หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 471 อัปยศ
เยี่ยเทียนเข้าใจว่าจู้เหวยเฟิงกังวลเรื่องอะไรอยู่ ที่ทำลงไปเช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้เขาวางใจลงได้เท่านั้น เขาจะได้ไม่ให้ รปภ. ติดอาวุธปืนพวกนั้นมาลากเขาลงไปจากเวที แบบนั้นคงได้กลายเป็นเรื่องตลกให้คาโต้ ทาคุมิขำไปเปล่าๆ แน่
ในพื้นที่ใต้ดินอันใหญ่โตนี้ ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้อย่างแน่นขนัดหลายสิบตัว ถึงเยี่ยเทียนจะมองไปที่กล้องเพียงตัวเดียว แต่ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น อันที่จริงก็ถูกบันทึกภาพไว้จากทุกมุมแล้ว
จู้เหวยเฟิงนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะทำแบบนี้ หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “นี่…เยี่ยเทียน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ผมว่า ให้อาจารย์หงขึ้นไปแทนดีกว่าไหม?”
จู้เหวยเฟิงรู้อย่างแจ่มแจ้งดีว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยเทียนในที่ของเขานี้ คนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คงจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพลิงโทสะที่มีอยู่เต็มอกก็คงจะมีแต่เขานี่แหละที่ต้องเป็นผู้รับ ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยเทียนจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่กล้ารับความเสี่ยงนี้อยู่ดี
“ประธานจู้ ถ้าให้ผมลงไปแล้ว อย่างนั้น…คุณจะขึ้นมาไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนสีหน้าขรึมลง ในใจกลับเกิดเพลิงโทสะขึ้นมา คนญี่ปุ่นมาเย้ยหยันถึงขนาดนี้แล้ว จู้เหวยเฟิงยังจะมัวคิดถึงเรื่องพวกนั้นอยู่อีก ถึงแม้สาเหตุจะเป็นเพราะหวังดีต่อเขา แต่เยี่ยเทียนไม่ได้ต้องการที่จะรับน้ำใจนี้เลยสักนิด
“คุณ?” จู้เหวยเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะกำลังจะพูดอะไรอีก ก็กลับถูกหูหงเต๋อฉุดกลับไป “นี่เจ้าหนุ่ม แกน่ะจะไปยุ่งวุ่นวายอะไรนักหนาเล่า? ที่เยี่ยเทียนยอมขึ้นไปสู้น่ะเป็นวาสนาของแกแล้ว ดูการแข่งอยู่เฉยๆ ข้างล่างนี่แหละ!”
เมื่อถูกหูหงเต๋อใช้วิชากรงเล็บอินทรีย์ตะปบไหล่ขวาไว้ จู้เหวยเฟิงก็รู้สึกอ่อนแรงไปครึ่งร่างทันที จึงได้แต่นั่งลงไปบนเก้าอี้ แล้วตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “คุณตาหูครับ แต่ว่า…เยี่ยเทียนเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ นะ??”
พอได้ยินจู้เหวยเฟิงพูดแบบนั้น หูหงเต๋อก็เบะปาก “แกนี่ไม่รู้อะไร…แล้วยังมายุ่งไม่เข้าเรื่องอีก ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ถ้าเยี่ยเทียนแพ้ไอ้ญี่ปุ่นนั่นละก็ ฉันเหล่าหูจะเด็ดหัวออกมาให้แกเตะเป็นลูกบอลเลย!”
ถึงหูหงเต๋อจะไม่เคยเห็นเยี่ยเทียนใช้อาวุธมาก่อน แต่ระดับที่ใช้มีดสั้นเล่มเดียวก็ปลิดชีวิตคนได้แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธอะไร เมื่อมาอยู่ในมือของเยี่ยเทียนก็ต้องสำแดงอานุภาพอันร้ายกาจออกมาได้ทั้งนั้น ต่อให้เขาเอาทวนมาใช้เป็นกระบอง ก็ต้องฟาดไอ้ญี่ปุ่นบนเวทีจนล้มกลิ้งตายคาเวทีได้แน่นอน
“เยี่ย…เยี่ยเทียนร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ?”
