หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 461 แยกสังขาร
ปีนี้จางซานอายุสามสิบหก เป็นคนจี้เป่ย เหยาหยาง และเป็นสถานที่ส่งเสริมการสอนเพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยว ในยุคปัจจุบันอีกด้วย สมัยหนุ่มเขาเป็นคนชอบชกต่อยตี มีครั้งหนึ่งที่เกิดเหตุทะเลาะวิวาทจากการเมาสุรา เขาเคยควักลูกตาของคนๆ หนึ่งออกมา หลังจากถึงได้รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ
ตั้งแต่นั้นมา จางซานก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางการหลบหนี และได้สร้างชื่อเสียงไว้ในยุทธภพอย่างรวดเร็ว จากพละกำลังที่มีมากกว่าคนปกติ เนื่องจากคดีที่ก่อไว้ในปีนั้น ทำให้จางซานไม่กล้าใช้ชื่อจริงของตัวเอง แม้แต่ฝีมือการต่อสู้ที่แท้จริงของตนเองก็ไม่กล้าแสดงให้ใครเห็น
แต่หลังจากเมื่อสองปีก่อนที่เขาเข้าสู่โลกมวยใต้ดิน ชีวิตของจางซานก็เปลี่ยนไปอย่างโกลาหลอลหม่าน ไม่รู้ว่าจู้เหวยเฟิงใช้ความสามารถอะไรในการลบคดีที่ติดตัวเขามา ทำให้จางซานสามารถกลับบ้านเกิดอย่างเปิดเผยได้เป็นครั้งแรกในชีวิต
ตอนนี้ค่าตัวของจางซานก็สูงถึงหลายแสน ถ้าออกจากโลกมวยใต้ดินไปชีวิตอย่างธรรมดา เขาก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าเขาอยากจะตอบแทนจู้เหวยเฟิง จึงยังอยู่ที่สนามมวยเรื่อยมา
แน่นอน จู้เหวยเฟิงได้ตั้งเงินรางวัลที่สูงมาก และก็เป็นสาเหตุการขึ้นชกของจางซานครั้งนี้ เพราะถ้าเขาชนะนัดนี้ เขาจะได้เงินห้าแสน ถึงแม้ว่าแพ้เขาก็ยังมีค่าขึ้นชกอีกสองแสน นี่ก็เป็นสิ่งที่จางซานยากที่จะปฎิเสธ
เนื่องจากประสบการณ์ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในยุทธภพหรือตอนที่ชกมวยใต้ดินก็ตาม เขาไม่เคยใช้กังฟูที่แท้จริงของเขาเลยสักครั้ง นี่เป็นความลับของเขา ขณะเดียวกันก็เป็นท่าไม้ตายเพื่อปกป้องชีวิตของเขาอีกด้วย เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้อย่างอันเดรวิช จางซานจึงได้นำมันออกมาใช้จนได้
ลมแรงหนึ่งวูบทะลุออกจากนิ้วของจางซาน อย่าว่าแต่ดวงตาหนึ่งคู่เลย แม้แต่แผ่นไม้หนึ่งแผ่นจางซานก็สามารถควักเป็นรูออกมาได้เหมือนกัน คนที่แกร่งแค่ไหนถ้าต้องสูญเสียดวงตา ก็จะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ได้
จางซานแสยะยิ้มออกมา ในสมองของเริ่มคิดถึงภาพที่อันเดรวิช กำลังปิดตาของตนเองและกลิ้งอยู่กับพื้น ส่วนผู้ชมที่อยู่ข้างล่างเวทีก็ถึงกับกลั้นลมหายใจไว้ทุกคน เพราะกำลังจะรู้ผลแพ้ชนะ..
