หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 468 แขนขาด
ฝูเจ๋อเหลียงแม้จะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว แต่คาโต้ ทาคุมิกลับมีประสบการณ์มากกว่า จึงรู้ข้อแตกต่างระหว่างทวนยาวและดาบซามูไร หลังจากฟันลงไปหนึ่งดาบแล้ว ร่างก็ตามติดไปราวกับหนอนตอมซาก สองมือถือดาบซามูไรฟันออกไปอีกสามดาบปานสายฟ้าแลบ
“เคร้ง…เคร้งๆ!”
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นสามครั้ง ร่างเงาทั้งสองคนพลันแยกออกจากกัน ฝูเจ๋อเหลียงถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวติดๆ กัน จนหลังไปชนกับราวกั้นเวทีมวยแล้วถึงจะหยุดลงได้
“บาดเจ็บหรือ?”
คนอยู่ด้านล่างเวทีที่ตาดีๆ จะเห็นว่า มือซ้ายของฝูเจ๋อเหลียงกำลังสั่นไม่หยุด บริเวณบ่าซ้ายบนชุดฝึกสีขาวถูกโลหิตย้อมเป็นสีแดงไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าบ่าถูกฟันไปหนึ่งดาบ แต่อาการบาดเจ็บจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงมีแต่ฝูเจ๋อเหลียงเท่านั้นที่จะรู้ดี
“ขายหน้าชาวบ้านจริงๆ ขนาดฝึกวิชาทวนตระกูลเยวี่ยมานะเนี่ย ถ้าเยวี่ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ละก็ คงโมโหตายเลยละ!”
เมื่อเห็นการประมือกันเมื่อครู่ หูหงเต๋อก็แค่นเสียงดังฮึ ตัวเองถือทวนอยู่ในมือแท้ๆ ยังปล่อยให้คนอื่นจู่โจมจนไม่อาจปกป้องความปลอดภัยของตัวเองได้ ช่างเป็นความอัปยศของผู้ฝึกใช้ทวนจริงๆ
ทวนนั้นมีสมญานามว่าเป็นราชาในหมู่ร้อยศาตราวุธ เวลากองทัพสองฝ่ายปะทะกัน อาวุธที่ใช้ได้มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือทวน แม้แต่ดาบหรือไม้พลองก็สู้ไม่ได้
ทวนนั้นหากใช้ได้ดี ก็จะราวกับมีชีวิต ในระหว่างเคลื่อนพลม้าตั้งค่ายนั้น ‘ทวนเปรียบดั่งมังกรทะยาน’ ทวนใหญ่ยาวสามเมตรเศษเล่มเดียวสามารถปกป้องทั้งคนทั้งม้าได้อย่างครอบคลุม เมื่อประกายเย็นเยียบของหัวทวนไปถึงที่ใด ก็จะต้องเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวน แม่ทัพใหญ่ผู้รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนั้น ก็อาศัยทวนเล่มเดียวกวาดล้างข้าศึก มันเป็นอาวุธที่ถูกใช้ในการเปลี่ยนราชวงศ์และกวาดล้างศัตรู ซึ่งดาบหรือไม้พลองไม่อาจเทียบได้เลย
แต่ทวนจงผิงที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์เล่มนี้เมื่อไปอยู่ในมือของฝูเจ๋อเหลียง กลับกลายเป็นอ่อนแอไร้พลัง ปกป้องช่องโหว่ไม่ได้เลยสักแห่ง จนหูหงเต๋อเห็นแล้วเกือบจะด่าทอออกไป
ตอนนี้จู้เหวยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กำลังมีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง เท้าไร้เงาจางซานที่ส่งออกไปก่อนหน้านี้ถูกอันเดรวิชฉีกร่างกลางเวทีไปแล้ว เมื่อเห็นว่าในการต่อสู้ประเภทอาวุธโบราณนี้ แค่เพิ่งจะประจันหน้ากัน ฝูเจ๋อเหลียงก็ได้รับบาดเจ็บไปอีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจากนี้ไปควรจะตอบรับอย่างไรดี
การที่ส่งฝูเจ๋อเหลียงขึ้นไปสู้นั้น อันที่จริงจู้เหวยเฟิงเองก็ไม่มีทางเลือก เพราะปัจจุบันนี้ในยุทธภพอาจมีคนฝึกหมัดมวยอยู่มากก็จริง แต่คนที่ฝึกอาวุธนั้นกลับมีอยู่น้อยและยิ่งกว่าน้อย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะอาวุธต่างๆ ถูกรัฐจัดเป็นประเภทของมีคมที่ต้องควบคุม ไม่สามารถพกพาออกจากบ้านได้ ดังนั้นจึงมีคนฝึกน้อยลงไปมาก
“แกน่ะ…ฝีมือใช้ไม่ได้ สมัยก่อนอาจารย์ฉันเคยฟันแขนคนจีนอย่างพวกแกขาดไปข้างหนึ่ง ตอนนี้…ฉันก็จะทำตามอย่างอาจารย์บ้าง แค่ขอแขนแกไปแค่ข้างเดียว ไม่เอาชีวิตแกหรอก!”
