หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 462 ค่ายฝึกมรณะ
มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพกพาอาวุธปืนเข้ามาในนั้นอีกยี่สิบกว่าคน เสียงของพิธีกรก็ฟังดูเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้อง ร้องบอกอันเดรวิชที่อยู่บนเวทีประลองเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณอันเดรวิชครับ เชิญลงมาพักผ่อนสักครู่ก่อนนะครับ!”
อันเดรวิชพยักหน้าเบาๆ หันกายลงไปจากเวที แล้วเดินกลับไปที่ห้องพักผ่อนพร้อมกับผู้ดูแลสองคนที่ติดตามมาด้วย
จนกระทั่งตอนนี้ บรรดาผู้ชมที่มุงดูกันอยู่นั้นถึงจะโล่งอกไปได้อย่างแท้จริง และเริ่มกระซิบกระซาบวิจารณ์กันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ต่อให้เป็นพวกที่ลงพนันไว้กับอันเดรวิช สีหน้าก็ยังดูหวาดผวายิ่งกว่าที่จะดีใจเสียอีก
อันเดรวิชใช้ความโหดเหี้ยมของเขา ทำให้ทุกคนที่อยูในเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างตื่นตระหนกกันไปหมด ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เวทีมวยใต้ดินเริ่มเปิดทำการมา
จู้เหวยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียน ขณะนี้ก็มีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง สาเหตุที่เขาส่งจางซานออกไปเป็นคนแรกก็เพราะเขาเห็นว่าจางซานเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว ต่อให้สู้อีกฝ่ายไม่ได้ ก็คงถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย
แต่จู้เหวยเฟิงนึกไม่ถึงเลยว่า อันเดรวิชจะอันตรายยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้มากนัก พอจางซานรุกเข้าไป ก็ถึงกับถูกอีกฝ่ายฉีกเป็นสองซีกทั้งเป็นทันที นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าจู้เหวยเฟิงฉาดหนึ่งอย่างแรง
สำหรับการแข่งขันต่อจากนี้ไป จู้เหวยเฟิงก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน เขารู้ขีดความสามารถของนักมวยเหล่านั้นดี พวกนี้ยังเคลื่อนไหวสู้จางซานไม่ได้เลย ถ้าต้องไปเผชิญกับอันเดรวิชละก็ สงสัยแค่ไปยืนประจันหน้ากันยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ส่งคนออกไปก็เท่ากับส่งไปตายทั้งเป็น แต่ถ้าไม่มีใครสู้กับอันเดรวิชได้ละก็ จู้เหวยเฟิงก็จะต้องจ่ายเงินรางวัลผู้ชนะเลิศสิบตาติดต่อกันให้เขาไปหลายสิบล้าน และเวทีมวยของเขานี้ก็จะกลายเป็นที่เย้ยหยันในวงการ การพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้นั้นสำหรับเวทีมวยใต้ดินที่มีสมรรถภาพแห่งหนึ่งแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายจริงๆ
และอันเดรวิชก็โหดเหี้ยมอำมหิตจนบรรดานักมวยของเวทีมวยใต้ดินแห่งนี้ต่างก็ไม่มีความกล้าที่จะปะทะกับเขาเหลืออยู่อีกแล้ว จนกระทั่งตอนนี้จู้เหวยเฟิงถึงเพิ่งจะเข้าใจคำพังเพยที่ว่า อัญเชิญเทพมานั้นง่าย ส่งเทพกลับไปนั้นยากแล้ว
“เหล่าหู คุณรู้ไหมว่าเจ้าคนต่างประเทศนี่มันไปฝึกฝนมายังไงกันแน่?”
อันเดรวิชจะแพ้หรือชนะก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยเทียนเลย ขณะนี้เขากำลังกระซิบคุยกับหูหงเต๋อเรื่องการประลองเมื่อครู่ เมื่อเยี่ยเทียนเห็นความโหดเหี้ยมของอันเดรวิชแล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่เหมือนกัน
“ฉันเคยได้ยินคนพูดกันว่า ไอ้พวกผีฝรั่งนี่น่ะผ่านการฝึกมาในสถานที่ที่มีแต่หิมะและน้ำแข็ง สภาพแวดล้อมโหดร้ายเป็นที่สุด ส่วนรายละเอียดนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หูหงเต๋อสีหน้าเคร่งเครียด เขาเองก็รู้สึกตื่นตระหนกกับสภาพร่างกายอันเหนือมนุษย์ของอันเดรวิชเช่นกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาขึ้นไปต่อสู้ละก็ หูหงเต๋อก็คงไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะอันเดรวิชได้เลย เพราะเขาไม่รู้ว่าพลังลมปราณแฝงของตัวเองจะใช้กับไอ้คนวิปริตนี่ได้ผลหรือไม่?
