หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 435 ผลประโยชน์ครอบครัว
ซ่งเฮ่าเทียนมองที่บุตรชาย ขมวดคิ้วตำหนิ “จือเจี้ยน ทำไมพูดแบบนี้ เราต่างก็รู้ว่าทรัพย์สมบัติพวกนั้นมาจากไหน แต่คนอื่นในตระกูลไม่รู้นะ!”
ซ่งเฮ่าเทียนยังนับถือบุตรสาวคนโตด้วยใจจริง ตอนนั้นเธอใช้เงินของตระกูลจ่ายออกไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้เป็นกำไรหลายล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในสายตาของคนอื่นนั้นถูกมองว่าเงินลงทุนก้อนนั้นไม่ได้มากมายอะไร
แต่ซ่งเวยหลันใช้เงินจำนวนนี้ตั้งหลักปักฐานขยับขยายกิจการในสหรัฐ หลายครั้งที่หุ้นของบริษัททำกำไรมากล้น ทั้งยังสามารถรอดพ้นจากวิกฤตตลาดหุ้นโลกที่จะล้มละลายได้ทุกครั้ง
และด้วยสายตาอันแหลมคมไม่เหมือนใครของซ่งเวยหลัน เธอกว้านซื้อหุ้นของบริษัทน้อยใหญที่ใกล้ล้มละลาย ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเหล่านั้นซึ่งมีมูลค่ารวมถึงหมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ
พอเริ่มยุคปี 90 ซ่งเวยหลันค่อยๆ นำหลักทรัพย์เหล่านี้เข้าสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมเชิงพานิชย์ โดยมีที่ตั้งทั้งในอเมริกาและแอฟริกา
กล่าวได้ว่าความสำเร็จในโลกธุรกิจของซ่งเวยหลันนั้นเหนือกว่าการก่อร่างสร้างตัวของบรรพชนตระกูลซ่งเสียอีก และพอที่จะทำให้ลูกหลานตระกูลซ่งคนอื่นที่คิดว่าตนเป็นนักธุรกิจแนวหน้านั้นยอมศิโรราบ
แต่เพราะอย่างนี้ สมาชิกตระกูลซ่งทั้งในและต่างประเทศต่างเชื่อว่าทรัพย์สมบัติมหาศาลนี้ต้องตกเป็นของตระกูล พวกเขาไม่ทราบเลยว่าส่วนของตระกูลนั้นจริงๆ แล้วมีแค่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าหากซ่งเวยหลันยกทรัพย์สินทั้งหมดให้เยี่ยเทียนแล้ว สมาชิกในตระกูลคนอื่นต้องได้รับผลกระทบ ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่สามารถรับมือไหว
หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง ซ่งเฮ่าเทียนคาดเดาได้เลยว่าตระกูลของเขาจะต้องแตกสลายสูญสิ้นเป็นแน่
“พ่อ พ่อรู้นิสัยของน้องสาวดีนี่ เธอตัดสินใจอะไรแล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครเปลี่ยนได้ ในเมื่อน้องสาวยืนยันเช่นนี้ ก็ให้ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของเยี่ยเทียนเลยเป็นอย่างไร?”
เห็นแววตาสงสัยของบิดา ซ่งจือเจี้ยนอธิบายต่อ “พวกเราสามารถลงมือได้ที่ตัวเยี่ยเทียน โดยให้เขารับปากว่า จะรับเฉพาะส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจในแต่ละปีก็พอแล้ว แต่ไม่มีสิทธิ์การซื้อขายทรัพย์สิน หรือเข้ามายุ่งวุ่นวายในกลุ่มการค้าของเรา!
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เยี่ยเทียนเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเท่านั้น ในการกลุ่มการค้าก็ทำอย่างเดิมเหมือนก่อน หุ้นจะอยู่ในมือของเขาหรือของน้องสาวมันจะต่างอะไรกัน”
“นี่ก็อาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่ง…”
ซ่งเฮ่าเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วต่อว่า “แต่ว่าเยี่ยเทียน เขาจะยอมรับปากเหรอ? จือเจี้ยน ถ้าเป็นแก แกจะยอมรับปากไหม?”
