หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 446 สำนักต้มตุ๋น (1)
“พ่อ เกิดอะไรขึ้น? พ่อทำธุรกิจนี้มาตั้งสิบยี่สิบปีแล้ว ทำไมถึงดูผิดไปได้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิงแล้ว เยี่ยเทียนยังอดตะลึงไม่ได้ จ่ายค่าโง่เพราะถูกตบตาในการทำธุรกิจค้าของโบราณนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย แต่เยี่ยตงผิงอายุปูนนี้ อีกทั้งประสบการณ์ในสายงาน โอกาสเช่นนี้มีต่ำมาก
ต้องบอกก่อนว่า เยี่ยตงผิงเริ่มค้าขายของเก่ามาตั้งแต่ยุค 80 นับว่าเป็นกลุ่มแรกๆ ภายในประเทศ เขารับของโบราณแท้ๆ มานับไม่ถ้วน ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ไม่แน่ว่าจะมีความสามารถสูงไปกว่าเยี่ยตงผิงสักเท่าไหร่
“พ่อ…พ่อโดนคนจัดฉากล่อลวงไงล่ะ!” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ใบหน้าของเยี่ยตงผิงก็แดงก่ำ พอปล่อยให้ผ่านไปนานกว่าครึ่งวันแล้วจึงยอมพูดความอัดอั้นออกมา
“หา แล้วจัดฉากครั้งนี้ มาทำถึงในบ้านเราเลยเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตกตะลึง แล้วแค่นยิ้ม ว่ากันว่าพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงมีอยู่ทั่วยุทธภพ หลังจากปลายราชวงศ์ชิงล่มสลาย ก็มีสำนักหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญการหลอกลวงคนมารวมอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม มีชื่อเรียกในยุทธภพว่าสำนักวิชาต้มตุ๋น
แตกต่างจากสำนักเจียงเซียงผู้อาศัยป้ายพยากรณ์ ออกหากินโดยลำพังเป็นหลัก สำนักวิชาต้มตุ๋นนั้นมีความเหนือชั้นกว่า มักก่อคดีกันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งถ้วยชาธรรมดาไปจนถึงไข่มุกทองคำเครื่องเงินเครื่องประดับ ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่โกง
เยี่ยเทียนเคยได้ยินนักพรตเต๋าเล่าว่า ที่หาดเซี่ยงไฮ้ในเขตที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติยุคปี 20 มีพ่อค้าชื่อดังคนหนึ่ง ถูกคนจากสำนักวิชาต้มตุ๋นใช้เวลาสามปี หลอกลวงจนสิ้นเนื้อประดาตัว สุดท้ายจึงกระโดดลงแม่น้ำหวงผู่จบชีวิต
และว่ากันตามเนื้อหาบางอย่างแล้ว วิชาต้มตุ๋นมีเส้นทางทำกินและวิธีการกว้างขวางกว่าวิชายุทธภพอยู่มาก จึงก่อหายนะต่อผู้คนได้มากกว่า
ดังนั้นจึงมีจุดหนึ่งที่สำนักวิชาต้มตุ๋นเหมือนกับสำนักเจียงเซียง นั่นก็คือหลังจากสถาปนาประเทศก็ถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างเข้มงวด
