หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 447 สำนักต้มตุ๋น (2)
ภายในบริษัทค้าขายมีคนเดินไปมา พนักงานมากมายกำลังวุ่นวายกับธุระในมือ เริ่มแรกเยี่ยตงผิงยังถอนหายใจโล่งอก บริษัทใหญ่ขนาดนี้ยังอยู่ แล้วคนอย่างเขาจะหนีไปไหนได้?
“ประธานเปา บริษัทของพวกเราไม่มีคนชื่อนี้ค่ะ? ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”
แต่ตอนที่เยี่ยตงผิงถามถึงประธานเปาของพวกเขาที่แผนกประชาสัมพันธ์ สาวสวยตรงประชาสัมพันธ์คนนั้นกลับทำตาโตขึ้นมาทันที บอกเยี่ยตงผิงตามหน้าที่ว่า บริษัทของพวกเขาไม่มีประธานหรือรองประธานนามสกุลเปา!
“เป็นไปไม่ได้ เขาชื่อว่าเปาเฟิงหลิง เป็นหัวหน้าของพวกคุณไง!”
เยี่ยตงผิงตอบไปว่าเป็นไปไม่ได้ทันควัน เขาเคยติดตามประธานเปามายังบริษัทแห่งนี้ อีกทั้งตอนนั้นยังเคยพูดคุยกับเปาเฟิงหลิงภายในห้องรับแขกบริษัทนี้เสียเนิ่นนาน เวลานั้นยังมีเลขาธิการยกน้ำมาให้ ทั้งยังเอ่ยเรียกชื่อประธานเปาเต็มปากเต็มคำ
“จริงสิ เธอคนนั้นไง คนที่เสิร์ฟน้ำให้ผมวันนั้นก็คือเธอนั่นเอง!”
ขณะที่เยี่ยตงผิงกำลังพูดอยู่นั้น พลันเห็นหญิงสาวร่างผอมเพรียวเดินผ่านตัวไป จึงรีบฉุดตัวเธอเอาไว้ ทำเอาหญิงสาวคนนั้นตกใจสะดุ้ง
“คุณคือประธานเยี่ยใช่ไหมคะ?” ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้ว แต่ว่าความจำของหญิงสาวคนนี้ยังคงดีเยี่ยม เพียงเห็นก็จดจำเยี่ยตงผิงได้
“ใช่ ๆ ประธานเปาของพวกคุณไม่อยู่เหรอ? ผมมาหาเขา” เวลานี้เยี่ยตงผิงค่อยคลายใจขึ้นมาทีละน้อย เมื่อหาคนเจอก็ไม่กลัวว่าเขาจะหนีแล้ว
“ประธานเปาของเรา?” หญิงสาวคนนั้นมองเยี่ยตงผิงแปลกๆ แล้วถามขึ้น “คุณหมายถึงคุณเปาเฟิงหลิงใช่ไหมคะ?”
เยี่ยตงผิงรีบตอบ “ใช่ เขานั่นแหละ คราวก่อนผมมากับเขา คุณลืมแล้วเหรอ?”
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นแปลกใจยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ฉันจำได้ค่ะ แต่ว่าประธานเยี่ย คุณเปาไม่ใช่พนักงานที่นี่หรอกค่ะ เป็นเพียงลูกค้าของเราเท่านั้น”
“อะไรนะ? เขา…เขาเป็นแค่ลูกค้าของพวกคุณเหรอ?”
เยี่ยตงผิงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า สับสนมึนงงไปหมด เรื่องราวหลอกลวงในวงการค้าวัตถุโบราณมีอยู่มากมาย เมื่อมาถึงตรงนี้ มีหรือที่เขาจะยังไม่เข้าใจ?