“เพี๊ยะ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงคมชัดดังออกมาจากเวที เครื่องเสียงและเอฟเฟคที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษทำให้เสียงนั้นชัดเจนมากกว่าปกติ จางซานส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา ร่างกายถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่า
จางซานได้วางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่ท่านี้แล้ว ร่างกายของเขาชิดมาข้างหน้ามากเกินไป ถึงแม้เขาจะถอยไปข้างหลังแล้ว แต่มือขวาของเขาไม่สามารถดึงกลับมาได้ทัน
มือของอันเดรวิชที่ใหญ่ปานพัด ในเวลานี้กลับยืดหยุ่นกระชับและขยับอย่างรวดเร็วผิดปกติ มาจับข้อมือของจางซานไว้ และดึงเข้าข้างใน
ทำให้จางซานตกอกตกใจจนวิญญาณแทบหลุด เขารู้ดีว่ากำลังของตนเองสู้กำลังของอันเดรวิชไม่ได้ ในสถานการณ์ที่เร่งรีบนี้ เขารีบยกตัวขึ้น หัวอยู่ข้างล่าง ขาอยู่ข้างบน สองขาเหมือนกรรไกรบีบเข้าไปที่ขมับทั้งสองข้างของอันเดรวิช
ขมับของนักสู้ เป็นหนึ่งในจุดที่เปราะบางที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย จางซานต้องการบีบบังคับให้อันเดรวิชคลายมือออกจากการจับมือข้างนั้นของเขา แล้วจะถอยห่างออกจากเวทีมวย ตอนนี้เขาถูกทำให้ตกใจจนเสียขวัญโดยอันเดรวิช และไม่มีความคิดที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ในวันนี้ เกินความคาดหมายของจางซานไปมาก เดิมทีเขานึกว่าอันเดรวิชจะใช้มือปัดป้องนึกไม่ถึงว่าเขาจะรับการโจมตีของจางซานได้โดยไม่ขยับ ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ปลายเท้าของจางซานก็ได้แตะขมับของอันเดรวิชแล้ว
“นี่…นี่โง่ไปแล้วหรือเปล่า?”
ขณะที่เตะโดนฝ่ายตรงข้าง ใจของจางซานได้รู้สึกถึงความไร้สาระมากที่สุดอย่างหนึ่ง ในความคิดของเขา ไม่มีนักสู้ผู้กล้าคนใดกล้าที่จะยื่นขมับอันเป็นจุดอันตรายให้กับคู่ต่อสู้
ประสบการณ์การต่อสู้ของจางซานนั้นมีมากมาย คิดว่ากำลังจะเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้แล้ว ขณะที่สองเท้าของเขาเริ่มเคลื่อนลงไป เขารวบขาเกี่ยวคอของอันเดรวิชไว้ เขาต้องการใช้กำลังส่วนขาของเขาหักคอของอันเดรวิช
แต่ว่าใบหน้าของจางซานอยู่ในทิศทางคว่ำหน้าสู่พื้น เขาไม่สามารถเห็นสีหน้าของอันเดรวิชได้เลย ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกผิดต่อการตัดสินใจของเขาอย่างแน่นอน
และแน่นอน จางซานเองก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้สึกผิดได้อีกแล้ว
ขณะที่ขาคู่ของจางซานหนีบคอของอันเดรวิชเอาไว้ มือใหญ่ปานพัดคู่หนึ่งก็ได้มาจับที่ข้อเท้าของจางซานเอาไว้ อันเดรวิชเองแสยะยิ้มออกมา พร้อมกับเลือดสด ๆที่ไหลออกมาจากหน้าผาก ตอนนี้เขาดูเหมือนปีศาจที่ออกมาจากนรก
“ทำ…..ทำไมเขาไม่เป็นอะไรเลย?”
