หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 448 สำนักต้มตุ๋น (3)
“เสี่ยวเทียน แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง? หรือ…หรือว่ายังสามารถตามตัวพวกมันเจอ?”
พอได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็เบิ่งตาโต หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น กระทั่งความคิดจะแจ้งตำรวจเขาก็ยังไม่มี จึงไม่คิดว่าจะสามารถตามเงินจากเปาเฟิงหลิงกลับมาได้
ต้องรู้ก่อนว่า การแอบลักลอบซื้อขายวัตถุประจำชาติ หากเป็นของแท้ โทษนั้นหนักพอให้เขาต้องจำคุกสามถึงห้าปี
แต่ถ้าของที่ซื้อมาถึงมือเป็นเพียงผลงานศิลปะร่วมสมัยชิ้นหนึ่ง ก็ไม่นับว่าผิดกฎหมาย อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังมีโทษฐานฉ้อโกง ว่ากันตามกฎของวงการค้าวัตถุโบราณแล้ว สิ่งที่ทำได้สำหรับเรื่องนี้มีเพียงแต่กล้ำกลืนฝืนทน
แน่นอนว่าเยี่ยตงผิงสามารถเลือกไปแจ้งความ เพียงแต่หากทำเช่นนั้น เรื่องนี้ก็จะแพร่ออกไป แล้ววันหลังเยี่ยตงผิงก็ไม่ต้องคิดจะเงยหน้าอ้าปากในวงการค้าวัตถุโบราณได้อีก
“หาเจอแน่นอน พ่อครับ พ่อไม่รู้เหรอว่าผมทำงานอะไร? สิ่งที่หมอดูฮวงจุ้ยทำก็คือทำนายดวงชะตา ตามหาคนหาย เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึ ๆ แล้วพูดต่อ “พ่อครับ พ่อรู้จักเขามาสามสี่ปี มีสิ่งของที่เขาเคยใช้บ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่นเส้นผม…”
เยี่ยเทียนสามารถตัดสินได้ว่า ชื่อเปาเฟิงหลิงนี้ต้องเป็นชื่อปลอมอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงทายทำนายหาเบาะแสของคนคนนั้น จึงต้องพึ่งสิ่งของที่เปาเฟิงหลิงเคยใช้มาก่อน แล้วสืบสาวจากการขับเคลื่อนพลังชี่ของเขา
“ของที่เขาเคยใช้เหรอ?”
เยี่ยตงผิงคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้า บอกว่า “ดูเหมือนจะไม่มีนะ? ถึงแม้คนสกุลเปานั้นจะหน้าตาไม่ดีเท่าไร แต่ก็ดูแลเอาใจใส่เรื่องภาพลักษณ์มาก จะใส่เจลแต่งผมบนศีรษะทุกครั้ง ลื่นแผลบเสียจนแมลงวันยังเกาะไม่อยู่ แล้วจะมีผมร่วงได้ยังไง?
หลายปีมานี้เวลาที่เยี่ยตงผิงกับเปาเฟิงหลิงอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ทำบ่อยที่สุดก็คือดื่มชา แต่ว่าเครื่องชาพอใช้แล้วล้วนใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิสูงล้างทั้งหมด แล้วจะมีอะไรหลงเหลือได้อีก?
“เยี่ยเทียน เงินก้อนนี้ที่พวกเขาเอาไป ไม่รู้ว่าปานนี้ไปถึงไหนแล้ว แก…แกสามารถหาเจอเหรอ?”
แม้จะรู้ว่าลูกชายแตกต่างจากคนธรรมดา แต่จากความคิดของเยี่ยตงผิง คนสกุลเปาผู้นี้ทำการฉ้อโกงมาหลายต่อหลายปี ไม่แน่ว่าอาจจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ต่อให้ลูกชายมีความสามารถสักแค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอหรอกกระมัง?
เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ ขึ้นมา และกล่าวว่า “พ่อครับ เพราะอย่างนั้นถึงต้องรีบหน่อยถึงจะได้ผล พ่อลองคิดให้ดีๆ อีกที ว่าเขายังมีของใช้อะไรทิ้งไว้ที่พ่ออีกหรือเปล่า?”
