หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 409 ฟื้นคืน
การปะทะกันระหว่างนักไสยเวทย์นั้นแม้จะไม่ปรากฏควันระเบิด แต่กลับอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าสู้กันด้วยอาวุธปืนเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บอดเมิ่งมีพลังเทพเข้าทรงอยู่ และมีระยะห่างไกลจากเยี่ยเทียนถึงเพียงนั้น การโจมตีเมื่อครู่นี้ก็อาจจะคร่าชีวิตเขาไปแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ไอ้บอดเมิ่งก็ไม่ได้มีสภาพดีเท่าไรนัก อวัยวะภายในทั้งหลายบาดเจ็บราวกับถูกรถไฟชนก็ไม่ปาน นอนอยู่บนพื้นกระอักโลหิตออกมาหลายคำติดๆ กัน
อาศัยไอ้บอดเมิ่งในสภาพนี้ ย่อมไม่อาจขึ้นเขาได้อยู่แล้ว จึงฝืนรวบรวมพลังขึ้นมา แล้วชี้ไปที่ตู้ชั้นบนสุด “จื่อเชิน หยิบกล่องยานั่นมาให้ฉันทีซิ!”
“นี่ ปู่เมิ่ง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?” กัวจื่อเชินรับคำ แล้วหาม้าไม้มาเหยียบปีนขึ้นไปหยิบกล่องยาขนาดไม่ใหญ่นักที่วางอยู่บนตู้ลงมา
“ฝ่ายนั้นเชิญยอดฝีมือมาน่ะ ฉันสู้มันไม่ได้ พวกเราคงต้องไปหลบอยู่บนเขาสักระยะแล้วละ!” ไอ้บอดเมิ่งมีสีหน้าเคียดแค้น เขาอยู่มาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไว้อาการฉันดีขึ้นเมื่อไหร่ละก็ ต้องไปคิดบัญชีกับไอ้คนนั้นแน่!” ไอ้บอดเมิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเปิดกล่องใบเล็กนั้นออกมา กลิ่นหอมฉุนๆ ของยาแผ่ออกมาทันที
ในกล่องใบนั้นมีของอยู่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือโสมป่าแก่ต้นหนึ่งที่มีความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร แต่มันกลับเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งซึ่งเป็นส่วนที่มีรากติดอยู่นั้นถูกตัดออกไปแล้ว
“แม่เจ้าโวย โสมแก่นี่สงสัยอายุมากกว่าสามร้อยปีแล้วมั้งเนี่ย?”
เมื่อเห็นโสมแห้งต้นนี้ กัวจื่อเชินก็อึ้งไปทันที ถ้าไม่ใช่เพราะมันเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เขาก็อาจจะเกิดความคิดที่จะก่อเหตุฆาตกรรมชิงทรัพย์ไปแล้วก็เป็นได้
“ยังไม่ถึงสามร้อยปีหรอก แต่ก็ใกล้เคียงแล้วละ”
มือทั้งสองข้างของไอ้บอดเมิ่งหยิบมีดเล็กออกมาอย่างสั่นระริก เฉือนโสมป่าแก่ต้นนั้นออกมาแผ่นหนึ่งแล้วอมไว้ในปาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หั่นสองในสามส่วนของโสมต้นนั้นใส่ปากไปอีก
ใครๆ ก็รู้ราคาของโสมแก่ที่ขึ้นอยู่ในป่ากันทั้งนั้น นี่ไอ้บอดเมิ่งก็กลัวว่าพวกกัวจื่อเชินจะคิดไม่ซื่อขึ้นมา และด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ก็คงจะสู้ชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไหวแล้ว
สรรพคุณในการบำรุงกำลังของโสมป่าแก่นั้นได้ผลทันตาเห็นจริงๆ หลังจากอมโสมแผ่นนั้นไว้ในปากไปหลายนาที ใบหน้าอันเหลืองซีดเหมือนขี้ผึ้งของไอ้บอดเมิ่งก็กลายเป็นสีขาวซีดแทน จากนั้นก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากพักผ่อนต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ไอ้บอดเมิ่งก็สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วเก็บโสมแก่ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งในสามส่วนนั้นไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นก็หยิบปืนล่าสัตว์ที่แขวนไว้บนผนัง และกลองหนังแพะที่ตัวเองทำตกไปเมื่อครู่มา แล้วพูดขึ้นว่า “ไป พวกเราขึ้นเขา”
“ปู่เมิ่ง ขึ้นเขาตอนหิมะตกหนักแบบนี้มันอันตรายเกินไปมั้ง?”