จู้เหวยเฟิงมองหูหงเต๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งจะเอาชนะอันเดรวิชไปได้ จู้เหวยเฟิงก็คงจะนึกว่าหูหงเต๋อกำลังคุยโวแน่ๆ รูปร่างของเยี่ยเทียนไม่ได้มีลักษณะของนักสู้เลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรจู้เหวยเฟิงก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนความสามารถเอาไว้อยู่
แต่จู้เหวยเฟิงไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนฝึกมวยพลังภายในมาตั้งแต่สมัยอยู่ประถม ร่างกายจึงไม่เหมือนกับพวกที่ฝึกมวยพลังภายนอก พลังที่เขาสะสมมานั้นเป็นพลังปราณในจุดตันเถียน เมื่อปราณแผ่ไปถึงที่ใด พลังก็จะปะทุออกมาในชั่วพริบตา และมีอำนาจทำลายล้างสูงในระดับที่พลังแข็งกร้าวสายมวยพลังภายนอกไม่อาจเทียบได้เลย
“ร้ายกาจ? ไอ้ญี่ปุ่นนี่กับอันเดรวิชร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนเลยด้วยซ้ำ!”
หูหงเต๋อท่าทางจะรู้สึกว่าการที่นำอันเดรวิชกับคาโต้ ทาคุมิมาเปรียบเทียบกันนั้นออกจะไม่เหมาะสมอยู่ จึงแค่นเสียงออกมาดัง “ฮึ” แล้วพูดต่อไปว่า “อันเดรวิชยังถือว่าเป็นชายชาตรีอยู่ ไอ้เด็กเปรตนี่นับเป็นตัวอะไรกัน? นี่แกน่ะ อยู่รอดูเรื่องสนุกตื่นเต้นไปเถอะน่า!”
“งั้น…งั้นก็ได้ครับ!” จู้เหวยเฟิงพยักหน้าอย่างจนปัญญา เขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อคำพูดของหูหงเต๋อ
แต่หลังจากครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง จู้เหวยเฟิงก็ลุกขึ้นเดินไปจากที่นั่ง แล้วแอบหยิบเครื่องวิทยุสื่อสารออกมาสั่งการ เขาสั่งให้มือปืนแอบซุ่มอยู่ในที่ลับ และคอยจับตาดูสถานการณ์บนเวทีไว้ตลอดเวลา ถ้าเยี่ยเทียนมีความเสี่ยงถึงชีวิตละก็ ต่อให้สนามมวยแห่งนี้จะไม่ได้เปิดกิจการต่อไปอีก ก็ต้องรักษาชีวิตเยี่ยเทียนไว้ให้ได้
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเกลี้ยกล่อมจู้เหวยเฟิงได้แล้ว คาโต้ ทาคุมิที่เริ่มรำคาญมานานแล้วก็ชี้นิ้วไปที่เยี่ยเทียน “เวลาคนจีนจะทำอะไร ก็ชอบอ้อยสร้อยกันแบบนี้แหละนะ แกน่ะ…จะใช้อาวุธอะไร?”
“แกจะรีบไปเกิดใหม่รึไงล่ะหา?”
เยี่ยเทียนเหลือบตามอง แต่ในใจนั้นกำลังครุ่นคิด บอกตามตรง เขายังไม่เคยเรียนใช้อาวุธโยราณอะไรอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อนเลย จะดาบ ทวน พลองหรือกระบองก็ใช้ไม่เป็นสักอย่าง อันที่จริงแทนที่จะถืออาวุธ สู้ด้วยมือเปล่าไปเลยยังอาจจะง่ายเสียกว่าด้วยซ้ำ
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะตอบว่าจะไม่ใช้อาวุธ ก็พลันเหลือบไปเห็นทวนจงผิงที่คาโต้ ทาคุมิเหยียบไว้ใต้เท้าเล่มนั้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นมาวูบหนึ่ง “แกบอกว่าวิชาทวนตระกูลเยวี่ยสู้เคนโด้ของญี่ปุ่นไม่ได้ไม่ใช่รึ? ฉันก็จะใช้ทวนเล่มนี้แหละ!”
