หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 431 เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง
ในสายตาของหูหงเต๋อ สัตว์ก็คือสัตว์ พวกมันไม่สามารถมีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ได้ เขายังไม่เชื่อว่าเจ้าตัวนี้จะสามารถแยกแยะหนังมิงค์ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะการคัดค้านของเยี่ยเทียน เขาคงจะนำเสื้อหนังมิงค์มาด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนที่หูหงเต๋อมองไปที่เจ้าขนฟูนั้น ในใจของเขาเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย และในขณะเดียวกันก็ใช้สายตาของคนล่าสัตว์กวาดมองเจ้าขนฟู พลางคิดว่าเส้นขนสีขาวทั้งตัวนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“โอเค เจ้าขนฟู อย่าก่อกวน นี่คือเหล่าหู แกทำความรู้จักหน่อย!”
เยี่ยเทียนดึงเจ้าขนฟูลงมาจากหัวไหล่ เพราะเวลาที่เจ้าตัวนี้จะแสดงอาการต่อต้านทีไร มักจะทำให้ผมของตัวเองยุ่งเหมือนรังนก
“จี…จี จี!”
เจ้าขนฟูเอียงศีรษะมองหูหงเต๋อหนึ่งที แล้วจึงขนลุกซู่ไปทั่งตัวอย่างฉับพลัน พร้อมกับร้องเสียงแหลมและเศร้ากำสรดออกมาจากปากของมัน เป็นเสียงที่ดุร้ายอย่างมาก แล้วจึงกระโดดพรวดเข้าไปหาหูหงเต๋อ
“บ้าเอ๊ย มันไม่เคยทำให้สบายใจได้เลย!”
เยี่ยเทียนมีการตอบสนองที่ไวมาก ตอนที่เจ้าขนฟูส่งเสียงแหลมออกมา เขาก็จับคอของมันเอาไว้ แล้วจึงหันไปมองหูหงเต๋อพร้อมกับพูดด้วยความโกรธ “เหล่าหู คุณก็เก็บพลังพิฆาตเอาไว้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าถูกมันข่วนจนบาดเจ็บ ผมจะไม่สนใจนะ!”
“ฉัน…ฉันก็ไม่ได้อยากจะฆ่ามันเสียหน่อย!” เมื่อเห็นตัวเองไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ หูหงเต๋อจึงพูดอย่างไม่พอใจ พร้อมกับเก็บพลังพิฆาตของตัวเองไปเอาไว้ด้วย
หลังจากถูกเยี่ยเทียนช่วยชีวิตจากการแช่แข็งของก้อนหินแปลกประหลาดก้อนนั้นแล้ว หูหงเต๋อไม่เพียงแต่กำจัดโรคที่ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายออกไปมาก กำลังภายในของเขาก็มีการพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย
สองสามวันที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนก็ได้ถ่ายทอดวิชาในการการปรับลมหายใจและการใช้พลังลมปราณ ให้เขาบางส่วน ถ้าหากตอนนี้หูหงเต๋อสู้กับเมิ่งตาบอด จะต้องไม่เสียเปรียบเหมือนคราวที่แล้วอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยเห็นด้วยของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงได้แต่พูดอย่างไม่พอใจ “เหล่าหู คุณอย่าทำเป็นไม่ยอม ถ้าเจ้าขนฟูข่วนคุณขึ้นมา ผมรับรองว่าภายในสองชั่วโมงคุณอย่าคิดจะขยับตัว”
กรงเล็บของเจ้าขนฟูมีพิษที่สามารถทำให้ประสาทศูนย์กลางชาได้ ถึงแม้จะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถทำให้คนสูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปในชั่วพริบตา แม้แต่งูจงอางตัวนั้นเจ้าขนฟูยังสามารถกลืนกินเข้าไปได้เลย ความสามารถนี้นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
“ฉันหรือจะถูกมันจับได้? ภูเขาฉางไป๋ซานมีสัตว์ป่ามากมาย ไม่มีตัวไหนที่เห็นฉันแล้วไม่กลัว!” หูหงเต๋อส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะตั้งแต่เด็กเขาฝึกพลังกรงเล็บอินทรีย์ เพื่อเอาไว้ควบคุมสัตว์เหล่านี้โดยเฉพาะ
และเขาก็ฆ่าสัตว์ที่อยู่ในภูเขามามากมาย ในตัวจึงมีพลังพิฆาตที่เข้มข้น นอกจากเฮยเจียวตัวนั้น ที่เจอเมื่อสองสามวันก่อน สัตว์ป่าอื่นๆ ในภูเขาฉางไป๋ซานมีตัวไหนบ้างที่เจอเขาแล้วจะไม่หนีเตลิดเปิง?