ตามวิธีที่จือเจี้ยนเสนอ เยี่ยเทียนนั้นเป็นได้แค่หุ่นเชิด นอกจากเงินกำไรส่วนแบ่งที่เขาจะได้ในทุกปี แต่เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการดูแลธุรกิจใด
แต่ตามที่ซ่งเฮ่าเทียนเข้าใจ หลานชายของเขาคนนี้มีนิสัยสุดโต่ง ในปักกิ่งก็มีเส้นสายมากมาย ทำอะไรไม่เพียงเอาแต่ใจทั้งยังไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย แล้วเขาจะยอมถูกตระกูลซ่งควบคุมเอาง่ายๆ หรือ?
“พ่อ ถ้าเป็นผมจะไม่รับปากแน่นอน”
ซ่งจือเจี้ยนหดหู่เมื่อถูกบิดานำตัวเองไปเปรียบกับเยี่ยเทียน เขาเป็นเจ้าของบริษัทในเครือเทียนซิ่นแห่งเกาะฮ่องกงที่มีมูลค่าเกือบพันล้านมาสิบกว่าปีแล้ว มีอำนาจล้นฟ้า จะนำไปเปรียบกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างเยี่ยเทียนได้อย่างไร?
“เยี่ยเทียนเพิ่งอายุยี่สิบกว่าเอง แม้จะมีทรัพย์สินบ้าง แต่ว่าพ่อ แค่ส่วนแบ่งกำไรในแต่ละปีของบริษัทน้องสาวนั้น น่าจะเป็นพันล้านได้ ผมไม่เชื่อหรอก ว่าเยี่ยเทียนจะไม่สนใจเงินก้อนนี้!”
หลังจากที่ซ่งจือเจี้ยนทราบความประสงค์ของน้องสาวแล้วก็ได้ไปสืบประวัติของเยี่ยเทียนมา ทราบว่าเยี่ยเทียนเองก็พอมีฐานะอยู่บ้าง แต่ถ้าให้เทียบกับเงินมหาศาลที่เขาจะได้ในแต่ละปีนั้นเปรียบดังขนเส้นหนึ่งบนหนังวัวเท่านั้น
ซ่งจือเจี้ยนเชื่อว่าน้องสาวเองก็เห็นด้วยกับเขา อย่างไรเสียทรัพย์สินก็ต้องตกเป็นของเยี่ยเทียนอยู่ดี เพียงแต่ให้ตระกูลซ่งเป็นคนดูแลจัดการเท่านั้น
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า พูดว่า “จือเจี้ยน แกอย่าลืมเสียล่ะ ถ้าเยี่ยเทียนไม่รับปาก เขาไม่เพียงแต่จะได้ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งยังจะได้เป็นคนดูแลควบคุมสินทรัพย์ทั้งหมดด้วย
สำหรับคนหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานน่ะ ความละโมบนั้นรุนแรงกว่าความหวังในการครอบครองทรัพย์สินมาก!”
ซ่งเฮ่าเทียนตอนนี้ปวดหัวมาก เพราะนอกจากจะไม่สามารถใช้วิธีการใดๆ เขายังไม่รู้จะทำอย่างไรกับทั้งบุตรสาวและหลานชายเลย เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง
ในประเทศจีนอิทธิพลของซ่งเฮ่าเทียนยังคงค้ำฟ้า แต่ในต่างประเทศ เขากลับไม่มีกำลังอื่นใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปแทรกแซงกฎหมายควบคุมธุรกิจต่างประเทศ
“พ่อ ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็จะกลายเป็นศัตรูของตระกูลซ่ง นอกจากออกไปอยู่ต่างประเทศ เพราะขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็คงจะต้องมีคนคอยขัดขวาง!”
