หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 470 ขอเพียงศึกเดียว
“คนนี้เป็นใครเนี่ย? ทำไมไม่เคยเห็นเลย?”
“ไม่รู้สิ ไม่น่าจะใช่นักมวยของสนามมวยละมั้ง?”
“เมื่อกี้เขานั่งอยู่กับประธานจู้น่ะ เหมือนจะเป็นเพื่อนของประธานจู้นี่แหละ!”
“คนนี้ไม่ไหวหรอกมั้ง? ขนาดราชาทวนฝูเจ๋อเหลียงเมื่อกี้ยังโดนฟันแขนขาดเลย แล้วเขาจะสู้ได้เหรอ?”
หลังจากเยี่ยเทียนซึ่งนุ่งชุดฝึกสีขาวแบบเดียวกับฝูเจ๋อเหลียงขึ้นไปบนเวทีประลอง บรรดาผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาทันที ต่างวิพากษ์วิจารณ์ซักถามกันเกี่ยวกับเยี่ยเทียน เพราะถึงเยี่ยเทียนจะมีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ดูแล้วท่าทางจะอ่อนแอ ไม่ได้ดูแข็งแกร่งกำยำเหมือนนักสู้คนก่อนๆ เลย
ดังนั้นแม้ฝูงชนจะรู้สึกโมโหกับการยั่วยุของคาโต้ ทาคุมิ แต่ก็มีคนที่มองเยี่ยเทียนในแง่ดีอยู่แค่ไม่กี่คน เพราะเมื่อขึ้นเวทีประลองไปแล้วจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นครูมวยอาวุโสบางคน ในยามที่ต้องต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกัน ก็ยังไม่แน่ว่าจะสุขุมเยือกเย็นอยู่ได้หรือไม่
และคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งอย่างเยี่ยเทียนนี้ ยิ่งไม่น่าจะเคยแข่งมวยใต้ดินมาก่อน จึงถูกฝูงชนดูถูกเป็นธรรมดา ไม่แน่ว่าพอจบไปหนึ่งรอบแล้ว อาจจะต้องลงจากเวทีด้วยสภาพที่อนาถยิ่งกว่าฝูเจ๋อเหลียงอีกด้วยซ้ำ
ที่ด้านล่างเวทีเริ่มมีคนส่ายหน้าถอนหายใจแล้ว คนหนุ่มจะอย่างไรก็คือคนหนุ่ม รู้จักแต่เลือดร้อน ไม่รู้จักขบคิดถึงผลที่จะตามมา นี่คือการต่อสู้แบบชี้เป็นชี้ตาย ถ้าถูกอีกฝ่ายฆ่าตายไปจริงๆ ก็มีแต่จะตายเปล่าเท่านั้น
“แกเป็นใครกัน?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนขึ้นมาบนเวที คาโต้ ทาคุมิก็อึ้งไป แล้วขมวดคิ้วมองดูเยี่ยเทียนอย่างพินิจพิเคราะห์ “พวกแกคนจีนมีคำพังเพยโบราณอยู่อย่างหนึ่ง ที่ว่าผู้ชนะเป็นราชา ผู้แพ้เป็นโจร การที่ฉันเอาชนะเจ้าคนใช้ทวนเมื่อกี้ไปได้ ก็น่าจะอธิบายปัญหาได้ชัดเจนอยู่แล้วนะ”
แม้จะเป็นคนจองหอง แต่คาโต้ ทาคุมิก็ตั้งใจฟังคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้อยู่เหมือนกัน เพราะจุดอ่อนของวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นนั้น เขาเองก็รู้ดีเป็นที่สุด ที่เยี่ยเทียนบอกว่าวิชาเคนโด้ฝึกแค่พละกำลัง แต่ไม่ฝึกกำลังภายในนั้น ก็ไม่ได้กล่าวผิดไปเลย