“เหล่าหู คุณพูดโม้หรือเปล่า ทำไมตอนที่คุณเห็นเฮยเจียวถึงไม่พูดอย่างนี้ล่ะ?” เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋อเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ตอนนั้นตาแก่คนนี้มีท่าทางตกใจเหมือนกระต่าย ทั้งระวังนักระวังหนา
“มันสามารถเทียบกับมังกรคะนองน้ำได้เหรอ?” หูหงเต๋อพูดบ่นอย่างไม่ยินยอม
“อีกสิบกว่าปีผ่านไป เจ้าขนฟูก็อาจจะจะพอๆ กันกับเฮยเจียว!”
เยี่ยเทียนถลึงตามองหูหงเต๋อหนึ่งที ถึงแม้เจ้าขนฟูจะไม่สามารถดูดซับพลังบริสุทธิ์ของฟ้าดินได้เหมือนเฮยเจียว แต่ตอนนี้มันก็มีสติในการดูดซับพลังวิเศษ ช้าเร็วก็จะสามารถเดินบนเส้นทางเดียวกันกับเฮยเจียวได้
จากนั้นเยี่ยเทียนจึงยื่นมือไปปลอบเจ้าขนฟู แล้วพูด “เจ้าขนฟู เหล่าหูเป็นแขก ห้ามสร้างความวุ่นวายนะ กลับไปฉันจะหาของอร่อยให้แก!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เจ้าขนฟูจึงวาดกรงเล็บไปที่หูหงเต๋อนิดหน่อย แล้วขนที่ลุกซู่ก็หายไป เพราะมันสามารถสัมผัสถึงพลังพิฆาตที่รุนแรงของคนที่อยู่ตรงหน้า จึงรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่าย
“จีจี…จีจี!”
ทันใดนั้นจมูกของเจ้าขนฟูก็ทำเป็นดมกลิ่น แล้วจึงกระโดดไปที่หัวไหล่ของเยี่ยเทียน ยื่นกรงเล็บออกไปที่ถุงหนังอยู่ตรงหน้าอกของเยี่ยเทียน แต่ยังไม่ทันให้เยี่ยเทียนได้ตอบโต้ง มันก็หยิบก้อนหินนั้นออกมาแล้ว
ไอเย็นที่เยี่ยเทียนยากจะต้านทานได้ ในสายตาของเจ้าขนฟูกลับเป็นเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่ หลังจากเจ้าขนฟูหยิบหินสีดำออกมาแล้ว มันร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ กรงเล็บทั้งสองข้างก็ชูมันไว้ตรงหน้าอก พร้อมกับสายตาที่เผยให้เห็นถึงอารมณ์เคลิบเคลิ้ม
“เยี่ย…เยี่ยเทียน คำ…คำพูดของเธอ ฉันเชื่อแล้ว!” การกระทำของเจ้าขนฟูทำให้หูหงเต๋อต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ตอนแรกที่เขาสัมผัสหินดำก้อนนั้น เขาเกือบจะถูกแช่แข็งตาย แต่เจ้าขนฟูกลับกอดเอาไว้อยู่อ้อมอก ความแตกต่างแบบนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“อาจจะเป็นเพราะสัตว์มีแรงต้านทานไอเย็นที่แข็งแกร่งกว่า?”
เมื่อเห็นเจ้าขนฟูมองสิ่งนี้เหมือนของล้ำค่า เยี่ยเทียนจึงไม่กลัวว่ามันจะทำหินนี้พัง แล้วจึงหันไปพูดกับหูหงเต๋อ “ไปกันเถอะ เอาของไปไว้ข้างใน ศิษย์พี่ใหญ่น่าจะรออยู่ข้างใน!”
“เอ๊ะ เยี่ยเทียน ลานบ้านของเธอมีความแปลกประหลาดอยู่นะ? อากาศดูจะสดชื่นกว่าในภูเขาฉางไป๋ซาน?”
หลังจากหยิบสัมภาระและเดินเข้าไปข้างในสองสามก้าว หูหงเต๋อก็รู้สึกถึงความแตกต่างในเรือนสี่ประสานนี้ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในภูเขามานานอย่างเขา การสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัวจึงมีความเฉียบไวมาก
“แน่นอนอยู่แล้ว รู้เสียบ้างว่าที่นี่เป็นของใคร?”
เยี่ยเทียนเล่าถึงค่ายกลนี้ให้หูหงเต๋อฟัง จากนั้นจึงพาเขาเดินอ้อม ฉุยฮวาเหมิน (ประตูบ้านที่ยังมีประตูตรงกลาง) หลังจากเดินถึงตรงกลางบ้านแล้ว จึงมองเห็นโก่วซินเจียที่กำลังทำดอกไม้อยู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ผมกลับมาแล้ว!” เยี่ยเทียนนำกระเป๋าที่อยู่ในมือวางลงบนพื้น แล้วจึงดึงหูหงเต๋อเข้ามาพลางพูด “ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ดูสิครับ ว่าผมพาใครมาด้วย?”
