หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 434 พ่อลูกเปิดใจ
เรือนสี่ประสานที่ถนนว่านโส้วนั้นมีทิวทัศน์รื่นรมย์หรูหรา มีชายชราผมขาวกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ ด้านหลังมีหมอผู้ดูแลสุขภาพยืนรอให้เรียกใช้อยู่หลายคน
หมอคนหนึ่งในนั้นมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วเดินเข้าไปที่ข้างตัวของชายชรา เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านผู้นำครับ นี่ก็ดึกแล้ว ข้างนอกอากาศเย็น เข้าไปในห้องเถอะครับ”
ชายชราโบกมือโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ตอบว่า “ไม่ไป ตอนที่ฉันอยู่ในตำแหน่งก็ควบคุมฉัน ตอนนี้ไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว ยังจะไม่ให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันอยากทำอีกหรือ?”
ฟังจบบรรดาหมอทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำอย่างไร ต่างเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน เอาเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคลุมตัวชายชรา
ตอนนั้นเอง มีเสียงเปิดประตูเข้ามา นายทหารยามที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของชายชราเดินเข้ามาใกล้ เบื้องหลังเดินตามมาด้วยชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับชายชรามาก
หมอคนที่กล่าวเตือนชายชราเมื่อครู่เห็นผู้ที่เพิ่งมาถึงแล้วก็ดีใจ รีบเดินออกไปต้อนรับ กระซิบเสียงค่อยว่า “คุณซ่ง ช่วยพูดกับท่านผู้นำหน่อย ท่านอยู่ข้างนอกนานแล้ว ไม่ดีต่อสุขภาพท่านเลย!”
“เสี่ยวหวัง ฟ้องฉันอีกแล้วนะ? พวกนายนี่ยุ่งเรื่องฉันน้อยหน่อยไม่ได้หรือไง?”
แม้อายุเกินเจ็ดสิบแล้ว แต่หูตายังว่องไวเหมือนหนุ่มๆ ชายชราเงยหน้ามองผู้ที่มาถึง แล้วโยนหมากในมือลง รำพึงออกมา “ไม่เล่นแล้ว จิตใจไม่สงบ เดินหมากไม่ได้ เล่นต่อก็คงไม่มีความหมาย!”
ผู้ที่มาถึงเดินเข้าไปประคองชายชราให้ลุกขึ้น หัวเราะในคอตอบว่า “พ่อ หัวหน้าหวังเขาเป็นห่วงสุขภาพพ่อ พ่อก็ต้องให้ความร่วมมือหน่อย”
ชายชราคนนี้คือซ่งเฮ่าเทียน เมื่อสองเดือนก่อนเขาเพิ่งปลดเกษียณจากตำแหน่งผู้นำประเทศ แม้ตัวเขาจะเป็นคนเซี่ยงไฮ้ แต่อาศัยในปักกิ่งมานานแล้ว กลับไม่อยากย้ายจากที่นี่ไป
อีกทั้งเขาอวี้ฉวนกับเขาซีซานนั้นอยู่ไกล คนสูงวัยไม่ชอบนัก เลือกไปเลือกมา สุดท้ายแล้วก็เลือกมาอยู่ที่ถนนว่านโส้วแห่งนี้ ที่นี่แม้จะอยู่ใจกลางเมืองที่พลุกพล่านวุ่นวายแต่มีความสงบเงียบอยู่ ทั้งยังทำให้ชีวิตไม่ขาดสีสัน ชายชราจึงชอบที่นี่มาก
ข้างเรือนสี่ประสานแห่งนี้ เคยเป็นวังเก่าของฮ่องเต้ไท่จู่ ถัดออกไปอีกไม่ไกลเป็นบ้านพักของภรรยาม่ายของอดีตผู้นำคนก่อน
ดังนั้นการวางระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่จึงค่อนข้างสะดวก ส่วนกลางได้พิจารณาคำขอของซ่งเฮ่าเทียนแล้วก็ตกลงมอบเรือนหลังใหญ่ในเขตนี้ให้เขาเป็นที่พักพิงหลังเกษียณ
“สุขภาพของฉันยังแข็งแรงดี ยังอยู่ได้อีกสิบปีไม่มีปัญหา!”