เมื่อฟังที่พ่อพูดจบ ซ่งจือเจี้ยนสีหน้าหม่นลง ความคิดของเขาเหมือนกับสมาชิกตระกูลซ่งคนอื่นที่เห็นผลประโยชน์ของตระกูลตัวเองนั้นมาก่อนเสมอ
อิทธิพลของตระกูลซ่งสามารถทำได้จริงอย่างที่ซ่งจือเจี้ยนว่า แม้ไม่ถึงกับรังแกให้เยี่ยเทียนจนตรอก แต่คงไม่ยอมให้เยี่ยเทียนทำการงานอะไรได้อย่างราบรื่น
แต่ซ่งจือเจี้ยนไม่รู้ว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นเข้าจริง คนตระกูลซ่งคงใกล้ได้พบจุดจบเต็มที่แล้ว ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียนต้องโจมตีเอาคืนคนในตระกูลซ่งให้สาสม
“ถ้าน้องสาวแกพาเยี่ยเทียนไปอยู่ต่างประเทศล่ะ เราจะทำอะไรได้?”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัวผิดหวังในความคิดของบุตรชายมาก คนระดับอย่างเขา มักเลือกใช้แผนการที่สะอาดเป็นธรรม ส่วนวิธีการสกปรกที่ลูกชายคิดนั้นเขาไม่มีทางทำ
ซ่งจือเจี้ยนพูดเสียงเด็ดขาดว่า “น้องสาวทำแบบนี้ เขาก็ไม่ใช่คนตระกูลซ่งแล้ว พ่อ น้องสาวยังเชื่อฟังพ่ออยู่ พ่อพูดกับเขาให้เขาเปลี่ยนใจเถอะ!”
สายสัมพันธ์ในครอบครัวสำหรับซ่งจือเจี้ยนแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไร ความฟุ้งเฟ้อร่ำรวยมาแต่วัยเยาว์กลับตาลปัตรในตอนวัยรุ่นที่ตระกูลต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จนตอนนี้เข้าสู่วัยกลางคน กลับค่อยเริ่มคุ้นเคยกับเส้นทางชีวิตแล้ว ยิ่งมีความอยากเอาชนะคะคานผู้อื่นรุนแรงกว่าเดิม
แต่ไม่ใช่ว่าซ่งจือเจี้ยนจะโลภอยากได้ทรัพย์สินของน้องสาว เขาเพียงแต่ไม่อยากให้ตระกูลซ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาด อย่างน้อยตอนที่เขารับตำแหน่งประมุขของตระกูลต่อจากผู้เป็นพ่อแล้ว ตระกูลซ่งยังสามารถดำรงความยิ่งใหญ่สืบไป
ซ่งเฮ่าเทียนตอบอย่างขัดใจว่า “ฉันพูดแล้ว เขาไม่ฟัง เด็กคนนี้ ตอนนั้นฉันติดค้างเขามากเกินไป ตอนนี้ก็เลยไม่อยากจะไปบีบบังคับเขามาก!”
ซ่งเฮ่าเทียนเคยเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ ต่อมาก็ได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ชีวิตของซ่งเฮ่าเทียนได้ผ่านทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
สมัยหนุ่มเขารวมตระกูลซ่งให้เป็นปึกแผ่น ตอนสูงวัยเกิดจับพลัดจับผลูได้เข้าร่วมรัฐบาลจนได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต แต่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่นั้น ในใจกลับมีความโดดเดี่ยวอย่างที่คนทั่วไปไม่มีทางนึกถึง
หลังลงจากตำแหน่งซ่งเฮ่าเทียนก็ได้คิดพิจารณาหลายสิ่ง การขัดขวางการแต่งงานของบุตรสาวในวันวานกลับทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องแยกจากกันถึงยี่สิบกว่าปี เป็นสิ่งที่ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกผิดเสมอมา
ส่วนความแค้นกับตระกูลเยี่ยได้เจือจางลงไปแล้ว ดังนั้นเขาหวังว่าตระกูลซ่งจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายนี้อีก แล้วก็ไม่อยากบังคับให้บุตรสาวส่งมอบมรดกทรัพย์สินของเธอออกมา
“พ่อ ลองทำตามที่ผมบอกดูก่อน ถ้าเกิดเยี่ยเทียนรับปาก เรื่องพวกนี้จะได้จบเสียที?” ซ่งจือเจี้ยนยังคงยืนยันความคิดของตนเอง เขาคิดว่า เยี่ยเทียนต้องยอมรับข้อเสนอของเขาอย่างแน่นอน
“เอาเถอะ พรุ่งนี้แกไปหาเยี่ยเทียนด้วยตัวเอง เด็กคนนั้นยังเข้าใจผิดตระกูลเราอยู่มาก”
คนอายุขนาดซ่งเฮ่าเทียน มองสิ่งต่างๆได้ทะลุปรุโปร่ง เขาถอนใจแล้วกำชับบุตรชายว่า “เจอกับเด็กคนนั้นแล้วแกต้องอธิบายให้เขาฟัง อย่าไปถือตนว่าเป็นผู้ใหญ่ บ้านซ่งของเราไม่เคยให้อะไรเขาเลย เราไม่มีสิทธิ์จะไปชี้นิ้วสั่งสอนเขา!”