“ประวัติของมันน่ะผมรู้อยู่”
เมื่อจู้เหวยเฟิงซึ่งมีสีหน้าย่ำแย่มาตลอดได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อ ก็ถอนใจแล้วบอกว่า “มันมาจากค่ายฝึกไซบีเรีย เมื่อก่อนเป็นครูฝึกทหารในกองกำลังพิเศษของอดีตสหภาพโซเวียต ตอนหลังพอโซเวียตล่มสลาย ครอบครัวถูกพวกคนถ่อยสังหารอย่างเหี้ยมโหด อุปนิสัยของอันเดรวิชก็เลยเปลี่ยนไปมาก ฆ่าคนไปรวดเดียวยี่สิบเจ็ดคน ถ้าไม่ใช่เพราะมันเคยมีผลงานทางการทหารที่ยอดเยี่ยมมาก่อน สงสัยคงโดนโทษประหารยิงเป้าไปนานแล้วละ”
“ค่ายฝึกไซบีเรีย? นั่นมันสถานที่แบบไหนกันแน่น่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วอึ้งไป วันนี้เขาได้ยินชื่อนี้มาสองครั้งแล้ว
“มันเป็นนรกเลยละ…”
จู้เหวยเฟิงสีหน้าย่ำแย่ลงไปอีก และลดเสียงพูดให้เบาลง “ค่ายฝึกไซบีเรียเป็นฐานบัญชาการฝึกหน่วยทหารพิเศษที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ หน่วยทหารพิเศษที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดในปัจจุบันของแต่ละประเทศต่างก็ผ่านการฝึกฝนมาจากที่นั่นแทบทั้งนั้น รวมถึงประเทศจีนด้วย…”
เนื่องจากไซบีเรียตั้งอยู่ในบริเวณที่อากาศหนาวอย่างร้ายแรง อุณหภูมิมักจะติดลบถึงสี่สิบองศา สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง เป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์ แต่สำหรับกลุ่มคนผู้ปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ไซบีเรียกลับเรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติเลยทีเดียว
ในสมัยแรกนั้น ไซบีเรียเป็นเพียงฐานบัญชาการฝึกอบรมหน่วยทหารพิเศษของอดีตสหภาพโซเวียต และมีมาตรการรักษาความลับที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง จึงไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนภายนอกเลย
แต่เมื่ออดีตสหภาพโซเวียตล่มสลายลง ระบบการเงินของรัสเซียก็เกือบจะพังทลายไปด้วย จึงไม่สามารถให้การสนับสนุนฐานบัญชาการฝึกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่างน่าตะลึงแห่งนั้นต่อไปได้อีก คนที่อยู่ในค่ายฝึกจำนวนมากต่างถอนตัวออกจากกองทัพ หรือไม่ก็ไปเป็นทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ไปเป็นนักฆ่า
คนที่มาจากค่ายฝึกไซบีเรียเหล่านี้ ต่างก็กลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นในแวดวงของตนเองกันทุกคน ด้วยเหตุนี้ม่านที่ปกคลุมความลับของค่ายฝึกไซบีเรียไว้จึงได้เปิดออกสู่โลกภายนอก วิธีการฝึกฝนของที่นี่ก็ได้แพร่หลายออกมาด้วย
แต่การฝึกฝนแบบนี้ จะต้องอาศัยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันทารุณของไซบีเรีย จึงมีหลายประเทศไปเจรจาตกลงทำสัญญากับทางรัสเซียว่า ประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนทุนในการสร้างค่ายฝึกไซบีเรียขึ้นมาใหม่
ค่ายฝึกไซบีเรียที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ ไม่ได้เป็นของรัสเซียแต่เพียงประเทศเดียวแล้ว ทางค่ายได้ว่าจ้างครูฝึกสอนในอดีตมา เพื่อฝึกอบรมกองกำลังพิเศษจากประเทศต่างๆ ในค่ายฝึกนี้ แทบจะเห็นมนุษย์ได้ครบทุกสีผิว ตั้งแต่คนผิวขาว ผิวเหลือง ไปจนถึงผิวดำ แม้กระทั่งชนพื้นเมืองอเมริกันก็ยังมี
