขึ้นมา
“คุณก็รู้จักหรือครับ?” เยี่ยเทียนมองไปที่หูต้าจวินอย่างทึ่งๆ ฉายาของศิษย์พี่นี่ก็โด่งดังไม่เบาเลยนะเนี่ย หูหงเต๋อและลูกชายถึงได้รู้จักกันทั้งคู่
“ฉันเคยได้ยินคุณปู่พูดถึงน่ะ ท่านบอกว่าพี่น้องร่วมสาบานของท่านคนนี้มีวรยุทธเหนือกว่าท่านเป็นร้อยเท่าเลยละ!”
สมัยเด็กหูต้าจวินเคยไปอาศัยอยู่กับคุณปู่บนเขาหลายปี และพวกเด็กๆ ก็มักจะชอบฟังเรื่องเล่ากันทั้งนั้น หูต้าจวินเองก็เช่นกัน ทุกๆ คืนจึงไปรบเร้าขอให้หูอวิ๋นเป้าเล่าเรื่องให้ฟัง
หูอวิ๋นเป้าคลุกคลีอยู่ในถิ่นภูมิภาคตงเป่ยมาทั้งชีวิต ตำนานเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาก็มีอยู่นับไม่ถ้วน เพียงแต่เรื่องที่ประทับอยู่ในความทรงจำของหูอวิ๋นเป้าอย่างลึกซึ้งที่สุดนั้น ก็คือเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องร่วมสาบานของท่านนั่นเอง
ดังนั้นเรื่องที่อินทรีเนตรทองในอดีตเคยฝ่าออกจากรังโจรภูเขาได้ด้วยตัวคนเดียวนั้น หูต้าจวินจึงเคยฟังมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเนื่องจากคนแซ่โก่วนั้นมีอยู่น้อยมาก จึงทำให้เขาจำชื่อของโก่วซินเจียได้แม่นยิ่งขึ้นไปอีก
“เยี่ยเทียน คุณปู่ฉันน่ะยกยอศิษย์พี่ของเธอไว้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าเลยทีเดียวละ ไว้พอเสี่ยวเซียนอาการดีขึ้นแล้ว เราสองคนมาประมือกันหน่อยไหม?”
เพราะได้รับการถ่ายทอดวิชาในตระกูล หูต้าจวินจึงเติบโตมากับการฝึกวิทยายุทธตั้งแต่เด็ก คนธรรมดาต่อให้มีถึงเจ็ดแปดคนก็อย่าหวังจะเข้าใกล้เขาได้เลย เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนเป็นศิษย์น้องของอินทรีเนตรทอง จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที อยากจะประชันฝีมือกับเยี่ยเทียนดูสักตา
“พอได้แล้ว เลิกทำขายหน้าคนอื่นเสียที เยี่ยเทียนเขาใช้แค่นิ้วเดียวก็ทุ่มม้าอ้วนอย่างแกได้แล้วละ”
หูหงเต๋อทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาพูดต่ออย่างไม่สบอารมณ์ “ขนาดพ่อแกยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนเลย อาศัยฝีมือครึ่งๆ กลางๆ อย่างแกน่ะเหรอ ก็คิดจะไปประมือกับเขา?”
“อะไรนะ? พ่อ แม้แต่พ่อก็ยังสู้เยี่ยเทียนไม่ได้เหรอ?”
หูต้าจวินได้ยินก็อึ้งไป เขารู้ระดับพลังฝีมือของพ่อตัวเองดี ขนาดท่อนซุงที่เส้นผ่าศูนย์กลางเท่าปากชาม หูหงเต๋อยังกำหักเป็นสองท่อนได้เลย วิชากำลังภายนอกก็ฝึกจนแทบจะถึงระดับสูงสุดแล้ว ในบรรดานักเล่นกังฟูชื่อดังที่หูต้าจวินรู้จักมานั้น ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของบิดาได้เลยสักคน
แต่หูต้าจวินก็รู้อีกว่า ตลอดชีวิตบิดาไม่เคยพูดโกหกเลยสักคำเดียว ในเมื่อเขาบอกว่าสู้เยี่ยเทียนไม่ได้ อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็จะต้องมีวรยุทธเหนือกว่าเขาแน่นอน
พอได้ยินสองพ่อลูกพูดถึงเยี่ยเทียน เว่ยหรงหรงก็พูดสอดขึ้นมาบ้าง “วรยุทธของเยี่ยเทียนน่ะร้ายกาจจริงๆ นะ ช่วงก่อนหน้านี้เขายังสู้กับคนญี่ปุ่นจนฝ่ายนั้นแพ้ราบคาบได้ในกระบวนท่าเดียวเลยละ!”
“พอเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้กันเลยนะ อาการของเสี่ยวเซียนเป็นยังไงบ้างครับ?” เยี่ยเทียนโบกมือ นี่เขาก็ไม่ได้จะมาเพื่อโอ้อวดเสียหน่อย ยามนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาที่หูเสี่ยวเซียนซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้
หูต้าจวินส่ายหน้า “เมื่อวานยังดีอยู่ แต่วันนี้อาการเหมือนจะทรุดลงอีกแล้ว ฉันเชิญผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวงมา คิดว่าพรุ่งนี้ก็คงมาตรวจให้เสี่ยวเซียนได้แล้วละ”
“ผู้เชี่ยวชาญอะไรกันเล่า อาการของเสี่ยวเซียนนี่น่ะคือวิญญาณโดนคนชักจูงไป ไปหาผู้เชี่ยวชาญก็ไม่มีประโยชน์หรอก!” หูหงเต๋อร้องฮึอย่างไม่สบอารมณ์
“พ่อ เลิกมาไม้นี้เสียทีได้ไหมครับ? นี่เสี่ยวเซียนเขาไม่สบาย เรายังต้องพึ่งวิชาทางวิทยาศาสตร์กันอยู่นะครับ!”
เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ หูต้าจวินก็ไม่ยอมฟังพ่อแล้ว สมัยก่อนหูหงเต๋อเคยอ้างว่าจะใช้อิทธิฤทธิ์รักษาโรคให้มารดา ใครเลยจะคาดคิดว่ากลับทำให้มารดาต้องสิ้นใจไปท่ามกลางความเจ็บปวด เหตุการณ์นี้หูต้าจวินยังคงจดจำได้ไม่ลืมเลย
หูหงเต๋อทำตาถลนแล้วด่าว่า “วิทยาศาสตร์บ้าบอน่ะสิ วันนี้พวกแกกลับไปกันให้หมด ฉันจะอยู่เฝ้าช่วงกลางคืนให้เอง”
‘ไม่ได้การ ถ้าเหล่าหูพูดแบบนี้ พวกนั้นยอมกลับไปก็แปลกแล้วละ!’ พอได้ยินหูหงเต๋อพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็ร่ำร้องขึ้นมาในใจ ตาเฒ่าคนนี้ก็อายุตั้งหกเจ็ดสิบแล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมอารมณ์แบบนี้นะ?
“พ่อ หรือว่าพ่อคิดจะเชิญเทพอะไรมารักษาเสี่ยวเซียนอีกแล้วใช่ไหม?”
เป็นไปตามคาด หูต้าจวินมองปราดเดียวก็ดูแผนของพ่อตัวเองออกแล้ว จึงประกาศกร้าวทันทีว่า “ผมไม่ยอมนะ เสี่ยวเซียนเป็นลูกสาวของผม ผมไม่ยอมให้พ่อมาทำซี้ซั้วหรอก”
หูหงเต๋อถกแขนเสื้อขึ้น แล้วตอบกลับอย่างโมโห “เสี่ยวเซียนก็เป็นหลานสาวของฉันเหมือนกันนะ ไอ้ลูกบ้า แกคิดจะขบถใช่ไหมหา?”
“อ้าวๆ เดี๋ยวสิเหล่าหู ทำไมวู่วามแบบนี้ล่ะ? มีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?”
เยี่ยเทียนยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดไหล่ของหูหงเต๋อไว้ หูหงเต๋อที่ตอนแรกกำลังจะกระโจนใส่ลูกชายนั้น กลับรู้สึกว่ามีพลังมหาศาลกดทับลงบนร่างราวกับขุนเขาทันที ขาก็ก้าวออกไปไม่ได้แล้ว
“เยี่ยเทียน ขายหน้าเธอจริงๆ พ่อผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ เอะอะอะไรก็จะลงไม้ลงมือ”
เมื่อเห็นพ่อตัวเองหน้าแดงก่ำ หูต้าจวินก็ดูพิรุธออกทันที จึงพูดกับเยี่ยเทียนว่า “พรุ่งนี้ผู้เชี่ยวชาญก็จะมาแล้ว เธอว่าปล่อยให้พ่อฉันทำซี้ซั้วแบบนี้มันจะได้หรือ?”
เยี่ยเทียนพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “เหล่าหูเขาก็ไม่ได้ซี้ซั้วนะครับ คุณอาจจะยังไม่รู้ว่า ที่ผมฝึกอยู่น่ะเป็นวิชากำลังภายใน สามารถถ่ายพลังผ่านการฝังเข็มได้ ผมอยากจะลองช่วยรักษาให้เสี่ยวเซียนดูสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณจะเห็นด้วยไหมครับ?”
ตอนที่เข้าโรงพยาบาลมา หูหงเต๋อบอกให้เยี่ยเทียนไม่ต้องยุ่ง เขาจะเป็นคนพูดกับลูกชายเอง แต่ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่ออกปากพูดเองอีกละก็ มีหวังสองพ่อลูกคงได้เล่นฉากบู๊กันกลางห้องคนไข้แน่ๆ
“ถ่ายพลังผ่านการฝังเข็ม? เยี่ยเทียน มันจะได้ผลหรือ?”