“ได้ยินเจ้าเหมาโถวเรียก ฉันก็รู้ว่าเธอกลับมาแล้ว เจ้าตัวนี้เวลาเห็นเธอมันก็จะกระตือรือร้นแบบนี้”
โก่วซินเจียวางกรรไกรไว้ด้านข้าง มองไปที่หูหงเต๋อ แล้วจึงยิ้มพูดว่า “ฉันไปจากแผ่นดินใหญ่เสียนาน พ่อหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นลูกหลานของคนรู้จักใช่ไหม?”
ถึงแม้หูหงเต๋อจะมีหนวดเคราและผมขาว แต่สายตาระดับโก่วซินเจีย มองปราดเดียวก็สามารถวิเคราะห์อายุจากเลือดลมที่อยู่ภายในร่างกายของเขาได้ แต่ฐานะของหูหงเต๋อ กลับไม่สามารถจำได้
ตอนที่โก่วซินเจียเจอกับหูหงเต๋อ เขาเป็นเด็กอายุแปดเก้าขวบเท่านั้น และเวลาก็ผ่านมาห้าถึงหกสิบปีแล้ว หน้าตาของหูหงเต๋อก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ท่านลุง ผม…ผมคือเต๋อหว๋าจึ ไงครับ ท่าน…ท่านจำผมได้ไหมครับ?”
เวลานี้หูหงเต๋อได้ทิ้งสัมภาระลงบนพื้นแล้ว คุกเข่าทั้งสองของลูกผู้ชายลง และโขกศีรษะคำนับอย่างแรงพลางพูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ท่านลุง เต๋อหว๋าจึ ขอคุกเข่าคำนับให้ท่านครับ!”
ชาวยุทธภพให้ความสำคัญเรื่องน้ำใจ ตอนนั้นโก่วซินเจียยอมฝ่าอันตรายพาหูหงเต๋อออกมาจากภูเขาฉางไป๋ซาน หลังจากนั้นก็ดูแลเขาหนึ่งเดือนกว่า บุญคุณในครั้งนี้ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่หูหงเต๋อก็ไม่กล้าลืม!
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หูหงเต๋อมีน้ำตาอาบหน้าแล้ว แล้วเดินเข่าสามที มาอยู่ตรงหน้าของโก่วซินเจีย จากนั้นจึงคำนับอีกหนึ่งครั้ง
“ลูกผู้ชายอกสามศอก!”
มองดูความรู้สึกที่แท้จริงของหูหงเต๋อได้หลั่งออกมาเช่นนี้ เยี่ยเทียนจึงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ จากเด็กหนุ่มที่อยู่ในยุทธภพในตอนนั้น กลายเป็นชายแก่ผมขาว แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นกลับไม่ลดลงไปสักนิดเดียว!
“เต๋อ…เต๋อหว๋าจึ? คือ…คือเธอจริงๆเหรอ?!” เนื่องจากโก่วซินเจียซ่อนตัวจากโลกภายนอกนานหลายปี มีการฝึกฝนจิตใจถึงระดับที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งภายนอกแล้ว แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ ทำให้ร่างกายของเขาอดสั่นเล็กน้อยไม่ได้
โก่วซินเจียออกไปจากแผ่นดินใหญ่มานานหลายปี เขาคิดว่าเพื่อนสนิทคนรู้จักได้ตายไปหมดแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนรุ่นน้องอย่างกะทันหัน ในใจของเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจไม่หยุด
“ท่านลุง ผม ผมคือเต๋อหว๋าจึ ไม่คิดว่าเต๋อหว๋าจึ จะได้เจอท่านอีกครับ!”
หูหงเต๋อเป็นคนจริงใจ หลังจากพี่ชายตายไปแล้ว ก็มีเขาที่ต้องดูแลครอบครัว ตอนนี้ได้เห็นผู้ใหญ่ที่นับถือ อารมณ์ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในหัวใจจึงพรั่งพรูออกมาทั้งหมด
“ดี! ดี! ดีมากหว๋าจึ!”
โก่วซินเจียเงยหน้าพูดคำว่าดีกับท้องฟ้าสามคำ และน้ำเสียงที่สั่นสะเทือนทำให้ใบไม้ในลานบ้านปลิวว่อนลงมา แสดงว่าเวลานี้อารมณ์ของเขามีความสั่นไหว
“เต๋อหว๋าจึ การคุกเข่าของลูกผู้ชายมีค่าดังทองคำ ลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ!”