ระหว่างพูดไปเยี่ยเทียนก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาคาโต้ ทาคุมิ ไม่ทราบเพราะเหตุใด คาโต้ ทาคุมิจึงถึงกับต้องถอยหลังไปหลายก้าวอย่างอดไม่ได้ และปล่อยทวนเหล็กที่เหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าออกมา
“แย่ละสิ ไอ้หนุ่มนี่เลือกอะไรไม่เลือก ทำไมดันมาเลือกทวนเล่มนี้ด้วยเล่า?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนก้มลงไปหยิบทวนจงผิงเล่มนั้นขึ้นมา หูหงเต๋อก็อดบ่นพึมพำขึ้นมาไม่ได้ ควรทราบว่า ‘พลองเรียนเป็นเดือน ดาบเรียนเป็นปี ทวนนั้นต้องเรียนตลอดชาติ’ ทวนนั้นเรียนยากที่สุด ในความคิดของหูหงเต๋อ สู้เลือกใช้กระบี่ยาวประมือกับคาโต้ ทาคุมิยังจะดีกว่าอีก
“บังอาจ ฉันจะให้แกรู้จักความร้ายกาจของวิชาเคนโด้ของเรา!”
คาโต้ ทาคุมิไม่พอใจที่ตัวเองถอยหลังไปเมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบทวนขึ้นมา เขาก็เกร็งไปทั้งร่างทันที มือขวากุมด้ามดาบซามูไรแน่น เตรียมจะชักออกจากฝักมาฟาดฟันศัตรูได้ทุกเมื่อ
“อาศัยแกเนี่ยนะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะเย้ยหยัน “คนญี่ปุ่นอย่างพวกแกน่ะอะไรก็เลียนแบบมาจากจีนทั้งนั้นแหละ เรียนแล้วก็ทำไม่ได้อย่างต้นตำหรับ ทำตามได้แค่ภายนอก แต่ไม่เข้าถึงแก่นแท้ภายใน จริงสิ คนจีนเราไม่ได้นอนกับพื้นมาตั้งนานแล้วนะ แต่พวกแกหลังจากเลียนแบบไปตั้งพันกว่าปีแล้วก็ยังไม่เคยเปลี่ยน ช่างเป็นพวกที่สมองตายด้านจริงๆ เลย!”
ที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ เท่านั้น วัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นก็วิวัฒนาการมาจากวัฒนธรรมจีนทั้งนั้น ตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัยและการเดินทาง ไปจนถึงธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ต่างก็เป็นฉบับที่ลอกเลียนไปจากคนจีนสมัยโบราณแทบทั้งนั้น
เสื่อทาทามิที่คนญี่ปุ่นในปัจจุบันใช้นอนกันอยู่นั้น แท้จริงแล้วก็คือซากวัฒนธรรมเครื่องนอนของจีนอันสมบูรณ์แบบจากเมื่อหลายพันปีก่อนนั่นเอง เสื่อทาทามิมีที่มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน จนถึงปัจจุบันก็มีประวัติศาสตร์มาเกือบสองพันปีแล้ว ในสมัยที่ราชวงศ์ถังรุ่งเรืองได้มีการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เช่นญี่ปุ่นและเกาหลี ในสุสานราชวงศ์จักรพรรดิที่ซีอานก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกเสื่อทาทามิอยู่ด้วย
“ไอ้ญี่ปุ่น ที่นั่งอยู่ตรงนี้น่ะเป็นบรรพบุรุษแกทั้งนั้นแหละ เคนโด้ก็เป็นของจีนเหมือนกัน รีบไสหัวไปซะเถอะ”
“นั่นน่ะสิ ญี่ปุ่นสมัยก่อนก็เป็นแค่พวกลิงไร้อารยธรรมฝูงหนึ่งเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะสวีฝูพาคนไปที่ญี่ปุ่น ตอนนี้พวกแกก็คงยังกินเนื้อสัตว์ดิบๆ กันอยู่เลยมั้ง”
“ฮี่ๆ ญี่ปุ่นน่ะมันเป็นประเทศเสื่อมทราม นี่พวกนายรู้รึเปล่า ที่โน่นน่ะลูกชายชอบ OOXX กับแม่ตัวเองอยู่บ่อยๆ เลยละ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองอย่างครึกโครมขึ้นที่ล่างเวที หลังจากเกิดเสียงหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหว บรรดาคนที่รู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่บ้างเล็กน้อยก็พากันแสดงความคิดเห็นขึ้นมา เสียงเยาะเย้ยเสียดสีดังขึ้นมาถึงบนเวทีประลอง
“บัดซบ แกนะแก พูดบ้าๆ!”