วิชาดาบของญี่ปุ่นเน้นไปที่การรุกหน้าอย่างเด็ดขาดดุดัน แต่พลิกแพลงได้น้อยเกินไปจริงๆ มุ่งแสวงแต่ความเร็วในการลงดาบและความรุนแรงของพลังในการฟาดฟัน อย่างที่มีคำพังเพยว่า ปล่อยได้แต่ชักกลับไม่ได้ ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่ได้พิจารณาว่า หากฟันออกไปพบกับความว่างเปล่าแล้วควรจะทำอย่างไร
สำหรับประเด็นนี้ บุคคลระดับปรมาจารย์เคนโด้ของญี่ปุ่นก็ตระหนักได้มานานแล้ว เพียงแต่คนฝึกวิชาอาวุธยุคใหม่นั้นมีน้อยเหลือเกิน และยอดฝีมือที่แท้จริงก็มักจะมาเร้นกายอยู่ในหมู่บ้านตามป่าเขาในประเทศจีน หลายสิบปีที่ผ่านมา เคนโด้ของญี่ปุ่นก็กลายเป็นวิชาอาวุธโบราณที่ใช้ในการต่อสู้จริงที่มีวิธีสังหารเหี้ยมโหดที่สุดในโลก
ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงจงใจมองข้ามข้อบกพร่องในวิชาเคนโด้ของพวกตน หลังจากผ่านชัยชนะมาติดต่อกัน จึงเกิดนิสัยจองหอง คิดว่าข้าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าขึ้นมา ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน คาโต้ ทาคุมิจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และแสดงความไม่เห็นด้วยออกมา
เยี่ยเทียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดตอบว่า “ชนะคือราชาแพ้คือโจร? แกหมายความว่า ถ้าฉันเอาชนะแกได้ แกก็จะยอมรับว่าผิดงั้นรึ?”
“ไม่ วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นน่ะ เหนือกว่าวิชาอาวุธโบราณของจีนเยอะ ต่อให้แกเอาชนะฉันได้ ฉันก็ไม่ยอมรับหรอก…”
คาโต้ ทาคุมิมองไปยังเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างขันๆ แล้วพูดต่อไปว่า “แล้วแกก็ไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก วิชาการต่อสู้โบราณของจีนน่ะตกต่ำไปแล้ว คนจีนสมัยนี้ไม่มีใครยอมทนลำบากเรียนศิลปะการต่อสู้ของบรรพบุรุษกันอีกแล้ว เพียงแค่ข้อนี้ พวกแกก็สู้พวกเราไม่ได้แล้วล่ะ!”
“ความเด็ดเดี่ยวของคนจีนน่ะ ชนชาติป่าเถื่อนอย่างพวกแกจะมาเข้าใจได้ยังไงกัน?”
เยี่ยเทียนฟังแล้วหัวเราะออกมา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนญี่ปุ่นอย่างพวกแกนี่ก็ไม่รู้จักจำบทเรียนเสียบ้างเลย สมัยก่อนเคยบุกรุกประเทศจีน จนสุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้สงครามเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักสำนึกกลับตัว ยังจะมาสำแดงอานุภาพบนแผ่นดินจีนอีก นึกว่าไม่มีใครฆ่าแกได้แล้วรึไงหา?!”
“พูดได้ดี กำจัดไอ้เด็กเปรตนี่ซะ!”
“ฆ่ามันเลย ล้มคนญี่ปุ่นให้ได้!”