แต่ว่าเยี่ยตงผิงยังคงหาสถานที่แล้วดึงตัวเลขาสาวคนนั้นออกไปนั่งคุย โชคยังดีที่เลขาคนนั้นเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดี จึงนับว่ายังสามารถสืบถามต้นสายปลายเหตุได้อย่างชัดเจน
ที่แท้ เมื่อปีก่อนเปาเฟิงหลิงเคยอาศัยชื่อของบริษัทฮ่องกงแห่งหนึ่ง ลงนามทำสัญญาส่งออกหนึ่งฉบับกับบริษัทค้าขาย
พอเซ็นสัญญาได้ไม่นาน จู่ๆ เปาเฟิงหลิงก็โทรศัพท์มาบอกว่ามีรายละเอียดเฉพาะบางอย่างต้องการเจรจากับประธานของพวกเขา แต่บังเอิญว่า ประธานของพวกเขาไม่อยู่บริษัทพอดี จากนั้นเปาเฟิงหลิงจึงเสนอว่าจะไปรอที่บริษัทของพวกเขา
เรื่องราวหลังจากนั้นเยี่ยตงผิงได้ประสบแล้วด้วยตัวเอง พอไปถึงบริษัท เปาเฟิงหลิงก็เกริ่นเรื่องจัดการธุรกิจในนามบริษัทกับเลขาคนนี้ก่อนสักครู่ แล้วจึงพาเขาเข้าไปในห้องประชุม หลังจากคุยกันชั่วโมงกว่าก็อ้างว่ามีงานต้องทำแล้วจึงขอตัวก่อน
มาถึงตรงนี้ เยี่ยตงผิงก็แน่ใจแล้วว่าเขาถูกหลอก แต่ยังคงเพ้อฝันว่าหัวมังกรชิ้นนั้นจะเป็นของแท้ จึงกลับไปบ้านในทันที
หลังจากเมื่อวานใช้เวลาทั้งวันเพื่อตรวจสอบอย่างตั้งใจ เยี่ยตงผิงก็เข้าใจในที่สุด ว่าเขาจ่ายเงินไปสามสิบล้านเพื่อซื้อผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ปลอมแปลงจนเหมือนของจริง!
อีกทั้งพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้นกับเปาเฟิงหลิงก็รวมหัวกัน เรื่องนี้ตั้งแรกเริ่มจนถึงท้าย ล้วนเป็นฝีมือของคนเพียงสองคนเท่านั้น!
แต่ว่าเยี่ยตงผิงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เปาเฟิงหลิงคบหากับเขามานานถึงสามสี่ปี ที่จริงแล้ววันที่รู้จักกันนั้น ก็เริ่มต้นวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว ทำไมคนเราถึงใจร้ายได้ถึงขั้นนี้?
พอเล่ามาถึงตรงนี้ เยี่ยตงผิงก็ถอนหายใจยาว ถูกหลอกเงินลำบากกาย แต่เมื่อถูกหลอกใช้ความรู้สึก ความเจ็บใจนี้ทำให้เขาปวดร้าวเหลือเกิน
หลังจากฟังเยี่ยตงผิงเล่าจนจบแล้ว เยี่ยเทียนก็เหยียดเม้มริมฝีปาก เอ่ยคัดค้านขึ้น “พ่อ เรื่องนี้มีอะไรแปลกหรือ ผมถามพ่อหน่อย ถ้าหากพ่อทุ่มเททำธุรกิจหนึ่ง ใช้เวลาสักสามสี่ปีก็หาเงินได้สามสิบสี่สิบล้าน พ่อจะยอมทำไหม?”
“เหลวไหล พ่อก็ต้องทำอยู่แล้ว พ่อทำธุรกิจวัตถุโบราณนี้มาอย่างยากลำบากถึงสิบกว่าปี ถึงจะหาเงินได้สิบล้าน ถ้ามีโอกาสหาเงินได้สามสี่สิบล้านในสามสี่ปี ใครจะไม่ทำ?”
คราวนี้เยี่ยตงผิงเกิดโมโหขึ้นมา แต่ก็ตอบโต้กลับไปว่า “เยี่ยเทียน แก…แกจะบอกว่า พวกนั้นโกหกเป็นอาชีพ หลอกคนเป็นหลักเพื่อหากินเรอะ?”
“เฮอะ แปลกใหม่มากหรือไง?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ถ้าไม่ได้โกหกเป็นอาชีพ จะหลอกมืออาชีพอย่างพ่อได้เงินไปเยอะขนาดนี้เหรอ?”
เยี่ยตงผิงถอนหายใจยาว เอ่ยขึ้น “เรื่อง…เรื่องนี้ต้องโทษที่พ่อโลภมากเอง ถ้าไม่เพ้อฝันว่าจะมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากสวรรค์ ก็คง…คงไม่ถูกหลอกเงินไปมากขนาดนี้”
“พ่อ ความโลภก็เป็นบาปดั้งเดิมที่ติดตัวมนุษย์อยู่แล้ว สาเหตุที่พวกต้มตุ๋นนั่นทำสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ของมนุษย์มาเอาเปรียบเรา…”
เยี่ยเทียนนิ่งไปสักครู่ พลันมองยังพ่ออย่างประหลาดใจเล็กน้อย ถามขึ้น “จริงสิ พ่อครับ พ่อระมัดระวังเวลานำเข้าและขายออกวัตถุโบราณเป็นพิเศษมาตลอด แล้วทำไมระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน ถึงตัดสินใจทำการค้าด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้?”