ยอดฝีมือนักต้มตุ๋นรุ่นแรกปัจจุบันล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว และความสามารถที่จะหลอกลวงพวกวัยหนุ่มสาวก็ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่ก็สามารถหลอกพวกตาแก่ยายแก่ คนที่สามารถหลอกลวงเยี่ยตงผิงได้นั้น จะต้องเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมืออย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรแน่ ถึงแม้ในใจจะนึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าด่วนสรุป หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก็มองพ่อแล้วกล่าวขึ้น “พ่อครับ ลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน่อยสิ”
เยี่ยตงผิงถอนหายใจ พูดว่า “เฮ้อ เรื่องนี้…ก็ต้องโทษที่พ่อโลภมากด้วย คืออย่างนี้ เมื่อปีนั้นที่พ่อมาเปิดร้านที่ปักกิ่ง ก็รู้จักกับลูกค้าชาวฮ่องกงคนหนึ่ง คนผู้นี้ถึงแม้จะซื้อของไปไม่มาก แต่เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณอย่างมาก…”
เรื่องนี้ของเยี่ยตงผิงเป็นเรื่องยาวมาก ต้องฟังมากว่าครึ่งชั่วโมงเต็ม เยี่ยเทียนถึงพอจะฟังรูปแบบบางอย่างออก
ที่แท้ หลังจากที่เยี่ยตงผิงปรองดองกับครอบครัวแล้ว ก็เปิดร้านขายวัตถุโบราณที่ตลาดพานเจียหยวนในทันที อีกทั้งยังให้น้องเขยของตัวเองช่วยดูแลภายในร้าน เรื่องพวกนี้อธิบายไว้หมดในตอนต้น ๆ
ถึงแม้ว่าเยี่ยตงผิงจะเป็นชาวเมืองหลวง แต่ก็ถือเป็นครอบครัวที่มาจากเขตอื่นมาเปิดร้านในตลาดพานเจียหยวน หลังจากเปิดร้าน ธุรกิจค้าขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งยังถูกกดดันจากบรรดาพ่อค้าสายเดียวกัน ช่วงเวลานั้นเยี่ยตงผิงจึงอยู่อย่างค่อนข้างยากลำบาก
ขณะที่เพิ่งเปิดร้านได้เดือนเดียว เยี่ยตงผิงก็ได้ต้อนรับลูกค้าวัยกลางคนพูดจาด้วยน้ำเสียงภาษากวางตุ้งคนหนึ่ง แนะนำตัวเองว่าเป็นชาวฮ่องกงมาเปิดบริษัทในปักกิ่ง และชื่นชอบสะสมวัตถุโบราณเป็นปกติ
คนผู้นี้ชื่อว่าเปาเฟิงหลิง แม้รูปร่างจะไม่สูงมาก หน้าตาค่อนไปทางอัปลักษณ์ แต่พูดจาฉะฉาน เมื่อพบกับกับเยี่ยตงผิงเสมือนได้พบสหายเก่าก่อน และชื่นชมเลื่อมใสในความรู้ด้านวัตถุโบราณของเยี่ยตงผิงมาก
ว่ากันว่า “คำพูดไพเราะคำเดียวอบอุ่นไปทั้งฤดู คำพูดหยาบคายเจ็บปวดถึงหกเดือนหนาว” เวลานั้นเยี่ยตงผิงกำลังค่อนข้างร้อนใจ ด้วยความคุ้นเคยจึงเล่าปัญหาการเปิดร้านไปไม่น้อย หลังจากคบหากันมากขึ้น ทั้งสองคนก็ค่อยๆ สนิทสนมกันทีละนิด
จากที่เยี่ยตงผิงว่ามา เปาเฟิงหลิงคนนั้นเปิดบริษัทค้าขายต่างประเทศแห่งหนึ่ง เขายังเคยไปดื่มชากังฟูของกวางตุ้งที่บริษัทของอีกฝ่าย จึงพอเข้าใจรูปแบบของบริษัทนั้นอยู่บ้าง
อีกทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เปาเฟิงหลิงซื้อวัตถุโบราณจากมือเยี่ยตงผิงติดต่อกันไปแสนกว่าชิ้น คนผู้นี้สายตาแม่นยำ สิ่งของที่ซื้อไปไม่มีของปลอมเลยสักชิ้นเดียว จึงทำให้เยี่ยตงผิงยิ่งยกย่องชื่นชมเขาขึ้นไปอีก
เมื่อปีที่แล้ว เปาเฟิงหลิงกำลังพักผ่อนดื่มชาอยู่หนหนึ่ง บังเอิญพูดถึงช่วงเวลาที่หยวนหมิงหยวน (พระราชวังฤดูร้อนเก่า) ถูกเผาทำลายเมื่อในอดีต เคยโดนผู้บุกรุกชิงรูปหล่อทองแดงสิบสองนักษัตรหลบหนีไป
ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะเมีย วอก กุน เจ็ดชิ้นในนั้นล้วนอยู่ต่างประเทศ ทว่ารูปหล่อ จอ มะโรง มะเส็ง ระกา มะแม ห้าชิ้นนั้นกลับไม่รู้เบาะแส ตามที่เขาวิเคราะห์จากเอกสาร น่าจะถูกคนภายในประเทศแอบซ่อนเอาไว้
เวลานั้นเปาเฟิงหลิงชื่นชมรูปหล่อทองแดงสิบสองชิ้นนี้อย่างมาก บอกว่าหากตัวเองสามารถเก็บสะสมได้สักหนึ่งชิ้น ชีวิตนี้ก็ไม่เสียดาย ทั้งยังไว้วางใจให้เยี่ยตงผิงสอดส่องเอาใจใส่ ถ้าหากมีข่าวคราวจะต้องแจ้งให้เขาทราบ
ด้วยการค้าขายเครื่องใช้ทองแดงโบราณ ถูกจำกัดจากรัฐบาลอย่างเข้มงวดมาตลอด อีกทั้งรูปหล่อสิบสองนักษัตรประเภทนี้ ยิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าประจำชาติ
ในเวลานั้นถึงแม้เยี่ยตงผิงจะรับคำ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรข้อแรก การค้าขายของประเภทนี้ผิดกฏหมาย ข้อสองเบาะแสที่รูปหล่อพวกนั้นหลุดมาสู่มือชาวบ้านสูญหายไปร้อยกว่าปี มีหรือจะบังเอิญขนาดที่มาถูกเขาพบเจอได้?
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มีพ่อค้าของเก่าที่เคยติดต่อซื้อขายกับเยี่ยตงผิงคนหนึ่งพบมันเข้า บอกว่าในมือมีสมบัติประจำชาติชิ้นหนึ่ง อยากจะปล่อยของแต่กลับหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ถามเยี่ยตงผิงว่ารับของชิ้นนี้หรือเปล่า?
ว่ากันตามตรง ทำการค้าแบบนี้ โดยเฉพาะค้าขายวัตถุโบราณ มีไม่กี่คนนักที่จะเคารพทำตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้นก็นั่งรอขาดทุน ตอนนั้นเยี่ยตงผิงได้ยินเข้า จึงบอกว่าจะขอดูสินค้าก่อน
คนนั้นตอบตกลง พาเยี่ยตงผิงไปยังเขตชานเมืองแห่งหนึ่ง แล้วนำเอารูปหล่อหัวมังกรหนึ่งชิ้นออกมา เมื่อเยี่ยตงผิงได้เห็น ก็ตกตะลึงในทันใด
หัวมังกรชิ้นนี้ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนรูปร่างหรือว่าขนาด ล้วนเหมือนกับชิ้นนั้นที่สูญหายไปจากหยวนหมิงหยวนไม่ผิดเพี้ยน และพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้นยังเปิดเผยว่าของชิ้นนี้คือสมบัติประจำชาติชิ้นนั้น ทั้งเปิดราคาถึงสามสิบล้าน!
