หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 452 จัดการให้เรียบร้อย
แก๊งต้มตุ๋นที่เกิดจากการรวมตัวของเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อสองคน เป็นดั่งปี่และขลุ่ย คนนึงยั่วให้หัวเราะ คนนึงโต้ตอบ อย่ามองว่าคนที่ทำเรื่องการค้ากับเยี่ยตงผิงคือหลิวเหล่าเอ้อ แต่ถ้าพูดถึงการมีประโยชน์ เปาเฟิงหลิงจะสำ
คัญกว่า
ตั้งแต่ติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายจนถึงเก็บเกี่ยวในตอนสุดท้าย ระหว่างนี้เป็นเวลานานหลายปีเต็มๆ ถ้าผิดพลาดเพียง
นิดเดียว สิ่งที่วางแผนไว้ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า ดังนั้นความสำคัญของเปาเฟิงหลิงจึงไม่ต้องพูดถึงแล้ว
“บัดซบเอ้ย พวกเราเป็นถึงบรรพบุรุษนักต้มตุ๋น แกดันถูกคนอื่นเขาหลอก ฉันจะเตะแกให้ตายเลย!”
เมื่อได้ยินว่าแผนที่ตนเองวางไว้เป็นเวลานานถึงสามสี่ปี กลับทำให้มีคนมาหาถึงประตูเพราะธนบัตรปลอมไม่กี่ใบ ความโกรธได้ก่อขึ้นในหัวใจของเปาเฟิงหลิงจนกล้าทำทุกอย่าง จนเขาอยากจะใช้เท้าเตะหลิวเหล่าเอ้อให้ถึงตาย
เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อเป็นผีร้ายเรื่องกาม พวกเขาจะพาสาวๆ มาที่โรงแรมแห่งนี้แทบจะวันเว้นวัน
ดังนั้นหลังจากที่เปาเฟิงหลิงเห็นธนบัตรปลอมแล้ว เขาจึงคิดได้ทันทีว่า หลิวเหล่าเอ้อที่เป็นคนคอยแลกเงินต่างประเทศนั้นทำพลาด จึงทำให้เยี่ยเทียนสืบรู้ที่พักของพวกเขา
“พี่เฟิง ฉัน…ฉันไม่เคยเห็นเงินดอลล่าร์ฮ่องกง จะรู้ได้ยังไงอันไหนจริงอันไหนปลอม?” หลิวเหล่าเอ้อถูกเปาเฟิงหลิง
เตะจนร้องโอ๊ยๆ “ถ้าฉันเจอไอ้บ้านั่น ฉันจะเอามีดแทงมันให้ตาย!”
หลังจากที่ดูการแสดงของสองคนนี้แล้ว เยี่ยเทียนกลั้นหัวเราะและพูดว่า “พอเถอะ ใส่เสื้อผ้าแล้วไสหัวไปซะ”
เมื่อเห็นลูกกะตาของเปาเฟิงหลิงหลอกไปมาอยู่อย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงพูดต่อว่า “อ้อใช่ พวกแกออกไปแล้วจะร้องก็ได้ จะวิ่งก็ได้ ขอเพียงพวกแกคิดว่าสามารถหนีพ้นมือทั้งสองข้างของเหล่าหูได้ก็พอ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด หูหงเต๋อที่อยู่ในห้องจึงกวาดตามอง แล้วจึงเหลือบไปเห็นแก้วเคลือบดินเผาหนึ่งอันวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงใช้มือขวาหยิบมันไป แต่ทันทีที่มือออกแรง แก้วนั้นก็แตกกระจายทันที
เขาถูฝ่ามืออยู่อย่างช้าๆ รอหูหงเต๋อกางฝ่ามือขวาออกแล้ว เป่าเบาๆ แล้วผงละเอียดก็ลอยขึ้นจากฝ่ามือของเขา
กระจายใส่หัวและหน้าของเปาเฟิงหลิ่งกับหลิวเหล่าเอ้อ
ในแก๊งต้มตุ๋น มีคนที่ใช้วิธีพิเศษเพื่อให้มีเวลาที่มากขึ้น ซึ่งก็คือคนที่รับผิดชอบการแย่งพื้นที่โดยใช้กำลังโดยเฉพาะ