คนอย่างเปาเฟิงหลิงหากยังอยู่ในเมืองปักกิ่ง ด้วยการฝึกวรยุทธของเยี่ยเทียนในปัจจุบัน ยังพอที่ตามหาคนผู้นั้นได้
แต่ถ้าหากออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาคงได้แต่คาดเดาตำแหน่งคร่าวๆ เท่านั้น และหากสิบแปดมงกุฎพวกนี้หนีออกไปต่างประเทศ เยี่ยเทียนเองก็จนปัญญากับคนเหล่านี้เช่นกัน
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า คนสำนักวิชาต้มตุ๋นเหล่านั้นเมื่อในอดีต มักก่อเรื่องต่อกันเป็นทอดๆ พวกเขาใช้เวลาถึงสามสี่ปีเพื่อจัดฉากนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ได้มีเป้าหมายแค่พ่อของเขาเพียงคนเดียว
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขายังอยู่ในเมืองหลวงเพราะยังมีเป้าหมายที่จัดการไม่สำเร็จ ถ้าหากเปาเฟิงหลิง คือคนของสำนักวิชาต้มตุ๋นเมื่อในอดีตล่ะก็ แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะยังอยู่ในเมืองหลวง
“ของที่เคยใช้ ไม่มีจริงๆ…”
เยี่ยตงผิงครุ่นคิดอย่างละเอียด พลันพบว่าเปาเฟิงหลิงผู้นี้กระทำการอย่างละเอียดรอบคอบ ตอนคบหาสมาคมกับตัวเองดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงเรื่องบางอย่าง เพียงแต่เมื่อก่อนตัวเองไม่ทันสังเกตเท่านั้น
ทันใดนั้นเยี่ยตงผิงนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ขึงร้องขึ้นเสียงดัง “จริงสิ พ่อนึกออกแล้ว มีครั้งหนึ่งเขามาซื้อแท่นฝนหมึกจากพ่อ แล้วจ่ายเป็นเงินฮ่องกง เงินพวกนี้ใช้จ่ายภายในประเทศไม่ได้ พ่อเลยเก็บเอาไว้!”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน มีครั้งหนึ่งเปาเฟิงหลิงมายังร้านของเยี่ยตงผิง บอกว่าอีกสองสามวันจะกลับฮ่องกง ต้องการซื้อแท่นฝนหมึกไปฝากคน เวลานั้นในมือไม่มีเงินหยวน จึงให้เยี่ยตงผิงหนึ่งหมื่นห้าพันดอลลาร์ฮ่องกง
ตอนนั้นเปาเฟิงหลิงยังบอกว่า คราวหน้าขอเชิญเยี่ยตงผิงมาเที่ยวฮ่องกงด้วยกัน เงินนี้เก็บไว้ใช้จ่ายในฮ่องกงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินหยวน ดังนั้นเยี่ยตงผิงจึงเก็บเงินส่วนนี้ไว้
เหตุการณ์นี้ทำให้เยี่ยตงผิงยิ่งเชื่อมั่นในสถานภาพพ่อค้าชาวฮ่องกงของเปาเฟิงหลิง และเงินหนึ่งหมื่นกว่าดอลลาร์ฮ่องกงนั้นตอนนี้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ภายในตู้เซฟที่บ้าน
“เงินเหรอครับ? ของพวกนี้ออกจะลำบากสักหน่อย…”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้ว ต้องบอกว่าของที่ผ่านมือคนมากมายที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือไปจากเงิน ข้อมูลที่ติดมานั้นมากมายเกินไป จนไม่แน่ว่าตัวเขาเองจะสามารถแยกแยะปฏิกิริยาการขับเคลื่อนพลังชี่ของปรมาจารย์นักต้มตุ๋นคนนั้นได้
“ช่างเถอะ ลองดูก่อนค่อยว่ากัน” เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าว “พ่อครับ ไปกันเถอะ กลับไปบ้านกัน แล้วเอาเงินนั่นมาให้ผมดู!”
เยี่ยตงผิงพยักหน้า เอ่ยว่า “ได้ ความจริงถึงไม่สำเร็จก็ช่างมันเถอะ ลูกเอ๋ย พ่อจะเอาของมีค่าในร้านออกไปขาย และจะไม่ยอมให้ลูกไม่มีเงินแต่งงานเด็ดขาด!”
เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เยี่ยตงผิงรู้สึกละอายต่อลูกชายที่สุด เขารู้ว่าเยี่ยเทียนเอาเงินทั้งหมดที่มีมาฝากไว้ที่ตัวเอง เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น สองพ่อลูกจึงเท่ากับสิ้นเนื้อประดาตัว
“พ่อครับ พูดอะไรน่ะ? ผมเป็นลูกพ่อ พ่อผลาญเงินผมเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนหัวเราะหยอกล้อโอบกอดไหล่ผู้เป็นพ่อ แม้จะเป็นคำพูดล้อเล่น แต่กลับทำให้เยี่ยตงผิงรู้สึกอบอุ่นใจ
จะว่าไปแล้วแม้เยี่ยเทียนรู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจัง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่โสมไม่กี่ชิ้นภายในตู้เซฟในห้อง เขาหยิบไปหนึ่งอันก็ขายได้หลายสิบล้าน ทั้งยังราคาสูงแต่มีความต้องการทางตลาดน้อย
แน่นอนว่าของล้ำค่าอันหาได้ยากขนาดนี้เยี่ยเทียนไม่มีทางปล่อยมือไป ถึงจะขายออกง่าย แต่วันหลังหากนึกอยากซื้อกลับมากลับไม่ง่ายดายแล้ว
“หรือว่าคิดวิธีหาเงินมาสักหน่อย? แม่เอ๊ย รู้อย่างนี้รับหุ้นส่วนนั่นของกงเสี่ยวเสี่ยวมาก็ดีหรอก ถือคุณธรรมแต่ดันฆ่าคนตาย!”
ขณะที่กำลังรอพ่ออาบน้ำ เยี่ยเทียนก็ครุ่นคิดไปมาอยู่ในห้อง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นเงินสำคัญนัก แต่การใช้ชีวิตบนโลกนี้ หากปราศจากเงิน แม้เพียงหนึ่งนิ้วยังยากจะก้าวเดิน
เฉกเช่นเดียวกับที่เยี่ยตงผิงสูญเสียเงินในครั้งนี้ ในมือของเยี่ยเทียนเองก็เหลือเงินเพียงเจ็ดแปดหมื่นหยวนเช่นกัน
อีกทั้งลำพังบ้านสองหลังกับร้านของเยี่ยตงผิงนั้น ในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายถึงสามสี่หมื่น ถ้าหากตามเงินก้อนนั้นกลับมาไม่ได้ พวกเขามีหวังต้องกินแกลบกันทั้งครอบครัว
“หรือว่า ไปเบิกเงินจากเหล่าถังดี?”
สมองของเยี่ยเทียนผุดความคิดนี้ออกมา แต่แล้วก็ถูกเขาปัดตก “ต่อให้ปล้นเหล่าถัง ก็ยังไม่ใช่ทางออก ไปวุ่นวายกับเขา แล้วพวกพ้องไม่ต้องใช้เงินหรือไง?”
เมื่อคิดหาไอเดียดีๆ ไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ไม่คิดอีกต่อไป พอเห็นพ่อออกมาจากห้องน้ำ ทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องพร้อมกัน เตรียมตัวไปเอาเงินฮ่องกงที่บ้านเก่า
“เยี่ยเทียน นี่นายจะไปทำอะไร?” พอเดินมาถึงเรือนกลาง ก็เห็นหูหงเต๋อกำลังสอนพื้นฐานวิชากรงเล็บอินทรีให้โจวเซี่ยวเทียน โดยให้โจวเซี่ยวเทียนจับลูกบอลในโอ่ง
“จริงสิ เหล่าหู คุณรู้เรื่องสำนักวิชาต้มตุ๋นหรือเปล่า? พ่อผมเจอดีเข้าแล้ว”
พอเห็นหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ตาสว่างวาบ ตาแก่คนนี้มาจากสังคมยุคเก่า แม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญเท่าโก่วซินเจีย แต่ต้องรู้จักผู้คนและเรื่องราวไม่น้อย
“สำนักต้มตุ๋นหรือ? ฉันเคยได้ยิน”
หูหงเต๋อคิดอยู่สักครู่ กล่าวว่า “ความจริงสำนักต้มตุ๋นก็ชื่อว่าสำนักวิชาต้มตุ๋น ว่าไปแล้วก็เป็นสาขาแยกหนึ่งจากสำนักวิชาคาถาอาคม แต่ว่าสำนักล่อลวงแอบแฝงพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ ฉันจึงไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก”
ในอดีตสามมณฑลตะวันออกล้วนเต็มไปด้วยป้อมระวังภัย ผู้คนสัญจรไปมาในยุทธภพล้วนถือปืนไปไหนมาไหน มีหรือจะยอมให้ถูกหลอกถูกขโมย? ดังนั้นสำนักต้มตุ๋นจึงไม่ค่อยรุ่งเรืองในภาคเหนือสักเท่าไหร่
“น้องเยี่ยมีเรื่องอะไร? ถูกสำนักวิชาต้มตุ๋นเพ่งเล็งเอาหรือไง?” หูหงเต๋อมองยังเยี่ยตงผิงอย่างแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเยี่ยตงผิงที่ให้กำเนิดลูกชายที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าผีปีศาจ กลับถูกวิธีการในยุทธภพพวกนั้นหลอกเอาได้?