สิ่งที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึงคือ หลังจากคนทั้งสองบนเวทีแยกจากกันแล้ว คาโต้ ทาคุมิก็ไม่ได้เร่งรุดเข้าไปโจมตีอีก แต่กลับพูดออกมาเป็นภาษาจีนสำเนียงแปร่งๆ ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งเป็นการยั่วยุฝูเจ๋อเหลียง และเก็บดาบซามูไรกลับเข้าฝักไป ซึ่งเป็นการกระทำที่แสดงถึงความดูแคลนอย่างยิ่ง
“อาจารย์มันเป็นใครน่ะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนที่อยู่ล่างเวทีได้ยินคำพูดของคาโต้ ทาคุมิ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่รู้ว่าแขนของศิษย์พี่ใหญ่ถูกคนญี่ปุ่นฟันขาดไป เยี่ยเทียนก็เริ่มเพ่งเล็งคนญี่ปุ่นที่ใช้ดาบซามูไรมากขึ้น
“ผมก็ไม่รู้ว่าอาจารย์มันเป็นใคร” จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า “ผมรู้แต่ว่ามันมาจากสำนักเคนโด้แห่งหนึ่งที่ญี่ปุ่น เดิมทีก็เป็นนักเคนโด้ที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอยู่มาก แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ จู่ๆ ถึงมาเข้าร่วมองค์กรมวยใต้ดินได้?”
ที่ญี่ปุ่น ศิลปะการใช้ดาบและกระบี่เรียกรวมกันว่าเคนโด้ เคนโด้มีประวัติความเป็นมาในญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ผู้ที่ฝึกวิชาเคนโด้จะมีสถานะที่สูงมาก การที่คาโต้ ทาคุมิละทิ้งโอกาสที่จะได้ก้าวหน้าขึ้นไปเป็นปรมาจารย์เคนโด้ในอนาคต แล้วตัดสินใจเข้าสู่องค์กรการต่อสู้ที่ไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสัยจริงๆ
เมื่อวานซืนนี้เองคาโต้ ทาคุมิเป็นฝ่ายขอเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินที่จัดขึ้นภายในประเทศจีน โดยมีองค์กรญี่ปุ่นแห่งหนึ่งช่วยแนะนำมา เนื่องจากเวลากระชั้นชิด จู้เหวยเฟิงจึงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคาโต้ ทาคุมิเพียงคร่าวๆ ผ่านทางเพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่น จึงไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ของเขาเป็นใคร
“สำนักเคนโด้ที่มันเคยอยู่นั่นน่ะชื่ออะไรนะ?” เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองจู้เหวยเฟิง “เรื่องนี้ประธานจู้คงจะรู้อยู่หรอกนะครับ?”
คำพูดของเยี่ยเทียนมีน้ำเสียงเสียดสีอย่างค่อนข้างชัดเจน จนซาซาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วเม้มปาก แต่จู้เหวยเฟิงกลับหัวเราะเจื่อนๆ เขารู้ว่า การที่ตัวเองไปเชิญนักมวยต่างชาติมาสองคนโดยที่ไม่ได้สืบสาวข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายให้ละเอียดนั้น ทำให้ผู้อื่นเสียความเชื่อมั่นไปจริงๆ
“เรื่องนี้ผมรู้อยู่น่ะเยี่ยเทียน เหมือนจะชื่อสำนักคิตะมิยะอะไรนี่แหละมั้ง ที่เขาฝึกอยู่เป็นวิชาดาบสายตระกูลคิตะมิยะ ที่ญี่ปุ่นก็ถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยละ!”