พวกกัวจื่อเชินไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก ด้านนอกอุณภูมิติดลบไปสิบกว่าองศา ถ้าสาดปัสสาวะออกไปก็คงกลายเป็นน้ำแข็ง ให้มุ่งหน้าเข้าป่าไปแบบนี้ มันเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ
ไอ้บอดเมิ่งส่ายหน้า “ถ้าไม่ขึ้นเขา จะรอให้หูหงเต๋อมันมาจัดการกับพวกแกไหมล่ะ?”
ที่จริงไอ้บอดเมิ่งก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินเลย คนที่สามารถเคลื่อนไหวอยู่ในภูเขาฉางไป๋ได้นั้น มีคนไหนบ้างเล่าที่จะไม่ได้ร่ำรวยมีเงินเป็นล้านๆ? สาเหตุที่เขายอมลงมือครั้งนี้ มีอยู่อย่างเดียวคือถูกความเจ็บแค้นที่มีต่อหูหงเต๋อชักนำไป
ตอนนี้ไอ้บอดเมิ่งรู้แล้วว่า หูหงเต๋อจะต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และเขาก็รู้อุปนิสัยของหูหงเต๋อดี ตอนนี้ทั้งสองคงต้องสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะเลิกรา ขณะที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี เขาก็ต้องไม่ยอมรอความตายอยู่ที่นี่อยู่แล้ว
พอได้ยินไอ้บอดเมิ่งพูดถึงหูหงเต๋อ พวกกัวจื่อเชินต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา ชายฉกรรจ์ร่างไม่สูงนักคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ปู่เมิ่ง หรือไม่…พวกเรามาสู้กับไอ้หูสามกันไปเลยไหม ห้าคนก็ปืนห้ากระบอก ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการมันไม่ได้”
“ควายเอ๊ย แกคิดว่าหูหงเต๋อมันจะยืนเฉยๆ เป็นเป้าให้แกยิงรึไง?” ไอ้บอดเมิ่งหัวเราะเยาะเย้ย “ในป่าผืนนี้น่ะ มันเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าหมาจิ้งจอกเสียอีก อย่านึกว่าแกมีปืนแล้วจะแน่นักเลย!”
ทันใดนั้นไอ้บอดเมิ่งก็ฉุกนึกถึงยอดฝีมือที่ออกโรงมาเมื่อครู่นี้ จึงนั่งไม่ติดอีกต่อไป และเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว ถ้าไม่อยากตายก็ตามฉันมา ฉันมีที่อยู่บนภูเขานี่ พวกแกไม่หนาวตายไม่หิวตายหรอกน่ะ!”