เยี่ยตงผิงทำการค้ามาหลายต่อหลายปี คำหลอกลวงล้วนฟังมาจนหูชาแล้ว จึงไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาจนสนิทใจ หลังจากอาศัยเครื่องมือตรวจสอบที่พกติดตัวมา ก็ยังมองไม่เห็นรอยตำหนิใด ๆ
ที่สำคัญคือ เมื่อในอดีตเยี่ยตงผิงเคยพลาดประสบปัญหาจากหม้อสามขา นับตั้งแต่ครั้งนั้น เขาก็ทุ่มเทเวลาอย่างหนักเพื่อศึกษาเครื่องทองแดง จนแยกแยะเครื่องทองแดงได้อย่างเชี่ยวชาญ
อย่างไรเสียคนเราก็มีความเชื่อมั่นในตนเองระดับหนึ่ง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ แล้ว เยี่ยตงผิงรู้สึกว่าแปดในสิบส่วน ของชิ้นนี้เป็นของจริง แต่ว่าเขาเองก็ไม่รีบด่วนสรุป และถ่ายรูปที่ชัดเจนกลับมาสักสองสามใบ
เมื่อกลับถึงร้านแล้วเยี่ยตงผิงก็โทรศัพท์หาเปาเฟิงหลิง พอถามไปคำหนึ่ง พบว่าเขากลับไปอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงบอกว่าพบหัวมังกรทองแดง เปาเฟิงหลิงก็แสดงทีท่าดีอกดีใจแทบคลั่งขึ้นมาทันที
ทว่าการค้าที่เขาทำอยู่ในฮ่องกงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลาสามวันจึงจะกลับถึงเมืองปักกิ่ง จึงให้เยี่ยตงผิงนำรูปถ่ายพวกนั้นส่งให้ผู้ช่วยของเขา เพื่อที่ตนเองจะได้ดูก่อนว่าสามารถรับของชิ้นนี้มาได้ไหม
ในร้านของเยี่ยตงผิงไม่มีแฟกซ์ แต่ว่าเขาเองก็คอยจับตามองอยู่เสมอ
หลังจากผู้ช่วยคนนั้นที่คุ้นเคยกันมาหา เยี่ยตงผิงก็ออกไปยังร้านแฟกซ์เพื่อส่งรูปภาพด้วยกัน ทั้งยังเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ช่วยจ่ายเงินไปหลายสิบหยวน ซึ่งส่งไปยังฮ่องกงแน่นอน
หลังจากได้รับแฟกซ์ไม่ถึงสิบนาที โทรศัพท์ของเยี่ยตงผิงก็ดังขึ้น เบอร์ที่เข้ามาเป็นหมายเลขจากฮ่องกง เปาเฟิงหลิงตัดสินว่าของชิ้นนั้นคือหัวมังกรที่สูญหายไป
เปาเฟิงหลิงให้เยี่ยตงผิงรั้งคนนั้นไว้ รอให้เขากลับเมืองหลวงแล้วเจรจาการค้าครั้งนี้กัน ทั้งยังบอกว่าขอเพียงราคาขายไม่ถึงพันล้าน เขายอมทุกอย่างเพื่อซื้อมาและย่อมแสดงความขอบคุณให้กับเยี่ยตงผิงผู้เป็นคนกลาง
ในเมื่อไม่ใช่สิ่งของที่เยี่ยตงผิงอยากจะซื้อ เขาเองก็ไม่กล้ารับประกันความเสี่ยงใดๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก็ยอมรับคำเรียกร้องของเปาเฟิงหลิง รับปากว่าจะช่วยยื้อให้เขาอีกสามวัน
แต่กลับไม่คิดว่า เพียงวันที่สองเท่านั้น พ่อค้าวัตถุโบราณที่รู้จักกันโทรศัพท์มาหา บอกว่ามีเถ้าแก่คนหนึ่งสนใจของชิ้นนั้น ถ้าหากเยี่ยตงผิงไม่ต้องการ เขาจะปล่อยมือให้กับคนอื่น อีกทั้งเถ้าแก่คนนั้นยังสามารถจ่ายเงินรับสินค้าภายในตอนบ่ายวันนั้นได้
เยี่ยตงผิงได้ยินคำพูดนั้น ก็โทรศัพท์หาเปาเฟิงหลิงทันที
พอเยี่ยตงผิงเล่าสถานการณ์ให้ฟัง ทางนั้นก็ร้อนรนขึ้นมาทันใด บอกว่าตัวเองจะจองตั๋วเดี๋ยวนี้ แล้วจะรีบมาถึงปักกิ่งในตอนเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้เยี่ยตงผิงปกป้องหัวมังกรชิ้นนั้นเอาไว้ให้ได้
และหากว่ารั้งไว้ไม่ได้จริงๆ ก็ให้จ่ายเงินซื้อไปก่อน เขาไม่สนว่าเยี่ยตงผิงจะซื้อมาในราคาเท่าไหร่ แต่ยินยอมจะจ่ายให้ในราคาแปดสิบล้านหยวน
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น เยี่ยตงผิงก็ชักหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ ด้วยความเคยชินจากการทำธุรกิจ เขาจึงไม่ได้บอกราคาหัวมังกรกับเปาเฟิงหลิง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่า หากตัวเองซื้อมาก่อน จะสามารถขายต่อได้กำไรถึงห้าสิบล้านถ้วน!