แม้จะเป็นคนปากแข็ง แต่ซ่งเฮ่าเทียนเพิ่งจะลงจากตำแหน่งได้สองเดือน สีหน้ากลับดูแก่ชราลงมาก ผมสีขาวดอกเลาท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดดูจะชัดเจนขึ้น
“พ่อ ร่างกายของพ่อน่ะ อยู่ต่ออีกยี่สิบปียิ่งไม่มีปัญหา”
บุตรชายคนโตของซ่งเฮ่าเทียนซ่งจือเจี้ยน อายุอานามก็เกือบห้าสิบแล้ว เพราะดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดีจึงทำให้ดูไม่เหมือนคนวัยใกล้ห้าสิบเลย
ซ่งจือเจี้ยนคนนี้ ความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เป็นพ่อเลย
อิทธิพลของตระกูลซ่งในยุคหลังมานี้ส่งผลต่อประเทศมาก ตั้งแต่หลังการปฏิวัติวัฒนธรรม สมบัติของตระกูลซ่งก็ถูกรัฐบาลเข้าครอบครอง แต่อิทธิพลของตระกูลก็ยังคงเฟื่องฟู การใช้ชีวิตยิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยมากกว่าเดิม
ซ่งจือเจี้ยนที่เกิดในตระกูลเศรษฐี ตอนเป็นวัยรุ่นนั้นมีนิสัยโอ้อวด ตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดช่วงนั้นมักจะขับรถออดี้สีแดงไปทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้ จนถูกขนานนามว่าคุณชายลูกผู้ดี
แต่พอถึงยุคปี 60-70 ตระกูลซ่งกลับถูกทำร้ายอย่างสาหัส ซ่งจือเจี้ยนถูกส่งตัวไปเข้ารับ “การอบรมแรงงาน” ที่เมืองเสฉวน กว่าจะจบการอบรมอายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว ซ่งจือเจี้ยนจึงได้กลับมาที่เกาะฮ่องกงด้วยตัวเปล่า
ก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรม สมาชิกตระกูลซ่งหลายคนลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ในฮ่องกงก็มีลูกหลานตระกูลซ่งอาศัยอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นเองซ่งจือเจี้ยนจึงเข้าไปทำงานในบริษัทของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทำอยู่สามปีก็ได้รับหุ้นส่วนถึงหนึ่งในสามของบริษัท
ตอนหลังพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาตั้งใจจะทำธุรกิจอื่น จึงตัดสินใจยกหุ้นของตนให้ซ่งจือเจี้ยน ซ่งจือเจี้ยนเป็น คนกล้าได้กล้าเสีย เขาออกเงินลงทุนทั้งหมดที่เก็บสะสมมาตลอดเก้าปีเป็นมูลค่าหนึ่งล้านดอลล่าร์ฮ่องกง จนได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท
จนปลายยุคปี 80 ซ่งจือเจี้ยนนำเอาบริษัทออกขาย แลกเปลี่ยนเป็นเงินเกือบร้อยล้าน ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของชีวิตเขาแล้ว ต่อมาได้เติบโตในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น จนกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้เพราะความช่วยเหลือสนับสนุนจากคนตระกูลซ่งในจีนแผ่นดินใหญ่และในฮ่องกง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ซ่งจือเจี้ยนเป็นคนเก่งมีความสามารถ ต่อไปจะได้รับการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลซ่งแทนบิดา
ถ้าเทียบกับตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นใจร้อนช่างโอ้อวดสมัยหลายสิบปีก่อน ตอนนี้ซ่งจือเจี้ยนสุขุมขึ้นมาก ทุกการกระทำแสดงออกชัดเจนว่าเป็นคนทำธุรกิจ ซ่งเฮ่าเทียนกลับเข้าไปในบ้านด้วยการประคองของบุตรชาย
“เสี่ยวหวัง พวกเธออยู่ข้างนอกเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับจือเจี้ยน!” ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือไล่หมอทั้งหลายให้รออยู่นอกประตู
ซ่งจือเจี้ยนเห็นท่าทางเหนื่อยอ่อนของบิดาแล้วก็พูดว่า “พ่อ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ผมค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ดีไหม?”