ตอนที่คาโต้ ทาคุมิเปิดตัวครั้งแรกในการแข่งขันศึกไร้กฎเกณฑ์ที่ญี่ปุ่นนั้น ก็คว้าตำแหน่งราชาแห่งอาวุธโบราณมาได้ ต่อมายังได้เดินทางไปประเทศเกาหลี ภายในสิบวันชนะติดต่อกันไปยี่สิบรอบ ดังนั้นข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเขาในระดับผิวเผินนั้น จู้เหวยเฟิงจึงพอรู้อยู่บ้าง
“วิชาดาบสายตระกูลคิตะมิยะ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วอึ้งไป จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “โลกใบนี้นี่มันแคบจริงๆ แฮะ ให้ฉันมาเจอคนของตระกูลคิตะมิยะสองคนเลยรึเนี่ย?”
“ทำไมรึ? เยี่ยเทียนคุณรู้จักหรือ?” เมื่อเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงก็อดรู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเยี่ยเทียนมีสัมพันธไมตรีอะไรกับเจ้าคนที่อยู่บนเวทีประลองนี้ อย่างนั้นคราวนี้เขาก็เชิญหูหงเต๋อไปขึ้นเวทีสู้กับคาโต้ ทาคุมิอีกไม่ได้น่ะสิ
“ผมไม่รู้จักเขาหรอก แต่ผมรู้จักอาจารย์ของเขา…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเทียนนั้นออกมาจากใจจริง เหตุการณ์ที่คาโต้ ทาคุมิคนนี้จะนำมาคุยโวได้อย่างภาคภูมิเช่นนี้ ก็คงมีแต่เรื่องเมื่อครั้งอดีตที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะฟันแขนของโก่วซินเจียขาดในดาบเดียวนั่นเอง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่เจอตัวจริง คิดดอกเบี้ยเอากับคาโต้ ทาคุมินี่เสียหน่อยก็คงไม่เลวเหมือนกัน
“เวรเอ๊ยเวร ใครกันวะสอนลูกศิษย์ออกมาแบบนี้ มันเล่นอะไรของมันเนี่ย?”
ขณะที่จู้เหวยเฟิงกำลังแอบบ่นตัดพ้ออยู่ในใจ การต่อสู้บนเวทีก็เริ่มขึ้นอีก แต่เมื่อหูหงเต๋อเห็นฝูเจ๋อเหลียงเล่นท่าส่ายทวนหลอก ก็อดลุกขึ้นมายืนด่าทอไม่ได้ ทำให้คนอื่นที่อยู่รอบๆ ต่างส่งสายตามองมา
ตอนที่แยกจากกันไปเมื่อครู่นี้ ฝูเจ๋อเหลียงและคาโต้ ทาคุมิเว้นระยะห่างจากกันเจ็ดแปดเมตร ตามหลักการแล้วระยะห่างขนาดนี้ก็เหมาะที่จะให้เขาสำแดงฤทธิ์ของทวนออกมาได้พอดี และข่มศัตรูให้อยู่ห่างกว่าสามเมตรได้
ยอดฝีมือวิชาทวนที่เที่ยงแท้นั้น ยามโจมตีจะต้องให้ความสำคัญแก่การจู่โจมจุดอ่อนของศัตรู เมื่อแทงทวนออกไปแล้ว พู่แดงบนทวนจะพลิ้วกระจายดั่งดอกเหมยนับหมื่น และจะต้องตีเกราะส่วนที่ปกป้องหน้าอกของศัตรูไว้ให้แตก จากนั้นจึงทะลวงเข้าไป ส่ายทวนจนพู่แดงบานเป็นดอกดวง แต่ละดอกล้วนมีพิษสูง ศัตรูจึงไม่รู้จะปัดป้องดอกไหนดี ในคัมภีร์มวยกล่าวไว้ว่า ‘ไม้พลองน่ากลัวที่ปลายจี้ ทวนน่ากลัวเป็นวงกว้าง’ ซึ่งก็หมายความว่า หากทวนใหญ่สั่นพลิ้ว หัวทวนส่ายสะบัดขึ้นมาเมื่อใด ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากที่จะป้องกันได้
แต่ฝูเจ๋อเหลียงดันมาใช้ทวนเหล็ก ซึ่งขาดความยืดหยุ่น ตอนที่ส่ายทวนหลอกไปเมื่อครู่นี้ อย่าว่าแต่ดอกเหมยนับหมื่นเลย แม้แต่ดอกเหมยสักสามดอกก็ยังไม่มี พอคาโต้ ทาคุมิใช้ฝักดาบปัดป้องไว้ ด้ามทวนหนักหลายสิบชั่งนั้นก็ถึงกับเอียงไปเลย
เมื่อเห็นแบบนี้ เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจ “ประธานจู้ นักสู้แบบนี้น่ะ ต่อไปไม่ต้องให้มาขึ้นเวทีแล้วนะครับ คนที่จะขายหน้าก็มีแต่คนจีนเราเนี่ยแหละ!”