ภาษิตว่า จิ้งจอกและกระต่ายไม่ได้มีโพรงเดียว ไอ้บอดเมิ่งเคยก่อเรื่องฆ่าคนชิงโสมบนภูเขาฉางไป๋มาก็ไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นจึงเตรียมสถานที่หลบซ่อนไว้บนภูเขานี้ไว้นานแล้ว และตอนนี้ก็ได้โอกาสใช้ประโยชน์พอดี
“ได้ พวกเราจะเชื่อปู่เมิ่งนะ!” พวกกัวจื่อเชินสบตากันแวบหนึ่ง ด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อหูหงเต๋อ สุดท้ายพวกเขาจึงเลือกที่จะขึ้นเขา
ทั้งห้าคนเก็บรวบรวมข้าวของ และต่างก็ถือปืนล่าสัตว์กันคนละกระบอก แล้วหายตัวไปท่ามกลางค่ำคืนบนภูเขาฉางไป๋
……………………
ขณะนั้นห่างไกลออกไป เยี่ยเทียนที่อยู่ในโรงพยาบาลเมืองฉางไป๋ก็ไม่ได้มีสภาพดีนัก สุดท้ายเขาก็ยังไปไม่ถึงขั้นหลอมจิตสู่ความว่าง หลังจากที่แผ่ดวงจิตส่วนหนึ่งออกไปเมื่อครู่นี้ ก็กลับไม่สามารถเรียกกลับมาได้อีก
เมื่อดวงจิตสลายไป จึงสร้างความเสียหายแก่เยี่ยเทียนในระดับหนึ่ง จากเดิมที่ใบหน้ามีเลือดฝาดอยู่ เยี่ยเทียนก็กลายเป็นหน้าขาวซีดไปทันที ร่างก็ส่ายโซเซไม่หยุด
“เยี่ยเทียน เป็นอะไรไปน่ะ?” หูหงเต๋อรู้ว่าเยี่ยเทียนกำลังประมือกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ เมื่อครู่นี้จึงไม่กล้าเข้ามาใกล้เลย ตอนนี้เมื่อเห็นร่างของเยี่ยเทียนเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว เขาก็รีบเข้ามาช่วยประคอง
หลังจากได้เห็นการต่อสู้กลางอากาศระหว่างเยี่ยเทียนและฝ่ายตรงข้ามแล้ว ตอนนี้หูหงเต๋อก็ให้รู้สึกเศร้าเสียดาย ถ้ารู้แต่แรกว่าศาสตร์พวกนี้สามารถใช้ทำแบบนี้ได้ด้วย เมื่อก่อนเขาก็คงไม่ละทิ้งไปกลางคันแบบนั้นหรอก
เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ ปรับลมปราณภายในร่างกาย แล้วถึงจะตอบว่า “ฝ่ายนั้นเป็นคนในลัทธิชาแมนน่ะ ผมได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย แต่เจ้าคนนั้นก็คงเจ็บปางตายเหมือนกัน เหล่าหู อาจจะเป็นไอ้บอดเมิ่งที่คุณพูดถึงก็ได้นะ!”
แม้ว่าดวงจิตสองกลุ่มที่ส่งออกไปเมื่อครู่นี้จะสลายไปแล้ว แต่ชั่วขณะที่ประมือกับไอ้บอดเมิ่งอยู่นั้น เยี่ยเทียนกลับรู้สึกถึงพลังปราณของฝ่ายตรงข้ามได้
พลังปราณนั้นค่อนข้างจะพิสดารอยู่ เพราะถึงจะเป็นปราณวิเศษ แต่ก็แตกต่างจากพลังชี่บริสุทธิ์ที่อยู่ในธรรมชาติ และให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เยี่ยเทียนแน่ใจได้เลยว่า นั่นต้องไม่ใช่พลังที่ไอ้บอดเมิ่งฝึกออกมาได้เองอย่างแน่นอน
แต่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างไกลกันเกินไป เยี่ยเทียนจึงไม่อาจสืบสาวความลับของศาสตร์ชาแมนออกมาได้ กระทั่งหลังจากที่ปล่อยตราราชสีห์นอกออกไปแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
หูหงเต๋อมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม และพูดขึ้นอย่างขบเคี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นมันจริงๆ นั่นแหละ เยี่ยเทียน คุณวางใจเถอะนะ ผมไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
“มันคงไม่รออยู่ตรงนั้นให้คุณไปเยือนหาหรอกเหล่าหู นิ่งไว้ก่อนอย่าใจร้อน” เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดต่อ “เสี่ยวเซียนคงใกล้จะฟื้นแล้ว พวกลูกชายคุณก็คงร้อนใจกันแย่แล้วละ เรียกพวกเขาเข้ามาเถอะ!”