แม้ว่าตนจะถือครองทรัพย์สินมูลค่าเป็นพันล้าน แต่เขารู้ดีว่า ผู้ที่คอยกุมบังเหียนตระกูลซ่งสุดท้ายแล้วก็คือบิดาของตัวเอง
ซ่งเฮ่าเทียนมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง ตระกูลซ่งจะยังมั่นคงเหมือนเสาค้ำฟ้า จะไม่มีทางล่มสลายได้แน่ แต่สำหรับซ่งจือเจี้ยนเองนั้น เข้ารู้ตัวว่ายังไม่สามารถควบคุมตระกูลซ่งทั้งหมดได้
อย่างเช่น ทรัพย์สมบัตินั้น ซ่งจือเจี้ยนยังต่างจากน้องสาวคนรองที่อยู่อเมริกาอยู่มาก คนเก่าแก่หลายคนในตระกูลมักจะยกยอให้ซ่งเวยหลันเป็นตัวแทนอยู่เสมอ ซึ่งแสดงว่ามีเธอมีอำนาจเหนือกว่าเขามากนัก
ความจริงผู้นำตระกูลซ่งในรุ่นต่อไปจะเป็นใครนั้น ซ่งจือเจี้ยนไม่ได้สนใจ หากเป็นน้องสาวคนโตของเขาแล้วล่ะก็ เขาก็ต้องให้การสนับสนุนเต็มที่
แต่ซ่งจือเจี้ยนกับซ่งเวยหลันนั้นมีข้อถกเถียงกันมานานแล้ว เขาพบว่าน้องสาวอยากจะมอบทรัพย์สมบัติรวมถึงธุรกิจในมือทั้งหมดมูลค่าเป็นหมื่นล้านดอลล่าร์ให้ลูกชายของเธอทั้งหมด
หากเป็นเช่นนี้ ซ่งจือเจี้ยนคงไม่ยอม เพราะทรัพย์สินในมือซ่งเวยหลันทั้งหมดนั้นเป็นสมบัติของตระกูลซ่งเกินกว่า80% ถ้ามอบให้หลานชายที่ไม่เคยเห็นหน้าไปทั้งหมด จะทำให้สมบัตินั้นไม่ได้เป็นของตระกูลซ่งแล้ว
ตอนที่ซ่งเฮ่าเทียนยังมีชีวิตอยู่ ยังพอมีอำนาจ อิทธิพล สยบความไม่พอใจของคนในตระกูลได้
แต่ซ่งจือเจี้ยนเกรงว่า หากพ่อของเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลซ่งก็จะพลอยล่มสลายไปด้วย หยาดเหงื่อแรงกายที่ซ่งเฮ่าเทียนทุ่มเทมาหลายสิบปีก็จะเสียเปล่า
“ลงจากตำแหน่งแล้วยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมอีก เหนื่อยที่ตรงนี้!”
ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือ ชี้ไปที่หน้าอกของตัวเอง นั่งลงบนโซฟาหลับตาพักสายตาครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “จือเจี้ยน ความคิดของน้องสาวแก แกคิดว่ายังไง?”