แต่ทุกครั้งที่จะส่งคนเข้าไปฝึกสักคนหนึ่ง ประเทศต้นทางก็จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเป็นเงินสูงถึงหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากผ่านไปหลายปี ก็ค่อยๆ เกิดกฏเกณฑ์อย่างหนึ่งขึ้นมาคือ ขอเพียงมีเงิน และผ่านการคัดกรองของค่ายฝึกในขั้นต้นแล้ว ทางค่ายฝึกก็สามารถช่วยอบรมบุคคลให้แก่องค์กรที่ไม่เกี่ยวกับการทหารตามที่ต้องการได้
อย่างเวทีมวยใต้ดินทั่วโลกในปัจจุบัน ก็มักจะส่งนักมวยกลุ่มหนึ่งไปรับการฝึกที่นั่น เพื่อที่จะพัฒนาทักษะการต่อสู้ของตนเอง หรือเพื่อโจมตีเวทีมวยใต้ดินอื่นๆ จู้เหวยเฟิงเองก็เคยเกิดความคิดเช่นนี้ เพียงแต่นักมวยในสังกัดของเขายังมีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของค่ายฝึกมากนัก
ค่ายฝึกไซบีเรียมีอัตราการคัดคนออกสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มผู้เข้าฝึกจำนวนหนึ่งร้อยคนนั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อถึงคราวจบการฝึกก็อาจจะเหลืออยู่เพียงสิบคน
ในบรรดาคนที่ถูกคัดออกไปจำนวนเก้าสิบคนนั้น อย่างน้อยๆ ก็มีสักเจ็ดสิบคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนที่เหลืออีกยี่สิบคนนั้น คาดว่ากว่าครึ่งค่อนก็คงกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต ดังนั้นค่ายฝึกไซบีเรียจึงยังมีอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งก็คือค่ายฝึกมรณะ
แต่ทุกคนที่มาจากค่ายฝึกไซบีเรียนั้น ต่างก็เป็นบุคคลระดับสุดยอดของแต่ละประเทศหรือแต่ละองค์กรกันทั้งนั้น ในฐานะที่อันเดรวิชเป็นครูฝึกที่มีประสบการณ์มากที่สุดในค่ายฝึก นึกดูก็รู้แล้วว่าเขาจะมีความสามารถระดับไหน
“มีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยรึเนี่ย? แล้วทำไมคุณถึงรู้ได้ล่ะ?”
หลังจากฟังจู้เหวยเฟิงเล่าจนจบ หูหงเต๋อก็มองไปที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ ที่จริงคำถามนี้เยี่ยเทียนเองก็อยากถามอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้สนิทสนมกับจู้เหวยเฟิงมากนัก จึงไม่สามารถถามออกไปตรงๆ แบบเดียวกับหูหงเต๋อได้
“ผมเคยไปอยู่ที่นั่นมาหนึ่งปี ก็ต้องรู้อยู่แล้วละ แต่ไม่นึกเลยว่าอันเดรวิชจะมีพลังเหนือกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก…”
จู้เหวยเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่น จนถึงตอนนี้ ภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายที่เกิดขึ้นในค่ายฝึกไซบีเรียก็ยังคงสะท้อนผ่านสายตาของเขาอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของจู้เหวยเฟิงเปิดเผยออกไปแล้ว สงสัยป่านนี้เขาก็คงจะยังกบดานอยู่ในซอกหลืบไหนสักแห่งบนโลกนี้อย่างไร้ชื่อเสียงเรียงนามต่อไป
ในค่ายฝึกไซบีเรียนั้น มีการฝึกอบรมหลากหลายหัวข้อวิชา ซึ่งก็มีระยะเวลาและรูปแบบในการอบรมแตกต่างกันไป
อย่างการอบรมกองกำลังพิเศษ ก็จะต้องใช้เวลานานถึงสามปี และในระหว่างสามปีนี้ ก็จะต้องเผชิญกับอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิตอยู่แทบจะทุกชั่วขณะ ถึงขั้นต้องเข้าร่วมในการสู้รบจริงอีกหลายครั้ง ซึ่งฝ่ายตรงข้ามส่วนมากก็มักจะเป็นกองกำลังส่วนตัวของผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่บางกลุ่ม หลังจากผ่านไปสามปี พวกที่สำเร็จการอบรมออกมาได้นั้น ไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือจิตใจ ก็แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้ากันทุกคน