คาโต้ ทาคุมิเห็นได้ชัดว่าไม่รู้เกี่ยวกับที่มาของเสื่อทาทามิของประเทศตัวเอง เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนและฝูงชนด้านล่างเวทีหัวเราะเยาะเย้ย ก็โมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที ชักดาบซามูไรออกมาดัง “ชิ้ง” แล้วโยนฝักดาบทิ้งไปด้านข้าง ใช้สองมือถือดาบชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ
ตั้งแต่เยี่ยเทียนขึ้นมาบนเวทีประลอง คาโต้ ทาคุมิก็ยังประฝีปากชนะเขาไม่ได้เลย ทำให้ในใจคาโต้ ทาคุมิเคียดแค้นนัก และตัดสินใจแล้วว่าจะใช้โลหิตของเยี่ยเทียนชำระล้างความอัปยศที่เขามอบให้แก่ตน
“เข้ามาเลย ฉันจะให้แกได้เห็นว่าอะไรคือวิชาทวน!”
เปรียบเทียบกับคาโต้ ทาคุมิที่ขมวดเกร็งไปทั้งร่างแล้ว เยี่ยเทียนในตอนนี้กลับดูผ่อนคลายผิดปกติ เขายืนอย่างมั่นคงดั่งเหล็กกล้า มือข้างหนึ่งถือทวน มืออีกข้างหนึ่งกลับยื่นนิ้วชี้ออกไปกวักเรียกคาโต้ ทาคุมิเหมือนจะยั่วยุ สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เมื่อเห็นภาพนี้ บรรดาคนที่อยู่รอบๆ เวทีประลองก็อดปาดเหงื่อแทนเยี่ยเทียนไม่ได้ เพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เห็นความโหดเหี้ยมของคาโต้ ทาคุมิไป คราบเลือดบนผ้าขาวที่อยู่ข้างเวทีประลองนั้น ก็เช็ดมาจากดาบซามูไรเล่มนี้นี่เอง
แต่หูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนกลับยิ้มแย้ม ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่หันมาฝึกมวยพลังภายในหลังจากที่เคยฝึกมวยพลังภายนอกมาก่อน จึงเข้าใจดีว่าท่าทาง ‘ผ่อนคลาย’ ของเยี่ยเทียนนี้มีอะไรแฝงอยู่
มวยพลังภายในไม่ว่าสำนักไหนก็เน้นที่การ ‘ผ่อนคลาย’ ซึ่งจะต้องผ่อนคลายจนเหมือน ‘ใต้ผิวหนังมีแต่กระดูก’ แบบนั้นถึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของมวยพลังภายใน
แต่ผ่อนคลายกับหละหลวมนั้นแตกต่างกัน เวลาผ่อนคลายจะต้องแฝงการควบคุมไว้ด้วยเล็กน้อย ซึ่งก็เหมือนกับหนอนตัวหนึ่ง ตลอดหัวจรดเท้าจะต้องเคลื่อนไหวไปทั้งร่าง ถ้ากล้ามเนื้อขมวดเกร็งไปหมดหรืออ่อนปวกเปียกไปหมด อย่างนั้นก็คือหละหลวม
ยอดฝีมือสายพลังภายในยามปกติดูเหมือนเอื่อยเฉื่อย สีหน้าสงบนิ่ง ไม่เคยเกิดโทสะเลย แต่หากตัดสินใจเมื่อใด ก็จะเคลื่อนไหวดั่งกระต่าย เด็ดหัวพิฆาตได้ในฉับพลัน ตอนนี้เยี่ยเทียนก็เป็นเช่นนั้น เห็นเขาท่าทางเหมือนไม่สนใจอะไรแบบนี้ แท้จริงแล้วพลังปราณภายในกำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง รอจนคาโต้ ทาคุมิเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไร เยี่ยเทียนก็จะสามารถตอบโต้ได้ในทันที
แต่การที่เยี่ยเทียนทำเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพราะเขาไม่รู้วิธีใช้ทวน ถ้าเป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อนก็จะเกิดช่องโหว่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงแทงทวนออกไปทะลุหัวใจของคาโต้ ทาคุมิแล้ว คงไม่เอาเวลามาอ้อยสร้อยอยู่กับมันแบบนี้หรอก
“ฮึ่ยย่ะ!”