นับตั้งแต่เยี่ยตงผิงทำธุรกิจแล้วสูญเงินตอนเยี่ยเทียนเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนั้น เขาก็ขายของอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด ปกติหากไม่แน่ใจว่าได้กำไรแน่นอนหรือซื้อขายด้วยจำนวนเงินที่สูงเกินไป น้อยครั้งที่เยี่ยตงผิงจะเข้าไปมีส่วนร่วม
แต่ว่าการกระทำของพ่อในครั้งนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจอย่างที่สุด เขาอยู่กับพ่อมายี่สิบกว่าปี เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่พบว่าพ่อโลภมากได้ขนาดนี้?
เห็นสายตาสงสัยของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็อ้ำอึ้งตอบ “พ่อ…พ่อทำไปไม่ใช่เพื่อ…เพื่อให้แม่…แม่ของแกมีหน้ามีตาหรือไง?”
เยี่ยตงผิงรู้ฐานะทางบ้านของซ่งเวยหลัน อีกทั้งหลังจากพบหน้ากันครั้งก่อน แม้ว่าทั้งสองจะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แต่จิตใจของเยี่ยตงผิงเอง กลับมีปัญหาเล็กน้อย
เยี่ยตงผิงในอดีตมีใบหน้าหล่อเหลา ทั้งยังเป็นนักศึกษาดีเด่นมหาวิทยาลัยหวาชิง แถมยังเขียนกลอนรักอะไรพวกนั้นเป็นด้วย และในกลุ่มเยาวชนเรือนแสนที่ออกไปใช้แรงงานในชนบท จึงกลายเป็นคนประเภทนกกระเรียนในฝูงไก่
ซ่งเวยหลันในเวลานั้นก็ไม่ได้เผยพรสวรรค์ทางด้านการทำการค้าออกมา อีกทั้งเผชิญหน้ากับดินโคลนทุกวัน ถึงมีพรสวรรค์แบบนั้นก็แสดงออกมาไม่ได้ เวลานั้นในสายตาคนอื่นทั้งสองคนจึงเป็นดังกิ่งทองใบหยก คู่ควรกันอย่างที่สุด
กระทั่งหลังจากแต่งงานกัน เยี่ยตงผิงยังออกนอกบ้านเป็นหลัก ซ่งเวยหลันอยู่แต่ในบ้าน รวมไปถึงงานหนักและสกปรกอย่างขุดอ่างเก็บน้ำเยี่ยตงผิงก็รับงานสองคนด้วยตัวคนเดียว สามารถเรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัว
แต่ว่าเวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปี เมื่อพบหน้าภรรยาที่ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก บวกกับการดูแลสุขภาพของซ่งเวยหลัน จึงดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ทำให้เยี่ยตงผิงที่เวลานี้ค่อนข้างชรา มีความรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรอยู่ในใจ
แน่นอนว่าอยู่ต่อหน้าซ่งเวยหลัน เยี่ยตงผิงแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติมาก แต่ว่าพอกลับมาถึงในบ้าน กลับครุ่นคิดว่าตนเองจะต้องหาเงินให้มากขึ้นอีกหน่อยหรือเปล่า เพื่อวันหลังจะได้ไม่โดนภรรยาดูถูก?
ว่ากันว่าปัญญาของชายหญิงที่ตกอยู่ในห้วงรักจะลดลงมาก แม้ว่าเยี่ยตงผิงจะมีอายุสี่สิบห้าสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกเด็กหนุ่มอายุน้อยสักเท่าไหร่ กระทั่งความฉลาดยังลดลงไปไม่น้อย
ยังไม่ทันฟื้นสติจากอาการตื่นเต้นที่ได้พบซ่งเวยหลัน การซื้อขายหัวมังกรนั่นก็มาหาเยี่ยตงผิง จึงตรงกับคำว่า พอเคลิ้มก็ส่งหมอนให้นอน….พอดิบพอดี?
ดังนั้นเยี่ยตงผิงซึ่งสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกต้องในเรื่องการค้า และต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จึงพุ่งเข้าใส่กลางตาข่ายยักษ์ที่โอบล้อมเขาอยู่เนิ่นนานถึงสามปี!