“อืม พ่อผมโดนหลอกแล้ว อีกฝ่ายฝีมือสูง ใช้เวลาหลอกต้มสามถึงสี่ปี หลอกเงินไปได้ถือว่าไม่ขาดทุน…”
ทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนไม่ใช่คนนอก เยี่ยเทียนจึงไม่ปิดบังพวกเขา หลังจากเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดแล้ว จึงพูดว่า “วันนี้ไม่ต้องฝึกแล้ว เหล่าหู เซี่ยวเทียน ออกไปเดินเล่นกับผมหน่อย”
พอได้ยินเหตุการณ์การซื้อขายหัวมังกรวันนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็ถลึงตาโตขึ้นมา พูดด้วยความเคียดแค้น “อาจารย์ ให้ผมจับสองคนนั้นเถอะ ผมจะได้ตีขาพวกมันให้หัก!”
“ไอ้หนู เกรงว่าจะไม่ถึงมือแกหรอก” หูหงเต๋อมองยังเยี่ยเทียนอย่างมีนัย เขาเคยเห็นวิธีการของเยี่ยเทียน ในใจจึงอดไว้อาลัยให้พวกสิบแปดมงกุฎพวกนั้นอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากกลับมาถึงบ้านเก่า เยี่ยตงผิงก็เอาธนบัตรฮ่องกงใบละห้าร้อย ยี่สิบกว่าใบส่งให้เยี่ยเทียน เอ่ยว่า “ลูกพ่อ เงินฮ่องกงก้อนนี้แหละ ลูกลองดูสิว่าพอจะค้นอะไรเจอไหม?”
เยี่ยเทียนรับเงินฮ่องกงมาไว้ในมือ หลังจากตรวจเงินฮ่องกงยี่สิบกว่าใบทีละแผ่นเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขมขื่น “พ่อ ใช้ได้ไหมก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าเงินก้อนนี้ของพ่อ มีเพียงสามใบที่เป็นของจริง!”
เยี่ยเทียนเคยเห็นเงินฮ่องกง อีกทั้งสัมผัสมือของเขาไวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เพียงแตะเงินฮ่องกงเหล่านี้ ก็สัมผัสได้ว่าคุณภาพกระดาษสามแผ่นในนั้นไม่เหมือนกับแผ่นอื่นที่เหลือ เมื่อแยกแยะอย่างละเอียดอีกครั้ง คำตอบก็ปรากฎออกมา
“บัดซบเอ๊ย ขอสาปบรรพบุรุษไอ้สกุลเปาที! มิน่าไม่ยอมให้ฉันเอาไปแลกเงิน เพราะเป็นของเก๊ทั้งหมดนี่เอง?
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็หน้าถอดสีแล้วถอดสีอีก จนพ่อค้าที่ยึดหลักของขงจื้ออย่างเขาอดสบถคำพูดหยาบคายที่สุดในชีวิตออกมาไม่ได้ โมโหจนเส้นเลือดบนหน้าผากแทบจะระเบิด
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็หัวเราะ กล่าวว่า “พ่อครับ ธนบัตรปลอมพวกนี้ก็ทำเลียนแบบได้เหมือนของจริง เอาสิบกว่าล้านทิ้งไปเถอะครับแล้ว แล้วจะโกรธคนเลวๆ แบบนี้ไปทำไมกัน?”
“ไอ้หนู นี่แกปลอบฉันหรือว่าด่าฉันอยู่?” เยี่ยตงผิงไม่สบอารมณ์กับคำพูดของลูกชาย ตัวเองทำการค้ามาหลายต่อหลายปี กลับมาผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยแบบนี้ได้
“เอาน่า พ่อครับ พ่อไปอธิบายเรื่องที่ซ่งเฮ่าเทียนจะตีพิมพ์คำขอขมาให้ป้าใหญ่ฟังเถอะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮิๆ แล้วจึงเปลี่ยนประเด็นพูด“ซ่งเฮ่าเทียนมาเยี่ยมเยียน ก็ถือว่าให้เกียรติมากพอแล้ว จริงสิ เหล่าหู คุณสอนวิชาเซี่ยวเทียนต่อไปนะ ผมขอเวลาส่วนตัวเงียบๆ สักครู่”
เงินปลอมก็มีประโยชน์ของเงินปลอม นั่นก็คือเงินเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปน้อยครั้ง ร่องรอยข้อมูลที่หลงเหลืออยู่บนนั้นจึงมีมาก เยี่ยเทียนจึงสามารถแยกแยะการขับเคลื่อนพลังชี่ของพ่อค้าสกุลเปาชาวฮ่องกงคนนั้นออกมาได้
……