หลังจากคำพูดนี้กระจายออกไปผ่านเครื่องขยายเสียงในสนามมวย ทั้งสนามก็คุกรุ่นขึ้นมาทันที ความแค้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้นฝังลึกถึงไขกระดูก แม้ว่าในสถานที่นั้นจะมีหลายคนที่ทำธุรกิจแลกเปลี่ยนกับญี่ปุ่นอยู่ แต่ในใจของพวกเขา ก็ยังคงรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ต่อประเทศญี่ปุ่นอยู่ดี
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องจากด้านล่างเวที บนใบหน้าของเยี่ยเทียนกลับปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น เพราะถึงปากเขาจะพูดแย้งคาโต้ ทาคุมิอยู่ แต่กล่าวจากบางมุมแล้ว คาโต้ ทาคุมิก็ไม่ได้พูดผิดไปเลยจริงๆ คนจีนรุ่นหนุ่มในปัจจุบันนั้น ต่างก็รักสบายกลัวเหนื่อยกันจริงๆ อย่าว่าแต่จะบากบั่นฝึกวิชายุทธเลย แม้แต่จะกินข้าวก็สงสัยยังต้องให้พ่อแม่ตักมายื่นให้ถึงมือ
แต่คำพูดเหล่านี้ก็ใช้ได้แค่กับคนทั่วไปเท่านั้น ตระกูลสายศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นก็ยังมีการสืบทอดวิชาอยู่ อย่างโจวเซี่ยวเทียนที่เกิดในตระกูลที่ตกต่ำลงไปแล้ว ก็ยังมุมานะฝึกวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าพูดถึงวิชาหมัดมวยละก็ ต่อให้มีคาโต้ ทาคุมิสามคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวเซี่ยวเทียนแน่
“เจ้าหนุ่ม แกแน่ใจนะว่าจะสู้กับฉัน?”
คาโต้ ทาคุมิฟังภาษาจีนรู้เรื่อง หลังจากได้ยินคนทั้งสนามโห่ร้องให้ฆ่าเขาและล้มญี่ปุ่นให้ได้ สีหน้าของคาโต้ ทาคุมิก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที การที่เยี่ยเทียนขึ้นมาบนเวทีนี้ ทำให้ความน่ายำเกรงจากการที่เขาฟันแขนฝูเจ๋อเหลียงขาดไปเมื่อครู่นั้นสลายหายไปหมดเลย
ที่คาโต้ ทาคุมิมาประเทศจีนครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี แต่เขาต้องการจะใช้วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นทำให้บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ยอมสวามิภักดิ์ ขณะเดียวกันก็แสดงการข่มขู่องค์กรมวยใต้ดินของจีนรวมถึงคนในยุทธภพ แต่คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้ความพยายามของเขาเมื่อก่อนหน้านี้เสียเปล่าไปหมดเลย
เยี่ยเทียนพยักหน้า “ถูกต้อง ตามหลักการของญี่ปุ่นอย่างพวกแก ใครหมัดหนักกว่า คนนั้นก็เป็นลูกพี่ วันนี้ฉันจะให้แกได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนแคระอย่างพวกแกจะได้ไม่มานั่งละเมอหลงตัวเองไปวันๆ อีก!”
“บังอาจ แก บังอาจดูหมิ่นพวกเราชาวญี่ปุ่น!” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น คาโต้ ทาคุมิก็โมโหเดือดดาลขึ้นมา มือขวากุมด้ามดาบซามูไร มองไปที่เยี่ยเทียนพลางพูดอย่างดุดัน “หยิบอาวุธของแกออกมา ฉันจะให้แกรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่น!”
คาโต้ ทาคุมิอยากจะฟันเยี่ยเทียนขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียวไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย เพียงแต่เขาเพิ่งจะใช้วิธีลอบโจมตีเป็นฝ่ายรุกก่อน ถ้าตอนนี้ยังใช้อาวุธทำร้ายเยี่ยเทียนซึ่งกำลังมือเปล่าอยู่อีก เกรงว่าวิชาเคนโด้ที่เขานำมาเผยแพร่นี้ อาจจะกลายเป็นตัวแทนของความไร้ยางอายไป
แต่พอคาโต้ ทาคุมิเพิ่งจะพูดจบ เสียงร้องอุทานเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากประตูห้องพักผ่อนที่อยู่ห่างไปยี่สิบกว่าเมตร “เยี่ยเทียน? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมถึงขึ้นไปบนเวทีล่ะ?”