ลูกน้องหลายคนของจี๋เหล่าต้าก็คือคนที่ได้ขนานนามว่า “ยอดฝีมือยุทธภพ” แต่ถ้าเทียบกับหูหงเต๋อ คนพวกนั้นก็เหมือนเด็กอายุสามขวบที่รำมีดใหญ่ ขึ้นเวทีไม่ได้เลย
ดังนั้นวิธีการที่หูหงเต๋อใช้นี้ มีประโยชน์มากกว่าคำขู่ใดๆ เปาเฟิงหลิงทั้งคู่ตกใจจนหน้าซีด แล้วแผนชั่วๆ ที่อยู่ในใจตอนแรก ก็หายสาบสูญไปในพริบตา
ส่วนผู้หญิงสองคนที่อยู่ในห้อง หูหงเต๋อการจัดการอย่างมีขอบเขต เพียงนอนหลับชั่วโมงกว่าเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาเอง โดยธรรมชาติของอาชีพอย่างพวกเธอก็ไม่กล้าประกาศโวยวายออกไปอยู่แล้ว
“เยี่ยเทียน แกจะพาพวกเขาไปที่ไหน?”
หลังจากที่ออกจากโรงแรม เยี่ยตงผิงมองไปที่ลูกชาย เขาเคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน? นอกจาก
เริ่มใช้กำลังเพื่อระบายแล้ว เรื่องอื่นล้วนเป็นเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อเป็นคนตัดสินใจ
เยี่ยเทียนสบตาเปาเฟิงหลิง พูดว่า “หาสักที่ แล้วเฝ้าพวกมันไว้ เท้าของพวกต้มตุ๋นมันทาน้ำมันไว้ ไม่ระวังครู่เดียว
พวกมันก็ลื่นหนีไปแล้ว”
เปาเฟิงหลิงหัวเราะอย่างขมขื่น พูดว่า “ท่านเยี่ย พวกเรากล้าที่ไหน ครั้งนี้ยอมแล้วจริงๆ!”
ความแตกต่างของพวกแก๊งต้มตุ๋นกับยอดฝีมือในยุทธภพคือ คนหนึ่งใช้สมอง คนหนึ่งใช้กำลัง ก็เหมือนกับคนเก่งเจอกับทหาร…มีเหตุผลแต่พูดยังไงก็ไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ถ้าคนสองประเภทนี้มาเจอกัน คนที่กำลังอ่อนกว่าอย่างพวกต้มตุ๋นก็จะเสียเปรียบไปโดยปริยาย
เยี่ยเทียนครุ่นคิด จู่ๆก็คิดถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมา มองไปที่พ่อและพูดว่า “พ่อครับ พ่อเรียกรถกลับบ้านไป ผมหาที่จัดการพวกมันให้เรียบร้อยก่อน”
สำหรับเรื่องบางเรื่องในยุทธภพ เยี่ยเทียนไม่ต้องการให้พ่อมีส่วนร่วมมากนัก เพราะเขาไม่ใช่คนในยุทธภพ รู้เยอะใช่
ว่าจะเป็นเรื่องดี
“ลูกชาย มานี่ ฉันมีอะไรจะพูดด้วย”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด เยี่ยตงผิงลังเลไปครู่นึง ดึงเยี่ยเทียนไปที่ข้างๆ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ดูไว้อย่าให้พวก
มันหนีก็พอ ห้ามตีพวกมันเด็ดขาด สองคนนี้หลอกต้มตุ๋นมันก็มีความผิดอยู่แล้ว เรากักขังแบบนี้ก็ผิดกฎหมายเหมือนกัน”
ถึงแม้เยี่ยตงผิงไม่รู้ว่าลูกชายจะจัดการพวกเขายังไง แต่เขารู้ว่าเยี่ยเทียนซ้อมคนแรงจริงๆ ตั้งแต่เด็ก ตอนที่อายุเจ็ดแปดขวบก็สามารถตีเด็กอายุสิบขวบจนเลือดเต็มหน้า เขากลัวว่าเยี่ยเทียนจะทำเรื่องประเภทที่ว่าตัดแขนตัดขาสองคนนี้มาก
“ครับ ผมทราบแล้ว พ่อ พ่อไปเรียนกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้เรื่องนี้ดีเชียวนะ?”
