หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 455 มวยใต้ดิน (2)
มวยใต้ดินนั้นสามารถทำกำไรสูงทุกปี จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก บนหนทางนี้มีคุณชายคนหนึ่งที่มีอิทธิพล คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง จนถึงวันนี้ไม่เคยประสบปัญหากับเจ้าหน้าที่คนใดมาก่อน
แต่ในวงการนี้มันแตกต่างกัน หลังจากการเปิดประเทศแล้ว พวกที่เคยอยู่ในยุทธภพนี้บางคนก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการใช้เงินเป็นตัวนำ ในอดีตที่พึ่งพาหมัดมวยเพื่อเอาชนะโลกนั้นได้หายไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว
คนเหล่านี้ไม่กล้าไปหาเรื่องผู้จัดมวยใต้ดิน พวกเขาได้แต่จับตาดูส่วนแบ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของชิวเหวินตงอยู่อย่างนั้น
ตั้งแต่ปีที่แล้ว มีคนในยุทธจักรศิลปะการต่อสู้มาเยี่ยมชม แม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมวงการศิลปะการต่อสู้ แต่ในความเป็นจริงทุกคนรู้อยู่ในใจ ว่าพวกเขาเพียงต้องการที่จะได้รับส่วนแบ่งจากมวยใต้ดินนี้
คนของชิวเหวินตงก็มีความสามารถอยู่บ้าง ในตอนแรกพวกเขาสามารถรับมือกับมันได้ มีพวกฝีมือดีหลายคนแพ้การต่อสู้กับวิชาฝ่ามือแปดทิศของเขา
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา ก็มีผู้ที่มีฝีมือดีหลายคนไม่น้อย หากไม่เชิญเฝิงเหิงหวี่ที่มีชื่อเสียงของมวยแปดสุดยอดมาจากชางโจวล่ะก็ เกรงว่าหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นคงจะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว
แต่หลังจากเฝิงเหิงหวี่ ฝึกฝีมือถึงขั้นลมปราณแฝงแล้ว เพื่อที่ฝึกฝีมือให้สูงขึ้น เขาจึงกลับไปกักตนฝึกวิชาที่ชางโจว
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นผลให้ชิวเหวินตงตกที่นั่งลำบากเล็กน้อย เพราะเขาไม่มียอดฝีมือนั่งอยู่ในสนาม จึงรู้สึกไม่มั่นคง ดังนั้นจึงหาทุกวิธีการและทำทุกอย่างเพื่อเชิญชวนเยี่ยทียนไปดูการแข่งขันชกมวยใต้ดินให้ได้
เยี่ยเทียนไม่ได้คิดถึงเจตนาความคิดของชิวเหวินตง หลังจากตอบตกลงแล้ว ก็พาโจวเซี่ยวเทียนกลับไป เพราะพ่อของเขาเองก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่บ้าน
เมื่อเห็นลูกชายเข้าบ้าน เยี่ยตงผิงที่เดินวนไปมาอยู่ในลานบ้านเกือบตลอดทั้งวัน ดึงมือของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว เดินไปที่ประตูกลางทางด้านหน้า (ฉวนฮวาเหมิน) กระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน เป็นยังไงบ้าง? พวกเขาเอาเงินกลับมาได้หรือเปล่า?”
เรื่องที่เยี่ยตงผิงถูกคนโกงสามสิบล้านหยวน นอกจากคนสองสามคนที่รู้เรื่องแล้ว ป้าใหญ่ของเยี่ยเทียนและคนอื่นก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งลุงเขยกับป้ารอง
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่น และพูดว่า “พ่อครับ โดนคนพวกนั้นเชิดเงินหนีไปแล้ว”
“อะไรนะ? แบบนี้…แบบนี้จะทำยังไงดี?”