จู้เหวยเฟิงเพิ่งจะเกลี้ยกล่อมนักสู้คนหนึ่งที่ฝึกกระบี่ไทเก๊กมาตั้งแต่เด็กได้ และกำลังพาเขาออกมาจากห้องพักผ่อน แต่กลับพบว่าเยี่ยเทียนขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองแล้ว ทำให้เขาตื่นตระหนกไปไม่ใช่น้อย และรีบสาวเท้าวิ่งไปจนถึงข้างเวทีมวย
ทุกคนที่ขึ้นสู่เวทีประลองนี้ ต่างก็เซ็นข้อตกลงรับความเสี่ยงที่จะตายแล้ว ถึงแม้อาจจะไม่มีหน่วยงานทางกฎหมายยอมรับ แต่เมื่อมีข้อตกลงฉบับนี้แล้ว จู้เหวยเฟิงก็หมดปัญหาวุ่นวายไปได้มาก แต่เยี่ยเทียนไม่เหมือนกับนักมวยเหล่านั้น อย่าว่าแต่เขายังไม่ได้เซ็นข้อตกลงรับความเสี่ยงเลย ต่อให้เซ็นไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็ไม่กล้าให้เขามาแข่งมวยใต้ดินอยู่ดี
ควรทราบว่า เยี่ยเทียนเป็นหลานนอกตระกูลแท้ๆ เพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลซ่งคนนั้น มารดาของเขากุมทรัพย์สินต่างประเทศอยู่เป็นมูลค่ามหาศาล และเยี่ยเทียนก็มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดทรัพย์สินก้อนนี้ในอนาคต
สมมติถ้าเยี่ยเทียนเกิดเรื่องขึ้นในที่ของเขา ต่อให้จู้เหวยเฟิงมีเจ้าพ่อคอยหนุนอยู่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ อย่าว่าแต่สนามมวยแห่งนี้จะเปิดกิจการต่อไปได้หรือไม่ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็คงจะถูกกดดันให้ออกจากประเทศ และใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือต่อไปโดยต้องปกปิดชื่อเสียงเรียงนามไว้เป็นความลับ
ดังนั้นถึงจู้เหวยเฟิงจะกล้าให้หูหงเต๋อขึ้นเวที แต่ไม่มีทางกล้าให้เยี่ยเทียนไปปะทะกับคาโต้ ทาคุมิเด็ดขาด จีนมีคำพังเพยโบราณหนึ่งกล่าวว่า บุตรผู้ร่ำรวยไม่นั่งใต้ชายคากระเบื้อง ซึ่งก็หมายถึงคนอย่างเยี่ยเทียนนี่เอง แน่นอนว่า ตัวจู้เหวยเฟิงเองก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นจู้เหวยเฟิงซึ่งกำลังมีสีหน้าร้อนรนอยู่ด้านล่างเวที เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ประธานจู้ สหายญี่ปุ่นคนนี้ดูถูกวงการศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีน เยี่ยเทียนเองก็อยู่ในแวดวงนี้เหมือนกัน จึงไม่อาจทนนิ่งดูดายได้ ก็เลยต้องขึ้นเวทีมาขอรับคำชี้แนะดูสักตั้ง!”
“เยี่ยเทียน คุณ…คุณลงมาก่อนนะ นี่…นี่มันไม่ใช่ศึกที่จะมาแข่งอุดมการณ์กันนะ!”
จู้เหวยเฟิงสนใจที่ไหนกันว่าเยี่ยเทียนจะพูดอย่างไร? ตอนนี้เขาคงได้แต่ลากเยี่ยเทียนลงมาจากเวทีมวย เพราะถ้าเยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บหรือบุบสลายไปละก็ เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่นอน
เมื่อสบตากับหูจวินที่อยู่ข้างๆ จู้เหวยเฟิงก็อดโมโหไม่ได้ “หูจวิน น้องเยี่ยเขาทำเรื่องวู่วามตามประสาคนหนุ่ม ทำไมนายไม่ช่วยเตือนหน่อยเล่า?”