นี่คือสิ่งที่จางซานคิดและเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลือเอาไว้ และในขณะที่เขาเริ่มรู้ว่ามันผิดปกติ กระดูกสะโพกของจางซานถูกแรงขนาดใหญ่อันหนึ่งฉีกออก ความเจ็บปวดสูงสุดส่งไปถึงสมองของจางซาน ระบบความคิดเขาก็เริ่มเข้าสู่ความมืด
ความแข็งแกร่งปานหมีขั้วโลกเหนืออย่างอันเดรวิช ตอนที่จับขาทั้งสองข้างของจางซานเอาไว้ เขาไม่ได้หยุดเลยสักนิด สองมือยกขึ้นสู่ฟ้า และกางออกไปอย่างรุนแรง เขาใช้แค่แรงแขนยกทั้งตัวของจางซานขึ้นและฉีกออกจากตรงกลาง
อวัยวะภายในและเลือดสดสาดเต็มท้องฟ้า ทันใดนั้นก็เลอะเต็มหัวและหน้าของอันเดรวิช เขาเหมือนคิงคองที่อาบถังเลือด มือทั้งสองข้างยังคงดึงร่างกายครึ่งท่อนเอาไว้ ยกขึ้นและโห่ร้องเป็นเสียงยาว จนผู้คนที่อยู่รอบๆ รู้สึกแสบแก้วหู
ความเจ็บปวดที่จางซานไม่อาจสัมผัสได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในตอนนี้ นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว ทุกคนในสนามต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด เพียงครู่เดียวไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีหรือคุณหนูต่างก็หน้าขาวซีด
และมีบางคนทนเห็นภาพนี้ไม่ไหว ไม่สนเรื่องหน้าตาแล้ว อาเจียรออกมาตรงนั้นเลย พวกเขาเพิ่งจะรู้ครั้งแรกว่า การแสวงหาความตื่นเต้นนั้นต้องมีใจที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก
สนามมวยใต้ดินทั้งหมดในตอนนี้ ได้เข้าสู่สถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว บางคนถึงขั้นลุกยืนขึ้นและวิ่งไปที่ลิฟต์ พวกเขากลัวว่าอันเดรวิชจะเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา และฉีกตนเองให้ตายเหมือนเป็นแค่ไก่ตัวเล็กๆ
สำหรับบางคนที่คาดว่าจะไม่รู้สึกอะไร เพราะชอบแสวงหาความตื่นเต้นอยู่แล้ว พอเห็นภาพโชกเลือดคราวนี้อยู่ตรงหน้า น่าจะต้องโห่ร้องให้กับอันเดรวิช?
แต่การรับได้ของคนเรานั้นมีขีดจำกัด พวกเขาสามารถรับได้ที่คนเป็นถูกตีจนตาย สามารถรับได้ที่แขนขาหัก แต่การที่คนเป็นๆ ถูกฉีกออกเป็นสองท่อนจนอวัยวะภายในกระจัดกระจายอยู่เต็มเวทีและข้างล่างเวทีเช่นนี้ มันมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้
การรับไม่ได้มากเกินขีดจำกัด สิ่งที่จะตามมาก็คือการเสียสติ โดยเฉพาะคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย เริ่มส่งเสียงร้องไห้ ยิ่งเป็นการเพิ่มการเสียสติมากขึ้น เดิมทีบางคนยังพอรับได้ แต่เพราะเสียงร้องไห้จึงกระตุ้นให้รับไม่ได้และร้องเสียงหลงออกมา
เพียงครู่เดียว สนามมวยก็เกิดความวุ่นวาย ไม่มีใครสามารถแยกแยะได้เลยว่าเสียงโห่ร้องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น เป็นเสียงยินดีให้กับอันเดรวิช หรือเป็นการระบายความกลัวภายในใจของตนเอง
“เงียบ ขอให้ทุกคนเงียบก่อน คุณอันเดรวิชเป็นนักมวยอาชีพ เขาจะไม่ทำร้ายทุกคน ขอให้ทุกคนสงบลงก่อน!”