สิ่งที่พ่อพูดทำให้เยี่ยเทียนจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยไหน ยุทธภพนั้นคงอยู่เสมอ มันจึงมีกฎเกณฑ์ของมันอยู่หนึ่งอย่าง ถึงแม้ไม่กล้าพูดว่ามันอยู่เหนือกฎหมาย แต่กฎหมายปัจจุบันที่ผูกมัดยุทธภพก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน
ก็เหมือนครั้งนี้ พี่ใหญ่จี๋ส่งคนข้ามแดนมาเอาเงินซึ่งทำผิดกฎ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะส่งศพกลับไปสองศพ พี่ใหญ่จี๋ก็ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจอยู่ดี และยังต้องใช้ร้อยวิธีเพื่อปิดซ่อนเรื่องนี้ไว้
ส่วนพี่ใหญ่จี๋จะแก้แค้นเยี่ยเทียนเพราะเรื่องนี้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องนึง ท้ายที่สุดแล้วถ้าประชาชนไม่แจ้งความ ข้าราชการก็ไม่สืบ ทุกเรื่องจบด้วยการจัดการแบบลับๆ
หลังจากส่งพ่อเสร็จ เยี่ยเทียนไปนั่งตำแหน่งคนขับ ส่วนหูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนซ้ายหนึ่งคน ขวาหนึ่งคนคุมตัวเปา
เฟิงหลิงทั้งคู่เอาไว้ที่เบาะหลัง แม้สองคนนั้นอยากกระโดดลงรถ ก็ไม่สามารถทำได้
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า จึงเห็นเยี่ยเทียนเลี้ยวรถเข้าไปในซอยแถวทะเลสาบโฮ่วไห่ โจวเซี่ยวเทียนพูดว่า “อาจารย์ นี่จะไปหาศิษย์พี่ชิวเหรอ?”
“ใช่ นอกจากที่ของเหล่าชิวแล้ว ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจะพาพวกเขาไปที่ไหน”
เยี่ยเทียนมองเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อจากกระจกหลังรถ ถึงแม้สองคนนี้จะใบหน้านิ่ง แต่คนที่เดินอยู่ข้างทะเลสาบเป็นประจำจะไม่ให้รองเท้าเปียกเลยได้ยังไง? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาสะดุดล้ม
ระหว่างที่พูดคุยอยู่ รถยนต์ขับเข้าไปถึงปากซอยของสำนักสอนวิชาการต่อสู้อันเต๋อ หลังจากรถจอดเสร็จเรียบร้อย ทุกคนทยอยลงจากรถ และเริ่มเดินไปที่สำนักสอนวิชาการต่อสู้
“เฮ้ มาทำอะไรกัน?” กลุ่มของเยี่ยเทียนมีสี่ห้าคนเป็นเป้าสายตามาก ยังไม่ถึงหน้าประตูสำนัก คนหนุ่มจำนวนหนึ่ง
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เดินเข้ามา
ลูกน้องของชิวเหวินตง เวลาอยู่แถวปักกิ่งถิ่นชาววังมักจะหาเรื่องกันอยู่แล้ว ดังนั้นเวลาพูดจาจึงไม่สุภาพเป็นธรรมดา เพียงแต่คนหนุ่มที่อยู่หน้าสุดพอเห็นเยี่ยเทียน จู่ๆ ก็กลับหัวและวิ่งหนีไป
“ทำ……ทำลายสำนักมาอีกแล้ว!” ไอ้หนุ่มวิ่งไปตะโกนไป เยี่ยเทียนถึงกับหัวเราะ ครั้งก่อนกุมมือและพูดคุยด้วยดี
แล้ว ดูเหมือนเขาจะฝังใจหรือเป็นอะไรหรือเปล่า?