เยี่ยตงผิงตกตะลึงไปพักหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูไม่ได้เลย พลางคิดว่าเงินพวกนั้นไม่ใช่มีแค่ของลูกชายยี่สิบล้านหยวน แต่ยังมีเงินส่วนที่เขาทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิตอยู่ด้วย และทุ่มเข้าไปในนั้นเกือบทั้งหมด
“พ่อครับ มันก็แค่เงินไม่กี่สิบล้าน มีลูกชายอยู่ทั้งคน พ่อยังจะกลัวทวงกลับมาไม่ได้อีกหรือ?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้เป็นพ่อ ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเศร้าเสียใจไม่น้อย เขารู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้แค่รู้สึกเสียดายแค่เงินเหล่านี้ แต่ที่สำคัญกว่าคือเขาถูกหลอกในคราวนี้ ทำให้ความมั่นใจในตัวเองของพ่อนั้นลดลง
เยี่ยตงผิงส่ายหัวของเขาแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ปีหน้าลูกก็จะแต่งงานกับเสี่ยวหย่าแล้ว นี่เป็นเรื่องด่วนที่จะใช้เงินนะ ไม่ได้การละ พ่อต้องนำของบางส่วนนำออกไปขายแล้ว”
พูดตามตรงแล้ว ถ้าหากจะพูดถึงกระแสเงินสดแล้ว เยี่ยตงผิงไม่สามารถติดห้าสิบอันดับแรกในร้านขายของเก่าของปักกิ่งได้ แต่ถ้าพูดถึงรายได้สุทธิของเขา เขาสามารถติดอันดับหนึ่งในสามอันดับแรกได้
ต้องรู้ว่า เยี่ยตงผิงเล่นของเก่ามานาน และราคาของของเก่าในเวลานั้นราคาต่ำจนน่าตกใจ เขาได้จัดเก็บของดีๆ มากมายในยุคนั้นซึ่งมีโบราณวัตถุระดับชาติมากมาย
เพียงแต่เยี่ยตงผิงมักจะยึดมั่นในหลักการที่รับเข้า ไม่นำออกขายมาโดยตลอด และของที่เขาขายนั้นก็เป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่มีค่ามากนัก ในคลังสินค้าของเขา เขาซ่อนของเก่าหลายชิ้นที่มีมูลค่ากว่าสิบล้านเอาไว้
“พ่อครับ นั่นคือสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมาทั้งหมดเลยนะ พ่ออย่าเพิ่งขายเลย ให้เวลาผมครึ่งปี ถ้ายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ พ่อค่อยลองคิดดูอีกที”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ดึงการ์ดออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วพูดว่า “มีหนึ่งล้านในนี้ รหัสผ่านคือ 123456 พ่อเอาไว้ใช้ก่อน ถ้าแม่กลับมา พ่อจะได้ไม่เสียหน้า “
การดำเนินงานของซ่งเฮ่าเทียนมีประสิทธิภาพสูงมาก วันที่สองหลังจากที่เขาตกลงรับเงื่อนไขสามข้อของเยี่ยเทียน หนังสือพิมพ์ที่ฮ่องกงก็ตีพิมพ์แถลงการณ์ขอโทษในนามของซ่งจือเจี้ยน ซึ่งยึดพื้นที่ไปครึ่งหน้าของหนังสือพิมพ์
คำแถลงการณ์นี้ทำให้เกิดความฮือฮาในฮ่องกงไม่น้อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลเยี่ยเป็นครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน ในแถลงการณืนี้มีเพียงถังเหวินหย่วนและไม่กี่คนที่รู้และเข้าใจ
ในเวลาเดียวกันซ่งเฮ่าเทียนยังสื่อสารกับลูกสาวของเขาด้วย บอกว่าเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของเธออีกต่อไป รวมถึงกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์เหล่านั้นที่อยู่ภายใต้ชื่อของเธอ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ซ่งเวยหลันตัดสินใจกลับประเทศก่อนตรุษจีน
เยี่ยเทียนรู้ดีว่า พ่อของเขาเป็นกังวลและเร่งรีบที่จะขายของรักของหวงเหล่านั้น เพราะยังมีปัจจัยก็คือแม่ของเขากำลังจะกลับมายังประเทศจีน พ่อเป็นคนรักหน้าตา และเขาไม่ต้องการให้ภรรยาดูแคลนตัวเอง
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็คลายกำปั้นของเขา พูดว่า “เอาล่ะ ลูกพ่อ ลูกวางใจได้ พ่อจะต้องหาเงินเหล่านั้นกลับคืนมาให้ได้!”
“พ่อครับ ผมเชื่อว่าพ่อต้องทำได้อย่างแน่นอน พอละนะ ผมขอกลับไปที่บ้านแล้วนะครับ ศิษย์พี่ใหญ่อาจจะกลับมาวันนี้”
เมื่อเดินไปที่ประตูของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็หันกลับมา ยิ้มและพูดว่า “พ่อครับ ผมขอพูดกับพ่ออีกประโยคหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรอย่าเอาเงินไปเทียบกับแม่เลยนะ เพราะพ่อจะพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!”