ความจริงแล้วเยี่ยตงผิงอาจไม่ได้ต้องการหาเงินมามากมายเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เขาเพียงอยากพิสูจน์ว่าตัวเองประสบความสำเร็จในธุรกิจสายนี้ ทำได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับฐานะของซ่งเวยหลันในวอลสตรีท
แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียเยี่ยตงผิงก็มาเมืองปักกิ่งได้ไม่นาน แม้การค้าจะราบรื่น แต่ก็ยังห่างไกลจากพ่อค้าวัตถุโบราณระดับแนวหน้าอยู่มาก จึงได้ติดกับเปาเฟิงหลิงคนนั้นทุกอย่าง!
“พ่อครับ พ่อ…พ่อถึงกับคิดอย่างนี้เหรอ?” ได้ยินคำอธิบายของพ่อแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก
ฐานะตระกูลแม่ตัวเองอย่างต่ำก็สูงถึงแสนล้าน พ่อทำธุรกิจขายวัตถุโบราณสักร้อยชาติ ยังไม่แน่ว่าจะหาเงินได้มากขนาดนั้นหรือเปล่า? แต่เขากลับคิดใช้วิธีหาเงินเพื่อแสดงถึงความสามารถของตนเอง?
“พ่อ…พ่อก็ไม่อยากให้แม่แกดูถูกน่ะสิ?” เยี่ยตงผิงแข็งแกร่งต่อหน้าลูกชายมาตลอด แต่ว่าเวลานี้กลับก้มหน้าเหมือนเด็กที่ทำเรื่องผิดไป
เมื่อเห็นท่าทางพ่อของตัวเองอย่างนี้ เดิมทีเยี่ยเทียนที่ยิ้มน้อยๆ พลันสับสนขึ้นมาในใจ ราวกับมีสองมือบีบหัวใจของตัวเองแน่น ฉีกทึ้งอย่างรุนแรง ให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานอย่างที่สุด
เขายังเป็นพ่อของตัวเองใช่ไหม? นี่คือพ่อที่ถือไม้กวาดไล่ตามเขาวิ่งวุ่นไปทั่วบ้านใช่ไหม? นี่คือพ่อที่พอเวลาเขาทำผิดก็ไปตบโต๊ะกับอาจารย์ที่โรงเรียนใช่ไหม?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ที่พ่อค่อยๆ ชราลง ด้วยความกดดันในชีวิต ทำให้จอนผมทั้งสองข้างของพ่อค่อยๆ กลายเป็นสีขาว แผ่นหลังเวลายืนนั้น ดูคล้ายจะไม่ตั้งตรงเหมือนอย่างในอดีต
เมื่อเห็นสีหน้าลังเลสับสนของพ่อแล้ว คิดถึงเงาหลังของพ่อที่ส่งตัวเองขึ้นรถไฟครั้งเมื่อในอดีต เบ้าตาของเยี่ยเทียนก็พลันแดงก่ำ
หลายปีมานี้เขาเอาแต่ห่วงความอิสระของตนเอง ทว่ากลับพูดคุยกับพ่อน้อยลงทุกที และความรู้สึกของพ่อ…ก็ยิ่งเหินห่างมากขึ้น
“พ่อครับ ไม่หรอก ไม่มีใครดูถูกพ่อได้หรอก!”
มือขวาของเยี่ยเทียนวางบนไหล่ของพ่อ เยี่ยเทียนมองยังดวงตาของพ่อ เอ่ยทีละคำว่า “ตอนนี้ไม่มี และในอนาคตก็จะไม่มีใครมาดูถูกพ่อได้ เพราะว่าพ่อเป็นพ่อของเยี่ยเทียน! ต่อให้เป็นซ่งเวยหลันก็ไม่กล้าดูถูกพ่อ!”
สามสิบปีก่อนดูลูกให้ดูพ่อ สามสิบปีหลังจะดูพ่อต้องดูที่ลูก!
จากความอ่อนแอที่เยี่ยตงผิงแสดงออกมานั้น เยี่ยเทียนถึงได้เข้าใจความกดดันที่แบกรับภายในใจของพ่อในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง
ในขณะเดียวกันเยี่ยเทียนเองก็แอบตัดสินใจว่า จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายพ่อที่ใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกันกับตัวเองมาตลอดยี่สิบปี!
“แต่ว่า…เยี่ยเทียน คราวนี้พ่อ…พ่อเอาเงินของแกลงไปด้วยน่ะสิ!” เยี่ยตงผิงพูดอย่างค่อนข้างละอายใจ เงินก้อนนั้นเดิมทีตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้เยี่ยเทียนใช้แต่งงาน
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ ตอบว่า “พ่อครับ พ่อค้าขายวัตถุโบราณความจริงแล้วก็คือการเดิมพัน ลงเดิมพันไม่ได้หมายความว่าจะแพ้ ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่รู้ผลเลยครับ?”
……