ในที่สุดพ่อก็ยอมเห็นด้วย ซ่งจือเจี้ยนดีใจมาก รับปากด้วยความมั่นใจว่า “พ่อ วางใจเถอะ ผมต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้!”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัวหลับตาลง เอนหลังพิงโซฟา โบกมืออย่างอ่อนแรง ความอ่อนเพลียที่แสดงออกทำให้ชายชราที่แข็งแกร่งมาทั้งชีวิตบัดนี้ดูเหมือนเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด
……
เช้าวันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนเพิ่งฝึกวิชาเสร็จ โจวเซี่ยวเทียนยื่นหัวเข้ามาทางช่องประตูแล้วยิ้มทักทาย “อาจารย์ ผมพาศิษย์พี่หูไปเที่ยวรอบปักกิ่งนะ อาจารย์ลุงก็ไปด้วย อาจารย์จะไปด้วยกันไหม?”
เมื่อวานพวกเขาต่างดื่มจนเมา แต่ร่างกายกลับฟื้นฟูได้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายสามารถขับเอาแอลกอฮอล์ออกมาหมด กลับมาสดชื่นแข็งแรงดีกันทุกคน
“ฉันไม่ไป เดี๋ยวจะไปดูที่บ้านเก่าหน่อย เมื่อวานกลับมาดึกไป เลยไม่ได้เข้าไปดู”
เยี่ยเทียนส่ายหัวปฏิเสธ หมุนตัวกลับเข้าไป หยิบเอากุญแจรถส่งให้โจวเซี่ยวเทียน “ขับรถระวังหน่อย สองคนนั้นสูงอายุแล้ว แกดูแลพวกท่านให้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะเอาเรื่องแก”
“ได้เลยครับ อาจารย์วางใจเถอะ”
รับกุญแจมาแล้วโจวเซี่ยวเทียนก็กุลีกุจอ ออกไป เขาเพิ่งสอบได้ใบขับขี่ไม่นาน กำลังอยากจะลองวิชา คอยเฝ้ามองดูรถของเยี่ยเทียนด้วยความปรารถนา เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสเท่านั้น
เยี่ยเทียนส่งโก่วซินเจียออกไปแล้ว เขากลับมาข้างสระน้ำ เมื่อวานฟ้ามืดแล้วมองเห็นไม่ชัด ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าหินปริศนาก้อนนั้นทำให้น้ำในสระเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
น้ำในสระสีดำขึ้นอีกแล้ว เยี่ยเทียนยื่นมือไปแตะ น้ำเย็นราวน้ำแข็ง แต่ยังเทียบไม่ได้กับความเย็นยะเยือกของบึงน้ำมังกรดำ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้คนแข็งตาย
รอจนเลยแปดโมงเช้าไปแล้ว เยี่ยเทียนกลับไปที่ห้องถือเอากล่องไขมันกบภูเขาออกมา
ตอนแรกจะให้พ่อของเขาถือไปให้อาหญิง แต่ก็กลัวว่าพ่อจะอธิบายไม่ถูก พวกอาหญิงไม่ทราบว่าของสิ่งนี้มีราคาแค่ไหน เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจว่าจะเอาไปให้ด้วยตัวเอง
“หืม พวกคุณมาหาใครครับ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะเปิดประตูด้านข้างออก ก็เห็นคนสี่ห้าคนยืนอยู่แล้ว ชายวัยกลางคนในกลุ่ม กำลังพิจารณาดูประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสานอยู่ พอเยี่ยเทียนเปิดประตูออกไปจึงทำให้คนกลุ่มนั้นตกใจ
“เธอคือเยี่ยเทียนใช่ไหม? ฉันมาหาเธอ!” ซ่งจือเจี้ยนคิดถึงคำที่พ่อของเขากำชับไว้เมื่อคืนแล้วจึงเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจออกมา
…