เมื่อไม่มีการสกัดควบคุมจากไอ้บอดเมิ่งแล้ว ค่ายกลที่เยี่ยเทียนวาดไว้กลางอากาศเหนือร่างของหูเสี่ยวเซียนก็เริ่มทำงานทันที และรับพลังปราณทั้งหมดในธงดูดวิญญาณนั้นกลับมา
ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังคุยกับหูหงเต๋อ เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณบนร่างของหูเสี่ยวเซียนเริ่มเพิ่มปริมาณขึ้นแล้ว ห้าอวัยวะภายในที่ตอนแรกกำลังอ่อนแอนั้นก็ฟื้นพลังกลับมาได้ในพริบตา ระบบทั่วร่างกายก็ดูจะตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
“เสี่ยวเซียนจะฟื้นแล้วรึ?” หูหงเต๋อได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป แล้วก็ดีใจขึ้นมายกใหญ่ รีบผลักตู้หัวเตียงที่วางขวางประตูอยู่ออกไป แล้วเปิดประตูห้องคนไข้ออกทันที
“นี่พวกคุณทำอะไรกันน่ะ? ถ้าเกิดคนไข้มีปัญหาอะไรขึ้นมา พวกคุณใครจะรับผิดชอบฮึ?”
ไม่นึกเลยว่าพอเปิดประตู หูหงเต๋อก็ได้ยินเสียงตำหนิทันที แพทย์ประจำเวรของหูเสี่ยวเซียนแทบจะทิ่มนิ้วลงไปบนหน้าของเขาอยู่แล้ว
นายแพทย์หลิวก็กำลังโมโหจะแย่แล้ว เมื่อครู่ระหว่างที่เขาเยี่ยมคนไข้ตามเวร ก็กลับถูกพวกหูต้าจวินขวางไว้ บอกว่าข้างในกำลังมีคนฝังเข็มให้หูเสี่ยวเซียนอยู่ ห้ามเขาเข้าไปรบกวน
แบบนี้ก็หมายความว่าไม่เชื่อใจโรงพยาบาลน่ะสิ เมื่อครู่นายแพทย์หลิวอุตส่าห์อดทนไม่ไปเคาะประตู แต่ตอนนี้พอหูหงเต๋อเปิดประตูออกมาแล้ว เขาก็เลยระเบิดโทสะออกมา
“เอ็งจะเอะอะอะไรนักหนา? ถ้ายังไม่หยุดเดี๋ยวพ่อตบบ้องหูเลยนี่!”
หูหงเต๋อเป็นคนแบบไหนกัน? ยกมือขึ้นมาผลักนายแพทย์คนนั้นกระเด็นออกไปไกลสี่ห้าเมตรทันที ถ้าไม่ใช่เพราะมีผนังให้พิงอยู่ เขาก็คงล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้นแล้ว
“นี่…นี่คุณทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย?” นายแพทย์หลิวอึ้งไปเลย เขายังไม่เคยเจอญาติคนไข้ที่ป่าเถื่อนขนาดนี้มาก่อนเลย
“ข้าอยู่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว ก็เป็นคนแบบเนี้ยแหละ จะทำไมหา?” หูหงเต๋อขึงตาใส่ ทำเอานายแพทย์หลิวตกใจจนรีบไปหลบอยู่หลังพวกหูต้าจวิน
“พ่อ ทำอะไรของพ่อครับเนี่ย? โรงพยาบาลนี่มันใช่ที่จะมาสร้างความวุ่นวายเหรอ?” หูต้าจวินไม่นรู้จะพูดกับพ่อคนนี้อย่างไรแล้วจริงๆ มาล่วงเกินหมอในโรงพยาบาลแบบนี้ ยังอยากให้ลูกสาวเขาหายป่วยอยู่ไหมเนี่ย?