“รีบไปเลย พ่อของแกดูเหมือนเป็นพวกเกาะผู้หญิงกินหรือไง?” เยี่ยตงผิงจ้องมองลูกชายของเขา แต่ความซึมเศร้าในใจของเขาก็ลดลงอย่างมากด้วยประโยคนี้
เมื่อกลับมาที่เรือนสี่ประสาน โก่วซินเจียก็อยู่ที่ลานบ้านกำลังคุยอยู่กับหูหงเต๋อ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนและลูกศิษย์ของเขาทั้งสองเดินเข้ามา จึงอดยิ้มพูดไม่ได้ว่า “ช่วงนี้ศิษย์น้องโชคไม่ค่อยดีเลยนะ เหมือนว่าจะได้เสียทรัพย์ แต่ก็อย่าโกรธจนเกินไปล่ะ”
“ศิษย์พี่ พี่รู้เรื่องช้าไปนะ” เยี่ยเทียนนั่งอยู่ในลานบ้านพร้อมกับยิ้มพูดว่า “ เป็นยังไงบ้าง? คุยกับคนแก่คนนั้นสนุกไหม?”
“เจ้าเด็กคนนี้ ยังไรก็ตามเหวินซวนก็เป็นตาของเธอนะ อย่าเรียกเขาอย่างนั้นสิ”
โก่วซินเจียมองศิษย์น้องของเขาอย่างจนปัญญา และพูดว่า “เหวินซวนเล่าเรื่องเกี่ยวกับปีนั้นให้ฉันฟัง ตอนนั้นยังมีผู้อาวุโสในตระกูลซ่งอีกหลายคน แรงกดดันของเขาจึงมีมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างลุงสองของเหวินซวน หลังจากที่รู้เรื่องพ่อแม่ของเธอแล้ว จึงยิ่งไม่ยอมและไม่ให้อภัย เกือบตัดขาดออกจากตระกูลซ่งในประเทศจีนแล้ว ดังนั้นปู่ของเธอจึงส่งแม่ของเธอไปต่างประเทศ “
เมื่อครอบครัวมีขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่คนคนเดียวจะสามารถพูดและตัดสินใจเองได้อีกต่อไป ซ่งเฮ่าเทียนในเวลานั้น ไม่สามารถพูดอะไรกับสกุลซ่งได้ และเหนือกว่าเขายังมีบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอีกหลายท่าน
การแต่งงานของซ่งเวยหลันและเยี่ยตงผิง จึงได้รับการคัดค้านที่ใหญ่หลวง โดยมาจากญาติผู้ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลและลุงสองของซ่งเฮ่าเทียนที่เสียชีวิตในคุก ซ่งเฮ่าเทียนถูกบีบจนไม่มีทาง จึงคิดวางแผนให้ซ่งเวยหลันออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ตามทำผิดก็คือผิด ความเสียหายที่เกิดกับวัยเด็กของเยี่ยเทียนก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถชดเชยได้เช่นกัน ด้วยสถานะของซ่งเฮ่าเทียนเขาไม่สามารถอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังได้อย่างแน่นอน จึงใช้คำพูดของโก่วซินเจีย เพื่อถ่ายทอดแก่เยี่ยเทียนให้ทราบถึงความความทุกข์ทรมานของเขา
“ ศิษย์พี่ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ผมมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาจากศิษย์พี่”
เรื่องของเยี่ยเทียนและตระกูลซ่งถือได้ว่าสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนที่แม่ของเขาจะกลับมาจึงไม่ต้องการพูดถึงมันอีก รีบโบกมือพูดว่า “ศิษย์พี่ ที่จังหวัดกั้น ในยุทธภพตอนนั้น มีคนแซ่จี๋ไหม?”