“ฉัน? ก็ฉันเตือนเขาไม่ได้น่ะสิ!” หูจวินยิ้มเจื่อนๆ “ขนาดท่านถังที่ฮ่องกงเวลาอยู่ต่อหน้าเขายังต้องเกรงอกเกรงใจเลย แล้วฉันจะไปกล้าหือกล้าอือได้ยังไงเล่า?”
ที่จริงตอนที่เยี่ยเทียนจะขึ้นไปบนเวที หูจวินก็ได้รั้งเยี่ยเทียนไว้แล้ว แต่อาศัยกำลังของเขาจะไปรั้งเยี่ยเทียนไหวได้อย่างไร? นอกจากนี้ดูจากเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนซ้อมหวงซือจื้อและอาละวาดสถานีตำรวจไปก่อนหน้านี้ หูจวินก็รู้แล้วว่าเยี่ยเทียนเป็นคนประเภทที่หากตัดสินใจแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจได้
“แบบ…แบบนี้ไม่ได้นะ!” จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า ชี้ไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธปืนแล้วสั่งว่า “พวกนายมานี่ซิ ไปเชิญคุณเยี่ยลงมาที!”
เยี่ยเทียนและคาโต้ ทาคุมิที่อยู่บนเวทียืนอยู่ห่างกันเพียงห้าเมตร จู้เหวยเฟิงกลัวว่าคาโต้ ทาคุมิจะหุนหันทำร้ายคนขึ้นมา ดังนั้นถึงได้ให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธปืนขึ้นไปบนเวที ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนคาโต้ ทาคุมิไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม
เมื่อได้ยินจู้เหวยเฟิงพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็ทำหน้าเย็นชา สายตากวาดผ่านไปทางจู้เหวยเฟิงแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ประธานจู้ นี่เป็นการประลองระหว่างผมกับคนญี่ปุ่น คุณโปรดอย่ามาก้าวก่ายจะได้ไหม?”
หากคาโต้ ทาคุมิเป็นเพียงลูกศิษย์ของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ เยี่ยเทียนก็อาจจะไม่ลงมือ ปล่อยให้เจ้าคนญี่ปุ่นนี่ยั่วยุพวกคนจีนด้านล่างเวทีที่ไร้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเหล่านี้เสียหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะในส่วนลึกของคนเหล่านี้ก็ขาดความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอยู่ดี
แต่คาโต้ ทาคุมิกลับนำเรื่องที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะเคยฟันแขนซ้ายของโก่วซินเจียขาดไปมาเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วอย่างเหิมเกริม เยี่ยเทียนจึงไม่อาจทนรับได้ มิหนำซ้ำวาจาของคาโต้ ทาคุมิยังทำให้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นมา คราวนี้อย่าว่าแต่จู้เหวยเฟิงเลย ต่อให้เป็นท้าวจตุโลกบาลเสด็จมา ก็อย่าหวังว่าจะรั้งเยี่ยเทียนไว้ได้
“แบบ…แบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ?” เมื่อถูกเยี่ยเทียนจ้องไปแวบหนึ่ง จู้เหวยเฟิงก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในใจอย่างไร้สาเหตุ แล้วก็ไม่กล้าให้คนขึ้นไป ‘เชิญ’ เยี่ยเทียนบนเวทีอีกเลย
“ประธานจู้ คุณก็ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกครับ ผมเยี่ยเทียนเวลาทำเรื่องอะไร ไม่เคยทำให้มิตรสหายต้องลำบากไปด้วยหรอก!”
เยี่ยเทียนอ่านความคิดของจู้เหวยเฟิงออก จึงเงยหน้าขึ้นอย่างยิ้มแย้ม มองไปที่กล้องตัวหนึ่งซึ่งติดตั้งไว้เหนือเวทีมวย แล้วพูดเน้นย้ำทุกคำว่า “วันนี้กระผมแซ่เยี่ยขึ้นสู่เวทีประลองแห่งนี้ เป็นตายแล้วแต่ฟ้าลิขิต แต่ขอสู้เพียงศึกเดียว!”
…….