“ไปไกลๆ เลย แกไม่ต้องมาพูดสอด ไอ้หมอเส็งเคร็งพวกนี้ขนาดคนเป็นโรคอะไรก็ยังดูไม่ออก ยังจะกล้ามาทำกร่างกับข้าอีกเรอะ?” หูหงเต๋อพอมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว ก็ไม่สนญาติโกโหติกาอะไรทั้งนั้น แม้แต่ลูกชายก็ยังโดนดุไปด้วย
“เหล่าหู มัวทำอะไรอยู่ล่ะเนี่ย? รีบเข้ามาสิ!”
พอเยี่ยเทียนได้ยินเสียงข้างนอกจากในห้องคนไข้ ก็ทั้งนึกขำทั้งนึกฉุนขึ้นมาทันที หูหงเต๋อก็อายุตั้งหกเจ็ดสิบแล้ว ทำไมยังหุนหันพลันแล่นยิ่งกว่าคนหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ แบบนี้อีกนะ?
ถ้าเป็นคนอื่นหูหงเต๋อจะไม่สนใจฟังก็ได้ แต่ตอนนี้เขาเคารพเยี่ยเทียนดั่งพระเจ้า ตอนนั้นจึงไม่สนใจนายแพทย์คนนี้แล้ว หันไปพูดกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่า “ต้าจวิน พวกแกเข้ามาเถอะ เสี่ยวเซียนจะฟื้นแล้วนะ!”
“เสี่ยวเซียนจะฟื้นแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินพ่อบอกอย่างนั้น พวกหูต้าจวินต่างก็ยินดีปรีดา ออกันเข้าไปในห้องคนไข้พร้อมๆ กัน นายแพทย์หลิวคนนั้นคิดๆ ดู แล้วก็เดินตามหลังเข้าไปด้วย
“นี่…นี่ยังไม่ได้ถอนเข็มออกเลยนี่?”
พอเข้าไปในห้องคนไข้แล้ว ทุกคนก็มองเห็นเข็มเงินบนใบหน้ากับช่วงอกและท้องของหูเสี่ยวเซียน ในใจจึงยิ่งเชื่อถือคำพูดของเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้มากขึ้น ว่าเขาได้ทำการฝังเข็มให้หูเสี่ยวเซียนจริงๆ
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนจงใจยังไม่ถอนเข็มออก เพราะเข็มเงินที่จุดอิ้นถังตรงหว่างคิ้วของหูเสี่ยวเซียนนั้นฝังไว้เพื่อตรึงจิตของเธอไว้ ถ้าถอนออกไปแล้ว หูเสี่ยวเซียนก็จะฟื้นขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นทุกคนเข้ามาแล้ว เยี่ยเทียนก็พูดว่า “เดี๋ยวก็จะถอนเข็มออกแล้วครับ หูเสี่ยวเซียนไม่ได้รับประทานอาหารมาหลายวัน อาจจะอ่อนแอหน่อย พวกคุณไปต้มโจ๊กมาหน่อยนะ จะให้ดีก็ใส่โสมหั่นเป็นชิ้นบางๆ ด้วย จะได้บำรุงกำลัง”
“ได้ๆ ฉัน…ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
นางหูพูดตอบซ้ำๆ แต่ร่างกลับยังไม่ขยับไปไหน เพราะเธอยังไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเยี่ยเทียนเท่าไรนัก จึงอยากจะเห็นลูกสาวฟื้นขึ้นมากับตาตัวเองก่อน
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินไปถึงข้างตัวหูเสี่ยวเซียน ยื่นมือออกไปดั่งสายลมพัด แล้วถอนเข็มทั้งหกเล่มที่ฝังอยู่บนร่างของหูเสี่ยวเซียนออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ทุกคนในห้องพากันกลั้นหายใจ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของหูเสี่ยวเซียนตาไม่กะพริบ หูเสี่ยวเซียนที่ตอนแรกดูเหมือนกำลังหลับปุ๋ยอยู่นั้น จู่ๆ ขนตาก็สั่นระริก แล้วดวงตาทั้งคู่ก็ลืมขึ้นมา
หูเสี่ยวเซียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเห็นฝ่าเพดานสีขาวราวหิมะ ก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงอ่อนระโหย “ฉัน…ฉันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?”