เยี่ยเทียนได้รู้จากปากของเปาเฟิงหลิง ว่าพี่ใหญ่จี๋คนนี้มีพรรคพวกอยู่บ้าง การทำนายเสียงโชคนนั้นแม่นยำมากกว่าใครๆ และกำลังภายในของเขานั้นเก่งกาจมาก จากการทำนายนี้ จึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนในยุทธภพจริง
“แซ่จี๋? ไม่มี…”
โก่วซินเจียจ้องมองโจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า ” ยุทธภพในพื้นที่จังหวัดกั้นถูกปกครองโดยอำนาจของตระกูลโจว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเซี่ยวเทียน
แต่คนที่ขโมยมรดกในบ้านของเซี่ยวเทียนล้วนเป็นศิษย์ที่ไม่ได้เรื่อง ในเวลานั้นฉันได้ฆ่าพวกเขาไปสองคน และคนอื่น ที่เหลือก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนกัน…”
การสืบทอดของตระกูลโจวนั้นมีพื้นฐานมาจากบรรพบุรุษของโจวเซี่ยวเทียน ในตอนปลายของราชวงศ์ชิงมีปัญหาภายในตระกูล และมรดกนั้นกลับตกเป็นของคนนอกตระกูล ทำให้ปู่ของเซี่ยวเทียนถูกบังคับให้ออกไปจากบ้านเกิด
เพียงแต่คนนอกตระกูลที่ได้สืบทอดไปเป็นคนที่คิดคด ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเขาใช้มันอย่างเปิดเผย และให้การช่วยเหลือญี่ปุ่นทำลายราชวงศ์ชิงแตกสลายรวมกันคนในยุทธภพและพรรคเชียนในจังหวัดกั้น
ในเวลานั้น โก่วซินเจียนำคนในยุทธภพจากทุกส่วนของที่ราบภาคกลางต่อสู้ฆ่าฟันกับตระกูลโจวสายนั้น แม้ว่าหลายคนถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังมีบางคนที่หนีออกมาได้
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโจวเซี่ยวเทียน โก่วซินเจียไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย หากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนถามเกี่ยวกับยุทธภพในจังหวัดกั้น เขาจะไม่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา
หลังจากฟังเรื่องนี้จบ ตาของโจวเซี่ยวเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที เขาไม่คิดเลยว่าตระกูลโจวจะเคยมีคนทรยศ ทำให้โจวเซี่ยวเทียนผู้ซึ่งมีความภูมิใจในบรรพบุรุษโจวตุนอี๋มาตลอดนั้นรู้สึกยากที่จะยอมรับได้
เมื่อเห็นน้ำในตาของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็ตบที่ไหล่ของเขา และพูดว่า “เซี่ยวเทียน พวกหมาเห่าใบตองแห้งมีอยู่มากมายในยุทธภพ จะว่าไปแล้วคนพวกนี้เขาขโมยมรดกบรรพบุรษของนายไป มันไม่เกี่ยวข้องกับสายเลือดของนายมากหรอก”
“แซ่จี๋ ไม่เคยได้ยินแซ่นี้ในยุทธภพนะ”
ในขณะที่เยี่ยเทียนกำลังปลอบโยนศิษย์น้องของเขา ตาของโก่วซินเจียก็สว่างขึ้นมา และพูดว่า “ศิษย์น้อง เธอดูคำว่าโจวถ้าเอากรอบออก จะอ่านว่าอะไร?”
“คำว่าโจวเอากรอบออก? อย่างนั้น…อย่างนั้นก็คือคำว่าจี๋ใช่มั้ย?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกใจ “ศิษย์พี่ ความหมายของพี่คือคนที่หลอกเงินของฉัน คือลูกหลานของตระกูลโจวเหรอ?”
โก่วซินเจียพยักหน้า และพูดว่า “บรรพบุรุษพวกเขาเป็นคนทรยศ พวกเขาจึงไม่กล้าใช้แซ่เดิม ถ้าคนๆ นี้แซ่จี๋และยังเป็นคนในยุทธภพอีก มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”
“บ้าเอ้ย นี่เป็นหายนะที่แท้จริง”
เยี่ยเทียนมองไปที่ลูกศิษย์ และพูดว่า “เซี่ยวเทียน นายสามารถมั่นใจได้ เมื่อไหร่ที่ได้พบพี่ใหญ่จี๋ ฉันจะพานายไปด้วย ถ้าเป็นมรดกการถ่ายทอดของตระกูลโจวจริงๆ จะเป็นวันที่สิ่งของกลับไปยังเจ้าของเดิม!”
“ครับ อาจารย์ ผมจะเชื่อฟังอาจารย์ครับ” โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ ใช่แล้ว ศิษย์พี่ เหล่าหู มีการแข่งขันชกมวยในค่ำคืนนี้ ทุกคนอยากไปดูไหม?” เยี่ยเทียนมองดูเวลาจวนจะหนึ่งทุ่มแล้ว คาดว่าไม่นานชิวเหวินตงจะขับรถมารับตัวเอง
หลังจากฟังเยี่ยเทียนเล่าการแข่งขันชกมวยเสร็จ โก่วซินเจียจึงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ฉันไม่ไปด้วยดีกว่า เธอพาสองคนนี้ไปเถอะ ศิษย์น้องเล็ก ในตัวเธอมีพลังพิฆาตมากเลยนะ ฉะนั้นในตอนกลางคืนก็อย่าได้ลงมือเลย”
ในระหว่างการสนทนา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลังจากรับโทรศัพท์ เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียจึงร่ำลากัน พาหูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนออกจากเรือนสี่ประสานไป
…..