การกลับมาของบุตรสาวในครั้งนี้เป็นปัญหาใหญ่ของซ่งเฮ่าเทียนที่จะต้องแก้ไข ทำให้เขาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน
ซ่งเวยหลานบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการยกมรดกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตัวเองให้เยี่ยเทียนลูกชายคนเดียวของเธอ หรือก็คือหลานชายที่ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยพบหน้า
การเป็นประมุขของตระกูล ยังไม่สามารถทำให้เขาควบคุมบุตรสาวคนโตที่ปีกกล้าขาแข็งได้เลย แล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเธอด้วย
ซ่งเวยหลันตอนอยู่ที่อเมริกานั้น แม้จะนำเงินทรัพย์สินไปใช้ส่วนหนึ่งแต่อาณาจักรธุรกิจของเธอกลับสามารถทำกำไรกลับคืนมาได้เป็นพันเป็นหมื่นเท่า
อีกทั้งหลายปีมานี้เธอก็ไม่ได้ว่างงาน เธอใช้กลยุทธเปลี่ยนแปลงตลาดหุ้น ทำให้ทรัพย์สินดังกล่าวหลุดจากการครอบครองของตระกูล พูดอีกอย่างคืออาณาจักรธุรกิจนี้ตกเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม ในอาณาจักรธุรกิจนี้ยังมีลูกหลานตระกูลซ่งอีกหลายคนเข้าร่วมดูแลอยู่ พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ จึงคิดว่ายังเป็นสมบัติของตระกูลซ่งอยู่
ดังนั้น หากจัดการไม่ดีแม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่อาจสืบทอดตระกูลอันใหญ่โตของเขาต่อไปได้ ไม่แน่ว่ากลุ่มธุรกิจในต่างประเทศของตระกูลซ่งจะถูกทำให้ตัดขาดแบ่งแยกเป็นชิ้นส่วน
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศแล้ว ธุรกิจในประเทศของตระกูลซ่งหรือแม้แต่ธุรกิจของซ่งอิงหลานก็ค่อยๆ ถูกกระจายออกไป
ทำให้สมาชิกตระกูลที่อยู่ในประเทศนั้นเปลี่ยนไป ซ่งเฮ่าเทียนต้องหาทางแก้ปัญหาให้พวกเขา อาณาจักรธุรกิจของบุตรสาวคนโตที่อเมริกานั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แต่การตัดสินใจของเธอนั้นทำลายแผนการและความตั้งใจของซ่งเฮ่าเทียนซึ่งอาจจะทำให้ตระกูลซ่งและตัวเขาเองต้องพบจุดจบ
อีกใจหนึ่งยังคงรู้สึกผิดต่อบุตรสาว อีกใจหนึ่งก็ต้องคิดถึงวงศ์ตระกูล
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนจิตใจสับสนว้าวุ่น จึงได้เรียกตัวบุตรชายให้กลับมาจากฮ่องกง สองพ่อลูกพูดคุยปรึกษากัน เพื่อหาทางออกให้ตระกูลซ่งว่าจะเดินต่อไปในทิศทางใด?
“พ่อ น้องสาวเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน ถ้าตัดสินใจอะไรไปแล้วมักจะไม่เปลี่ยนใจ เรื่องนี้น่ะ ผมช่วยพูดไม่สำเร็จหรอก”
ซ่งจือเจี้ยนนึกถึงนิสัยของน้องสาวแล้วถอนใจออกมา เอ่ยต่อว่า “ผมรู้สึกว่าถ้าอยากจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งวุ่นวายของคนในตระกูล คงต้องกระทำที่ตัวเยี่ยเทียน…”
“หืม?”
ได้ฟังคำพูดของลูกชายแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนที่กำลังหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาทันใด จ้องบุตรชายด้วยแววตาดุดัน แล้วพูดเสียงเข้มว่า “จือเจี้ยน แกอย่าคิดอะไรบ้าๆนะ นั่นก็หลานแกคนหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็เป็นหลานของฉันด้วย ไม่ว่าเวยเวยจะตัดสินใจอย่างไร ก็ห้ามทำร้ายเด็กคนนั้นเป็นอันขาด?”
แม้จะปลดเกษียณจากตำแหน่งใหญ่ แต่ความเข้มงวดดุดันแบบผู้นำยังคงอยู่ อำนาจในตัวซ่งเฮ่าเทียนถูกแผ่ออกมากดทับซ่งจือเจี้ยนจนต้องยอมถอย เขายิ้มแห้งตอบว่า “พ่อ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พ่อฟังผมพูดให้จบก่อน”
“พูดเถอะ ทำไมต้องลงมือที่ตัวเด็กคนนั้นด้วย?” ซ่งเฮ่าเทียนส่งสายตาตักเตือนไปให้บุตรชาย แล้วหลับตาเอนพิงโซฟาอีกครั้ง
“พ่อ ความจริงแล้วน้องสาวจะโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้เยี่ยเทียนไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” ซ่งจือเจี้ยนหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดประโยคต่อไปที่ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนคิดไม่ถึง
…