หูต้าจวินมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างคลางแคลงใจ ถึงเขาจะไม่เชื่อถืออวิชชาอย่างพวกทรงเจ้าเข้าผี แต่ก็ยังยอมรับการแพทย์แผนจีนอยู่ เพราะสมัยเด็กเวลาที่เขาป่วย ก็เคยกินยาจีนที่บิดาต้มให้อยู่หลายครั้ง
“อธิ…อธิการหู”
เยี่ยเทียนจะเรียกชื่อหูต้าจวินตรงๆ ก็คงไม่เหมาะ คิดดูแล้วเรียกตำแหน่งของเขาไปเลยน่าจะดีกว่า “คุณคงรู้อยู่ว่า ตามหลักวิชาแพทย์แผนจีน ร่างกายคนเรานั้นประกอบขึ้นด้วยปราณ กาย และจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมสงสัยว่า เลือดลมของเสี่ยวเซียนอาจจะติดขัด จนทำให้อยู่ในสภาพอย่างตอนนี้ ก็เลยจะลองจัดเส้นลมปราณให้เธอดู ถึงจะไม่ได้ผล แต่ก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับเธอหรอก”
“ไม่ใช่ทรงเจ้าเข้าผีนะ?” หูต้าจวินไม่ค่อยไว้ใจพ่อของตัวเองนัก และเยี่ยเทียนก็ยังอายุน้อยเกินไป คำพูดของเยี่ยเทียนนี้อย่างมากเขาก็เชื่อถือแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น
“อธิการหูครับ การทรงเจ้าเข้าผีน่ะเป็นทักษะเฉพาะของลัทธิหมอผีทางแถบตงเป่ยนี่ ผมทำไม่เป็นหรอกครับ”
เยี่ยเทียนดูออกว่าหูต้าจวินคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นจึงยื่นมือขวาออกไปกลางอากาศ โดยกางอุ้งมือไปทางหูต้าจวินที่อยู่ห่างออกไปสามเมตร พลังงานสายหนึ่งแผ่ออกจากร่าง แล้วพุ่งไปที่ไหล่ของหูต้าจวินเข้าอย่างจัง
หูต้าจวินนึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะใช้ไม้นี้ออกมา จึงถูกเยี่ยเทียนลากเข้าไปหาโดยไม่ได้โต้ตอบเลยสักนิด ไหล่ของเขาขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับถูกคีมเหล็กคีบไว้ก็ไม่ปาน
พอลากหูต้าจวินมาอยู่ข้างตัวแล้ว เยี่ยเทียนก็ปล่อยมือ แล้วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “อธิการหู ต้องล่วงเกินแล้ว ที่ผมฝึกอยู่เป็นวิชายุทธสายเต๋า เน้นไปที่การปรับสมดุลหยินหยางและผสานเลือดลม คุณว่าวิชานี้เป็นยังไงบ้างล่ะครับ?”
“นี่…นี่มันวิชาอะไรกันเนี่ย?” หูต้าจวินรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน จนกระทั่งเยี่ยเทียนเริ่มพูดขึ้นมาแล้ว เขาถึงจะได้สติกลับมา
ตอนนี้หูต้าจวินเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้สิ่งที่พ่อของเขาพูดเกี่ยวกับเยี่ยเทียนไปนั้น ไม่มีความเท็จอยู่เลยแม้แต่น้อย เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่วิทยายุทธที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะแสดงไปนี่ อธิการหูก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“วิชากำลังภายในนี่ถ้าฝึกถึงขั้นสุดยอดแล้ว สามารถแผ่พลังออกสู่ภายนอกได้ด้วย นี่ผมยังถือว่าห่างชั้นอีกไกลเลยนะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าแค่ปรับเส้นลมปราณให้เสี่ยวเซียน เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วละ อธิการหูคิดว่ายังไงล่ะครับ?”
“ตกลง อย่างนั้นก็ลองดูเถอะ!”