เสียงที่ตะโกนดังออกไป ทำให้คนในสำนักสอนวิชาการต่อสู้ก็กรูกันออกมาสิบกว่าคน ในมือยังถือดาบหอกพลองกระบองเอาไว้ คนที่นำหน้าคืออู่เฉินศิษย์โตของชิวเหวินตงนั่นเอง
“บัดซบ ท่านเยี่ยมาที่นี่คือแขกพิเศษ แกตะโกนเรียกทำไม?”
พอมองเห็นเยี่ยเทียน อู่เฉินจึงเคาะที่หัวของคนนั้นอย่างแรง แล้วหันกลับมาพูดว่า”กลับไปให้หมด เก็บของพวกนั้นให้หมดด้วย ท่านเยี่ยไม่ใช่คนนอก”
หลังจากไล่พวกลูกน้องกลับไปเสร็จ อู่เฉินจึงเดินเข้ามาต้อนรับเยี่ยเทียน และคารวะแบบจีนเหยียดมือตรงทับกำปั้น พลางยิ้มพูดว่า “ท่านเยี่ย วันนี้ท่านมาที่นี่ได้ยังไง? น้องเซี่ยวเทียน นายไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกันนะ?”
หลังจากเรื่องทำลายสำนัก โจวเซี่ยวเทียนเคยมาสำนักศิลปะการต่อสู้อยู่หลายครั้ง และเรียนเคล็ดวิชามวยแปดสุดยอดกับเฝิงเหิงหวี่ จนได้เป็นเพื่อนกับอู่เฉิน
“อู่เฉิน เหล่าชิวอยู่ไหม?ฉันมีเรื่องจะรบกวนเขาหน่อย” เยี่ยเทียโบกมือ และไม่เกรงใจกับอู่เฉินเท่าไหร่ เดินตรงเข้า
ไปข้างในเลย
“อาจารย์เพิ่งโทรศัพท์มาเมื่อกี้ เดี๋ยวก็มาครับ ท่านเยี่ย ท่านเข้าไปดื่มน้ำชาก่อน”
อู่เฉินยิ้มและนำทางเยี่ยเทียนเข้าไปข้างใน ในยุทธภพจะให้ความเคารพกับคนที่พละกำลังสูงกว่า การที่เยี่ยเทียนทำลายสำนักในครั้งนั้น ทำให้อู่เฉินยอมรับตัวเขาจากใจจริง
เทียบกับครั้งนั้น ในสำนักจะมีคนมากกว่านิดหน่อย บางคนที่ไม่รู้จัก เยี่ยเทียนะใช้สายตาที่ดุร้ายจ้องมองไปที่คนพวกนั้น
คนที่เพิ่งหัดเรียนศิลปะการต่อสู้ จิตใจของพวกเขายังไม่แน่วแน่ เรียนไปไม่กี่ท่าก็คิดว่าตนเองเก่งจนไม่มีใครเทียบ แต่
พวกนั้นก็ถูกอู่เฉินจ้องกลับทีละคนๆ
หลังจากเดินมาถึงกลางสำนัก เยี่ยเทียนนั่งลงที่เก้าอี้แปดเซียนตัวหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆ เก้าอี้ประธาน พลางชี้ไปที่เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อแล้วพูดว่า “สองคนนี้ข้ามแดนมาเอาเงิน หลอกเงินมาถึงฉัน อู่เฉิน ขังไว้ที่นี่วันสองวันได้ไหม? อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
เดิมที่ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาก็น่าขายหน้าอยู่บ้าง แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกแล้วจริงๆ ว่าจะเอาสองคนนี้ไปไว้ที่ไหน จึงทำได้เพียงยอมขายหน้าตัวเอง และให้คนในสำนักช่วยดูเอาไว้