หลังจากเดินวนรอบเยี่ยเทียนไปได้ครึ่งรอบ ทันใดนั้นคาโต้ ทาคุมิก็สาวเท้าออกไปก้าวใหญ่ด้วยความเร็วสูงสุด ดาบซามูไรที่ชูขึ้นสูงเหนือศีรษะฟันตรงลงไปที่หว่างคิ้วของเยี่ยเทียนปานสายฟ้าแลบ เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมาเพราะคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้
เยี่ยเทียนอยู่ห่างจากคาโต้ ทาคุมิไปสี่ห้าเมตร หลังจากคาโต้ ทาคุมิสาวเท้าออกไปก้าวเดียว ร่างก็ไปอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว พลังทั่วร่างก็ถ่ายเทเข้าไปอยู่ในดาบเล่มนี้ทั้งหมด
ดาบนี้ทำให้บรรดาผู้ชมล่างเวทีต่างใจหายวาบ จู้เหวยเฟิงจับมือของซาซาไว้แน่น ถ้าเยี่ยเทียนถูกดาบนี้ฟันเข้าไปจริงๆ ละก็ คงต้องจบชีวิตกลางเวทีแน่
คาโต้ ทาคุมิแม้จะเคลื่อนไหวรวดเร็ว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนกลับดูช้าไปมาก เท้าซ้ายเขาไม่เคลื่อนไหว เท้าขวาวาดเป็นวงออกไปด้านข้างเบาๆ แม้กระทั่งทวนยังคร้านจะชูขึ้นมา ดาบซามูไรซึ่งเปล่งประกายเย็นเยียบออกมานั้นก็ฟันเฉียดผ่านจมูกของเยี่ยเทียนไป
หลังจากฟันดาบออกไปเจอความว่างเปล่า ร่างของคาโต้ ทาคุมิก็โถมตามไปข้างหน้าด้วย แต่เขามีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ขณะเดียวกันกับที่ร่างโถมออกไป ก็เปลี่ยนจากถือดาบสองมือเป็นมือเดียว มือซ้ายจึงว่างมาป้องกันการโจมตีของเยี่ยเทียนได้
“วิชาดาบห่วยแตก เคนโด้ของพวกแกทำได้แค่นี้น่ะเรอะ?”
ตั้งแต่ได้ประมือกับพัคจุนฮีเป็นต้นมา เยี่ยเทียนก็มีความรู้เกี่ยวกับวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาก เคนโด้ที่ตอนแรกดูเหมือนเป็นศาสตร์ที่แข็งแกร่งอย่างลึกลับนี้ ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงของลอกเลียนแบบอาวุธสมัยโบราณของจีนเท่านั้นเอง
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ได้มีความคิดที่จะลงมืออย่างจริงจังเลย ปกติเขาก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไรอยู่แล้ว และคาโต้ ทาคุมิก็ยั่วโทสะของเยี่ยเทียนออกมาได้สำเร็จ วันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่า หลังจากทำให้เจ้าคนญี่ปุ่นผู้ยโสโอหังคนนี้อับอายขายหน้าไปแล้ว ก็จะต้องให้มันได้รู้ว่า เพราะอะไรพู่ประดับถึงต้องแดงแบบนี้
…….