หลังจากเยี่ยเทียนพูดจบ มือขวาของคาโต้ ทาคุมิที่กุมด้ามดาบอยู่ก็ชักออกมาอย่างฉับพลัน ดาบซามูไรคมกริบนั้นหลุดออกจากฝัก แล้วครูดลงไปกับด้ามทวน เสียงโลหะเสียดสีกันดังเสียดแก้วหูสะท้อนก้องไปทั่วสนาม
ตั้งแต่ตอนที่ปัดป้องทวนของฝูเจ๋อเหลียงไว้จนถึงตอนที่ดาบซามูไรออกจากฝัก ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาชั่วไฟแลบเท่านั้น หลังจากที่เสียงโลหะเสียดสีกันนั้นเพิ่งจะดังกระจายออกไปจากระบบเสียงบนเวทีประลอง เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
ฝูเจ๋อเหลียงผู้เคยฝึกทวนตระกูลเยวี่ยมาไม่กี่วันนั้นนึกไม่ถึงเลยว่า ทวนเหล็กหนักหลายสิบชั่งของตัวเองจะถูกฝ่ายตรงข้ามต้านไว้ได้ ชั่วขณะที่กำลังอึ้งและยังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็รู้สึกว่ามีประกายเย็นวาบขึ้นตรงหน้า แล้วความเจ็บปวดแสนสาหัสก็แล่นมาจากมือขวา
เมื่อก้มหน้าลงไปดู ฝูเจ๋อเหลียงก็ถึงจะตระหนักว่า นิ้วมือทั้งห้านิ้วบนมือขวาของตนนั้น นอกจากนิ้วหัวแม่มือที่ยังอยู่ นิ้วอื่นๆ อีกสี่นิ้วกลับขาดไปตั้งแต่โคนนิ้วแล้ว หลังจากความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นแล่นมาถึงประสาทในสมอง ทวนจงผิงที่อยู่ในมือของฝูเจ๋อเหลียงก็หล่นลงไปที่พื้นดัง “เคร้ง”
แต่ฝันร้ายของฝูเจ๋อเหลียงยังไม่จบสิ้น ขณะที่เขากำลังร้องโหยหวนโดยลืมสภาพแวดล้อมรอบตัวไปจนหมดสิ้นแล้ว ดาบซามูไรที่ฟันนิ้วทั้งสี่ของฝูเจ๋อเหลียงขาดไปเมื่อครู่นั้น ยามนี้ได้เงื้อชูขึ้นสูงแล้ว และฟันลงไปที่ไหล่ขวาของฝูเจ๋อเหลียงปานสายฟ้าแลบ
“อ๊ะ?!”