หลังจากพิจารณาอยู่สามตลบ เยี่ยตงผิงก็ติดต่อพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้น บอกว่าตอนเย็นขอเจรจาดูสินค้าได้ไหม? แต่กลับถูกพ่อค้าวัตถุโบราณปฏิเสธ บอกว่าตอนบ่ายจะมีคนอื่นจ่ายเงินนำของไป เขาจึงไม่อาจปล่อยมือไม่ทำธุรกิจได้หรอกนะ?
หลังผ่านการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกหน เยี่ยตงผิงก็ตัดสินใจคว้าหัวมังกรชิ้นนั้นไว้ ถึงอย่างไรเขาก็ตรวจสอบสิ่งของชิ้นนั้นด้วยตาตัวเอง ในใจจึงมีความเชื่อมั่นอยู่หลายส่วน
ทำการค้ามาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ธุรกิจค้าขายวัตถุโบราณของเยี่ยตงผิงเริ่มมีแนวโน้มเฟื่องฟู ในตัวเขามีอยู่สิบเอ็ดกว่าล้าน รวมกับทุนทั้งหมดในร้านขายของเก่า บวกกับเงินที่เยี่ยเทียนให้มาเหล่านั้น ก็เพียงพอสามสิบล้าน
หลังจากนำเงินสามสิบล้านใส่เข้าไปในบัตรแล้ว เยี่ยตงผิงก็พาโจวเซี่ยวเทียนไปหาพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้น การเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นผิดจากทุกที หลังจากโอนเงิน หัวมังกรที่ถูกเขาตรวจสอบหลายต่อหลายครั้งชิ้นนั้นก็ตกเป็นของเยี่ยตงผิงอย่างเป็นทางการ
เมื่อรับหัวมังกรมาแล้ว เยี่ยตงผิงก็โทรศัพท์ไปหาเปาเฟิงหลิงทันที หลังจากโทรติดแล้วเปาเฟิงหลิงบอกว่ากำลังจะขึ้นเครื่องบิน รอให้ถึงปักกิ่งแล้วค่อยติดต่อ และบอกให้เยี่ยตงผิงคอยดูแลหัวมังกรเอาไว้ให้ดี
ทว่าจนกระทั่งห้าทุ่มกว่า เบอร์โทรศัพท์ฮ่องกงนั้นของเปาเฟิงหลิง ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย เยี่ยตงผิงเปลี่ยนไปติดต่อโทรศัพท์มือถือภายในประเทศของเปาเฟิงหลิง ก็ไม่มีใครรับสายเช่นกัน
ตอนนั้นในใจเยี่ยตงผิงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เช้าตรู่วันต่อมาจึงรีบรุดไปยังบริษัทค้าขายต่างประเทศของเปาเฟิงหลิง พอไปครั้งนี้ก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
……