พิธีกรชายอายุสี่สิบกว่าคนนั้นก็ได้ยืนขึ้น แต่เขาก็ยืนห่างจากเวทีเช่นกัน ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพิธีกรมวยใต้ดินมาแล้วสามปี เขาก็ยังรู้สึกขาอ่อน รวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ชายผู้เหมือนปีศาจคนนั้น
จากเสียงตะโกนของพิธีกร ผู้รักษาความปลอดภัยที่ถือปืนเอาไว้กว่ายี่สิบคน ออกมายืนตามมุมต่างๆ ของสนาม การปรากฎตัวของพวกเขาทำให้คนที่ใกล้เสียสติเริ่มสงบลง เพราะคิดว่า แรงสู้ของคนจะดุดันแค่ไหน ก็คงไม่สามารถสู้กับอาวุธปัจจุบันได้
หลังจากที่คนพวกนี้ออกมาแล้ว ร่างของอันเดรวิชที่อยู่บนเวทีกำลังสั่นจนเลือดสด ๆ จากร่างกายของจางซานสาดออกเต็มไปหมด แต่ในที่สุดเขาก็ดูเหมือนเขาจะสงบลง ทิ้งร่างทั้งสองท่อนลงไป แล้วเขาก็ยืนนิ่ง ๆ อยู่กลางเวทีมวย
“คนๆ นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้กับอาวุธปืนด้วยมือเปล่ามาแล้ว!”
หลังจากเห็นสิ่งที่อันเดรวิชทำ เยี่ยเทียนตกตะลึง เพราะการแสดงของอันเดรวิชเมื่อสักครู่เหมือนกับเขาทุกอย่าง ในตอนที่ถูกปืนชี้ การตอบสนองแรกของเขาคือต้องฆ่าคนพวกนั้นให้หมดเพื่อที่จะปกป้องตัวเองให้ได้
ถ้าเริ่มพูดจากจุดนี้ เยี่ยเทียนกับอันเดรวิชก็เป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเขายินยอมกุมชะตาชีวิตไว้กับตัวเองเท่านั้น การกระทำใดๆ ที่เขามองว่าถูกข่มขู่ จะนำมาสู่การโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตได้
แต่ในตอนนั้นเยี่ยเทียนตกอยู่ในสถานการณ์ในป่า ส่วนอันเดรวิชกลับกำลังเผชิญหน้ากับอาวุธปืนยี่สิบกว่ากระบอก ถ้าหากว่าเขามีสิ่งผิดปกติจริง เกรงว่าเพียงครู่เดียวก็ถูกยิงจนเป็นรูพรุน การนิ่งไม่ขยับ เป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด
ผู้ติดตามยุโรปสองคนของอันเดรวิช ตอนนี้ได้ข้ามเชือกเวทีเข้าไปแล้ว คนหนึ่งถือถังน้ำ ส่วนอีกคนใช้ผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดแผลบนหน้าผากของอันเดรวิช
แต่ในเวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของอันเดรวิชเต็มไปด้วยเลือด น้ำหนึ่งถังเทลงจากหัวเสร็จ พื้นเวทีมวยก็กลายเป็นสีแดงไปทั้งหมด ผสมกันเป็นสายน้ำเลือด ค่อย ๆ ไหลลงมาจากเวทีมวย
ถ้าพูดตามหลักของเหตุผลแล้ว การทำความสะอาดบาดแผลนั้นจะต้องไปทำที่ห้องรับรอง แต่อันเดรวิชยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ไม่มีใครกล้าพูดให้เขาลงไป คนยุโรปสองคนนั้นยังส่งสัญญาณให้แบกน้ำอีกสามถังถูกขึ้นไปบนเวที และราดลงที่หัวของเขา
หลังจากที่รอยเลือดบนหัวค่อยๆ ถูกล้างออกไป บางคนก็เห็น มีแผ่นเนื้อหนึ่งบนหน้าผากของอันเดรวิชถูกฉีกออกมาสดๆ ผู้ชมเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้การโจมตีของจางซานท่านั้นก็ทำให้อันเดรวิชได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
สำหรับจุดนี้ เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อนั้นดูออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสามารถของอันเดรวิชแข็งแกร่งก็จริง แต่กังฟูปลายนิ้วของจางซานเองก็ไม่ควรดูถูก หากไม่ใช่เพราะเขาก้มหัวได้ทันเวลา ผลแพ้ชนะของรอบนี้ก็ยากที่จะคาดเดาได้เช่นกัน
……