“หลอก…หลอกท่านเลยเหรอ? นี่มันไอ้เลวมาจากที่ไหนกัน ช่างกล้าอะไรขนาดนี้?”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด อู่เฉินอึ้งจนปากค้าง สายตาคู่นั้นจ้องมองไปที่เปาเฟิงหลิงสองคนนั้น จนสองคนนั้น
รู้สึกอึดอัดเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงที่สำนักนี้ และเห็นท่าทางชายหนุ่มร่างเตี้ย ล่ำบึ้ก ที่มีต่อเยี่ยเทียน เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อลบความคิดที่จะหนีไปอย่างถาวร ครั้งนี้เจอของจริงเข้าแล้ว
สำหรับเรื่องน่าอายเช่นนี้ เยี่ยเทียนไม่ต้องการพูดอะไรมาก โบกมือไปมาพูดว่า “คนทางใต้ ฉันไม่คุ้นเคยเท่าไหร่
นายหาห้องๆ หนึ่งแล้วขังไว้สามวันก็พอ”
“ครับ ไม่มีปัญหา!”
อู่เฉินเป็นคนที่รู้จักจัดการเรื่องเป็นเหมือนกัน จึงได้เรียกคนสองคนมาทันทีและพูดว่า “เอาพวกมันไปขังไว้ที่ข้างหลัง ดูแลเรื่องอาหารการกินด้วย แต่ห้ามให้พวกมันออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว เข้าใจมั้ย?”
สำนักศิลปะการต่อสู้อันเต๋อเพียงแค่ช่วยเยี่ยเทียนเฝ้าไม่กี่วัน จึงไม่จำเป็นต้องไปพัวพันเรื่องของเยี่ยเทียน ดังนั้นอู่เฉินจึงมีคำสั่งแบบนั้น เพราะในภายภาคหน้าถ้าเรื่องมันจบแล้ว สองคนนี้ก็จะไม่มาหาเรื่องถึงสำนักศิลปะการต่อสู้ที่นี่
“พี่อู่ วางใจได้ พวกเรา ไปกันเถอะ!”
การจัดการเรื่องราวของคนในยุทธภพ ก็มีบ้างที่จะใช้วิธีที่เปิดเผยไม่ได้ ชิวเหวินตงสามารถดูแลกิจการให้ใหญ่ได้
ขนาดนี้ จึงหนีไม่พ้นการกระทบกระทั่งกับผู้คนในเรื่องเงินทอง และบางครั้งจะจับคนที่หูตาไม่สว่างมาขังเอาไว้
ดังนั้นเรื่องแบบนี้ คนในสำนักจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ฉันก็ว่า วันนี้ตอนตื่นนอนทำไมถึงได้ยินเสียงร้องของนกกางเขน ที่แท้น้องเยี่ยมานี่เอง?”
ทางนี้เพิ่งพาเปาเฟิงหลิงสองคนไป ชิวเหวินตงก็เดินเข้ามาจากประตูข้างนอก ถึงแม้เขากับเฝิงเหิงหวี่จะเรียกกันฉันพี่น้อง แต่ก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงแยกเรื่องของใครของมันออกต่างหาก
“เหล่าชิว วันนี้รบกวนคุณจริงๆ”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม สุภาษิตเคยกล่าวไว้ว่า เกี้ยวสวยๆ เอาไว้คนแบกคน การใช้ชีวิตในยุทธภพ ก็ต้องการหน้าตาไว้ก่อนไม่ใช่หรือ?
……