พอเยี่ยเทียนแสดงฝีมือออกมา ทัศนคติที่หูต้าจวินมีต่อเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นายเยี่ยเทียนที่เมื่อครู่นี้ยังดูค่อนข้างอ่อนวัยในสายตาของเขานั้น ยามนี้กลับดูเหมือนดั่งยอดคนผู้บรรลุเต๋าแล้วก็ไม่ปาน
ส่วนคนอื่นๆ ในห้องนั้นอย่างแม่ของหูเสี่ยวเซียน กลับไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อหูต้าจวินตอบตกลงที่จะให้เยี่ยเทียนรักษาหูเสี่ยวเซียนแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
‘ตาคนนี้นี่วิสัยทัศน์กว้างดีจริงจริ๊ง’
เมื่อเห็นว่าหูต้าจวินยอมตอบตกลงในที่สุด เยี่ยเทียนก็แอบหัวเราะเฝื่อนๆ ในใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นถังเหวินหย่วนมาได้ยินว่าเขาจะทำพิธีให้ละก็ ฝ่ายนั้นมิดีใจจนตัวสั่นไปเลยหรือ? แต่ตอนนี้ เขากลับต้องยกเรื่องการถ่ายพลังผ่านการฝังเข็มมาพูดกลบเกลื่อนแทน
“อ้าว ทำไมคนเยอะขนาดนี้ล่ะ? แบบนี้ไม่ดีต่อคนไข้นะครับ ออกไปให้หมดเลย เหลือไว้แค่สองคนก็พอ!”
ระหว่างที่พูดกันอยู่ แพทย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นว่ามีคนออกันอยู่เต็มห้องก็จมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วเริ่มไล่ตะเพิดโดยไม่เกรงใจใครเลยสักนิด
หูต้าจวินเองก็รู้ว่าถ้าคนเยอะอาจทำให้อากาศในห้องผู้ป่วยแย่ลง ยามนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไป พวกเราออกไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ เสี่ยวอวี๋ เสี่ยวเว่ย เย็นนี้ลุงหูขอเลี้ยงข้าวพวกหนูนะ!”
แม้จะเป็นห่วงลูกสาวอยู่ แต่เพื่อนของเสี่ยวเซียนอุตส่าห์เดินทางตั้งไกลเพื่อมาเยี่ยม ผู้ปกครองอย่างเขาจึงต้องให้การดูแลเสียหน่อย ตอนนั้นในห้องคนไข้จึงเหลือนางหูอยู่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ถอยออกมากันหมด
หูหงเต๋อที่เดินอยู่ข้างหลังดึงแขนเยี่ยเทียนไว้ แล้วกระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน คุณถ่ายพลังผ่านการฝังเข็มได้จริงๆ น่ะรึ?”
เยี่ยเทียนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าผมไม่พูดไปแบบนั้น แล้วลูกชายคุณจะยอมตกลงหรือ?”
“แหะๆ ไอ้ตัวสารเลวนี่นะ แม้แต่พ่อมันก็ยังไม่ฟังเลย” ใบหน้าชราของหูหงเต๋อแดงวาบ ตอนที่เข้ามาในโรงพยาบาลเขาอุตส่าห์รับประกันเสียดิบดี ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายยังต้องให้เยี่ยเทียนเป็นคนออกหน้าเกลี้ยกล่อมลูกชายอีก
เยี่ยเทียนคิดๆ ดู แล้วบอกว่า “เหล่าหู คุณคงต้องไปซื้อเข็มทองมาสักชุดหนึ่งนะ ตอนที่จะตรึงวิญญาณก็คงได้ใช้อยู่ดี!”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อมาเลย นี่ถ้าคุณบอกมาก่อน ในบ้านผมก็มีอยู่แล้วตั้งหลายชุด” หูหงเต๋อพยักหน้า
ตอนที่เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อมาถึงโรงพยาบาลนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมง พอออกจากโรงพยาบาลก็เกือบจะห้าโมงแล้ว หูต้าจวินหาร้านอาหารใกล้ๆ ที่ดูดีหน่อยร้านหนึ่ง แล้วนั่งกินข้าวกับพวกเยี่ยเทียนมื้อหนึ่ง
ส่วนหูหงเต๋อนั้นอาศัยช่วงที่คนอื่นกินข้าวกันอยู่ ออกไปซื้อชุดเข็มสำหรับฝังเข็มมาชุดหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังซื้อกระถางธูปใบเล็กมาอีกหนึ่งใบ ซึ่งจะใช้สำหรับจุดเผาสมุนไพรเรียกวิญญาณ
เมื่อกลับมาถึงห้องคนไข้ เยี่ยเทียนก็ขวางพวกหูต้าจวินไว้ให้อยู่นอกประตู แล้วพูดขึ้นว่า “เอาละ อธิการหู ตอนที่ผมฝังเข็ม จะถูกรบกวนไม่ได้นะครับ ให้เหล่าหูตามเข้ามาได้ แต่พวกคุณรออยู่ข้างนอกนี่แหละนะ”
“งั้น…งั้นก็ได้ เยี่ยเทียน ต้องฝากเธอด้วยนะ!”
หูต้าจวินหยุดยืนอยู่กับที่อย่างลังเล ถึงจะยังรู้สึกสงสัยในตัวเยี่ยเทียนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้ลูกสาวอยู่ในสภาพแบบนี้ เขาก็คงได้แต่เยียวยาไปโดยไม่มีสิทธิ์เลือกหมอแล้ว