แต่การอบรมที่จู้เหวยเฟิงได้เข้าร่วมนั้นไม่ใช่วิชาการต่อสู้ตัวต่อตัว แต่เป็นการลอบสอดแนมและทำลายศัตรู ซึ่งต้องใช้ทักษะรอบด้านที่สูงยิ่งกว่าการต่อสู้อย่างทหารเสียอีก
เนื่องจากค่ายฝึกที่จู้เหวยเฟิงเข้าร่วมนี้อยู่แยกคนละส่วนกับค่ายฝึกอื่นๆ เขาจึงประเมินความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวิชาทหารขั้นสูงสุดในค่ายฝึกไซบีเรียต่ำเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่มีทางเชื้อเชิญอันเดรวิชมาเข้าร่วมการประลองมวยใต้ดินที่ตนจัดขึ้นแน่นอน
“สภาพแวดล้อมที่หนาวเหน็บ นับว่าเป็นบททดสอบความมุ่งมั่นของคนที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งจริงๆ!” หูหงเต๋อพยักหน้า เขาดำรงชีวิตอยู่บนภูเขาฉางไป๋ตลอดปี ฤดูหนาวของที่นั่นอุณหภูมิก็ติดลบไปหลายสิบองศาเหมือนกัน เขาจึงรู้ซึ้งในความจริงข้อนี้ดี
“เหวยเฟิง อย่างนั้น…ก็ปล่อยให้อันเดรวิชเป็นแชมเปี้ยนสิบตาไปงั้นน่ะหรือ?” หูจวินที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงแต่ฟังออกว่าจู้เหวยเฟิงกำลังลำบากใจ แสดงว่าตาพี่ใหญ่คนนี้กำลังดูถูกนักมวยในค่ายมวยของตนอยู่ชัดๆ เลย
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ” จู้เหวยเฟิงหัวเราะเฝื่อนๆ ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมตอนนั้นอันเดรวิชถึงได้ตั้งราคาค่าตัวไว้เพียงหนึ่งแสนหยวน ที่แท้มันก็จะมาล่ารางวัลผู้ชนะสิบรอบติดต่อกันนี่เองสินะ?
และก็เป็นเพราะราคาค่าตัวที่อันเดรวิชเสนอมาตอนนั้นนั่นเอง ที่ทำให้จู้เหวยเฟิงประเมินเขาต่ำลงไปมาก แต่จู้เหวยเฟิงนึกไม่ถึงเลยว่า อันเดรวิชได้ดีดลูกคิดไว้อย่างชาญฉลาดอย่างยิ่ง
เมื่อชนะไปรอบแรกก็จะได้สองแสน รอบที่สองก็จะเป็นสี่แสน รอบที่สามก็จะขึ้นไปถึงแปดแสน เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงรอบที่สิบเขาก็จะได้รางวัลเป็นเงินก้อนยักษ์ถึงห้าสิบเอ็ดล้านสองแสนไป
เงินรางวัลจำนวนห้าสิบกว่าล้านนี้ จู้เหวยเฟิงก็ยังพอจะจ่ายไหวอยู่ แต่ประเด็นคือถ้าปล่อยให้คนต่างชาติคนหนึ่งคว้ารางวัลผู้ชนะสิบรอบจากค่ายเวทีมวยใต้ดินในประเทศไปได้ แล้วเรื่องนี้แพร่ออกไปละก็ เวทีมวยใต้ดินของประเทศจีนก็คงจะไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปากในต่างประเทศอีกแล้ว
ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน อันเดรวิชก็กลับมาที่สนามประลองอีกครั้ง นอกจากตรงหน้าผากที่แปะพลาสเตอร์ปิดแผลสองอันเป็นรูปกากบาทแล้ว อันเดรวิชก็ไม่ได้มีตรงไหนแตกต่างไปจากเมื่อครู่เลย เขาขึ้นไปยืนบนเวทีราวกับภูเขาไฟที่กำลังสงบตัว ไม่รู้ว่าจะปะทุออกมาอีกเมื่อไร
แม้จะไม่เต็มใจเลย แต่พิธีกรคนนั้นก็ยังคงขึ้นไปยืนบนเวทีมวย ทว่ากลับเว้นระยะห่างจากอันเดรวิชไว้พอสมควร แล้วอ่านชื่อนักมวยในใบรายชื่อที่จะได้ประลองกับอันเดรวิชเป็นคนต่อไป
แต่หลังจากประกาศชื่อออกไปได้สามนาที ก็ยังไม่มีใครออกมาจากประตูห้องพักผ่อนของนักมวยคนนั้นเลย ซึ่งก็หมายความว่านักมวยคนนั้นสละสิทธิ์ในการประลองกับอันเดรวิชแล้ว
เมื่อบรรดาผู้ชมที่นั่งล้อมรอบสนามเห็นนักมวยคนที่สองทิ้งการแข่งไปอย่างนั้น ก็พากันบ่นออกมาเสียงดังเซ็งแซ่ ทำให้สีหน้าของจู้เหวยเฟิงยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม
……