เสียงกรีดร้องของฝูเจ๋อเหลียงหยุดชะงักไปทันทีเมื่อดาบนี้ฟันลงมา เห็นแขนร่วงหล่นลงไปบนพื้นเวทีประลอง ฝูเจ๋อเหลียงก็ยังมองดูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่เมื่อโลหิตพุ่งออกมาจากตำแหน่งบนไหล่ราวกับน้ำพุ พี่แกก็หลับตาปี๋ แล้วเป็นลมล้มไปทั้งอย่างนั้นเลย
“ไอ้ระยำเอ๊ย!” เมื่อเห็นฉากนี้ จู้เหวยเฟิงก็นั่งไม่ติดที่แล้ว ลุกขึ้นมาปาแก้วที่ถืออยู่ในมือลงไปบนพื้นอย่างแรง
ที่สนามมวยใต้ดินของเขา ในสามปีมานี้ไม่ได้จัดการประลองอาวุธโบราณบ่อยครั้งนัก มีเพียงสามสี่ครั้งเท่านั้น ฝูเจ๋อเหลียงก็อาศัยน้ำหนักของอาวุธ ใช้ทวนเหล็กแบบเดียวกับพลองเหล็ก ฟาดปัดคู่ต่อสู้จนกระเด็นไปได้จริงๆ
สิ่งที่จู้เหวยเฟิงไปฝึกมาที่ต่างประเทศก็มีแต่ทักษะในการอำพรางตัวและการสะกดรอยเท่านั้น ที่ฝึกส่วนมากก็เป็นกระบวนท่าที่ใช้สยบศัตรู จึงไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธโบราณต่างๆ มากนัก ตอนแรกก็นึกว่าวิทยายุทธของฝูเจ๋อเหลียงสูงส่งแล้ว ดังนั้นถึงจะเป็นช่วงที่ไม่มีการแข่งขัน จู้เหวยเฟิงก็ยังคงออกเงินก้อนโต้ชุบเลี้ยงฝูเจ๋อเหลียงขึ้นมา
แต่ศึกในวันนี้ เพิ่งจะประมือกันไปได้ไม่กี่ครั้ง ฝูเจ๋อเหลียงก็กลับถูกคนญี่ปุ่นคนนี้ฟันแขนขาดไปแล้ว เหมือนคำพังเพยที่ว่า ทวนเหล็กข้างในเป็นขี้ผึ้งไม่มีผิดเลย ทำให้จู้เหวยเฟิงที่กำลังหน้าซีดเผือดโมโหจนหน้าเริ่มเป็นสีม่วงขึ้นมาทันที
“ให้ใครขึ้นไปสักสองคนซิ หามไอ้ตัวน่าขายหน้านี่ลงมาเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากปาแก้วทิ้ง จู้เหวยเฟิงก็สงบอารมณ์ลงไปได้บ้าง และพูดต่อไปว่า “ส่งไปโรงพยาบาลเลย พยายามเชื่อมแขนมันให้ติดกลับเข้าไปก็แล้วกัน!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฝูเจ๋อเหลียงก็เป็นนักมวยในสังกัดของเขา ถ้าปล่อยไปตามเวรตามกรรมโดยไม่แยแสสนใจเลย จู้เหวยเฟิงก็กลัวว่าจะเป็นที่ครหาของผู้คน วันหน้าถ้าจะหานักมวยมาอยู่ด้วยอีก ก็คงจะยากเสียยิ่งกว่ายากแล้วละ
หลังจากได้ยินจู้เหวยเฟิงสั่ง คนสี่ห้าคนก็หามเปลขึ้นไปบนเวทีประลอง สองคนช่วยกันแบกฝูเจ๋อเหลียงขึ้นเปล ส่วนคนอื่นที่เหลือก็เริ่มใช้น้ำสะอาดล้างทำความสะอาดพื้น เคราะห์ดีที่ด้านข้างเวทีประลองมีร่องน้ำอยู่ ไม่อย่างนั้นวันนี้น้ำเลือดคงได้ไหลนองไปครึ่งสนามมวย
“ทวนตระกูลเยวี่ย มันก็ได้แค่นี้แหละนะ เปรียบเทียบกับเคนโด้ของญี่ปุ่นเราแล้ว ยังสู้ไม่ได้เลยสักนิด!”
ระหว่างที่กำลังทำความสะอาดเวทีมวยกันอยู่ คาโต้ ทาคุมิก็ยังไม่ได้ลงจากเวที แต่รอจนทุกคนลงจากเวทีไปแล้ว เขาก็ใช้เท้ากระทืบลงไปบนทวนจงผิงของฝูเจ๋อเหลียงเล่มนั้นอย่างแรง!
…….