โก่วซินเจียสะบัดแขนเสื้อที่อยู่มือขวา และประคองหูหงเต๋ออยู่บนมือของเขา หูหงเต๋อมีรูปร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดเซนติเมตร แต่ทำตัวเบาเมื่อถูกโก่วซินเจียประคองขึ้นมา
หลังจากเช็ดน้ำตาและถูบนตัวแล้ว หูหงเต๋อจึงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเอ่ยพูดว่า “ท่านลุง ท่านอายุเก้าสิบปีแล้วใช่ไหมครับ? แต่กำลังวังชายังเยอะเหมือนเดิมเลยนะครับ!”
โก่วซินเจียเกิดในปีหนึ่งพันเก้าร้อยสิบ ตอนนี้มีอายุแปดสิบเก้าปีแล้ว แต่ตอนที่อยู่ในภูเขาเขาจะทานสมุนไพรดอกเง็กเต็กเป็นประจำ บวกกับวิชาสำนักเสื้อป่าน คือการฝึกจิตและบำเพ็ญตน ดังนั้นเมื่อดูแล้วจึงมีอายุเพียงหกสิบปีต้นๆ เท่านั้น
โก่วซินเจียจับมือของหูหงเต๋อ แล้วจึงให้เขานั่งลงบนเก้าอี้หินที่อยู่ตรงในลานบ้านพลางยิ้มพูด “ดูเธอสิ ตอนนั้นให้เธอเรียนเต๋าก็ไม่ฟัง แถมยังไม่ยอมเรียนวิชาที่สืบทอดของตระกูลอีก ตอนนี้คงเสียใจแล้วใช่ไหม?”
หูหงเต๋อมีหน่อยก้านดี เดิมทีโก่วซินเจียอยากรับเขาให้เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน แถมยังคุยกับหูอวิ๋นเป้าเรียบร้อยแล้ว รอให้ตอนที่ตัวเองออกจากภูเขาฉางไป๋ซานก่อนก็จะพาเขาไปที่เจียงหนาน
เพียงแต่หูหงเต๋อในตอนนั้นถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่นิสัยกลับดื้อรั้นมาก อย่างแรกคือไม่อยากจากพ่อที่ใช้ชีวิตประคับประคองกันมา สองเขาสนใจวิชาที่ถ่ายทอดของตระกูลมากกว่า ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกจากบ้านและติดตามโก่วซินเจียไป
“ท่านลุง ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องเลยครับ ตอนนี้อยากเรียน คงจะสายไปแล้ว!”
หูหงเต๋อถอนหายใจ พลางคิดว่าโชคชะตาของคนเราพูดยากจริงๆ มักจะมีเรื่องเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาทั้งชีวิต แล้วสาเหตุที่โชคชะตายากจะทำนายได้ ก็คงมีสาเหตุมาจากตรงนี้กระมัง
“ท่านลุง แขน…แขนของท่านเป็นอะไรครับ?”
เมื่อครู่จิตใจเบิกบาน หูหงเต๋อจึงไม่ได้สังเกตแขนข้างซ้ายของโก่วซินเจีย แต่ตอนที่โก่วซินเจียจะรินน้ำชาให้เขา เขาจึงเห็นแขนเสื้อที่ว่างเปล่า
“ไม่เป็นไร ตอนนั้นได้รับบาดเจ็บ แต่หายดีแล้ว” โก่วซินเจียยิ้มพลางโบกมือแล้วจึงถาม “เต๋อหว๋าจึ น้องอวิ๋นเป้า ของฉันเสียไปตั้งแต่ตอนไหน? เธอ…เธอช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฉันฟังหน่อย!”
อายุของหูอวิ๋นเป้ามากกว่าโก่วซินเจีย แต่ตอนนั้นโก่วซินเจียช่วยชีวิตหูอวิ๋นเป้าไว้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน และตอนที่พวกเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน เขากลับเรียกโก่วซินเจียเป็นพี่ชาย
ตอนนั้นโก่วซินเจียก็รู้จักคนในยุทธภพที่เรียนวิชาฉีเหมินนับไม่ถ้วน แต่คนที่สาบานเป็นพี่น้องกันกลับมีหูอวิ๋นเป้าคนเดียว ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจกับเรื่องของพี่น้องคนนี้เป็นธรรมดา
“หลังจากปฏิรูปแล้วพ่อของผมก็ไปหลบอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานอีกครั้ง และเขาก็เสียชีวิตไปหกเจ็ดปีเห็นจะได้ก่อนที่จะสิ้นใจยังคงนึกถึงท่าน และบอกให้ผมต้องตามหาท่านให้พบ แล้วก็เลี้ยงดูท่านให้ดีครับ…”
เมื่อพูดเรื่องในอดีต หูหงเต๋อจึงเก็บความเสียใจไม่อยู่ คิดถึงตอนที่พ่อของเขานั้นต่อสู้กับศัตรูที่เข้ามารุกราน รวมถึงสาเหตุที่โก่วซินเจียต้องเสียแขนไปข้างหนึ่งด้วย