หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 472 ฆ่า!
“สารเลว แกมันไม่มีคนสั่งสอน ไม่ใช่นักรบ!” หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าว คาโต้ ทาคุมิโมโหจนหน้าแดงก่ำ นี่ไม่ว่าภาษาอะไร คำด่ามักจะเรียนรู้ได้ง่ายที่สุด
ดังนั้นเยี่ยเทียนตะโกน “สารเลว” สองคำนี้ ทำให้คาโต้ ทาคุมิรู้สึกว่าความมั่นใจของตัวเองถูกลบหลู่อย่างรุนแรง
“สั่งสอนเหรอ เด็ก ๆ วิ่งมาท้าสู้กับผู้อาวุโสตา แล้วผู้อาวุโสจะด่าสั่งสอนหน่อยไม่ได้หรือไง”
เยี่ยเทียนยิ้มเย็น “กลับไปถามบรรพบุรุษของแก ว่าดาบคาตานะมีที่มาจากไหน อย่าให้ความไม่รู้กลายเป็นความสนุก ปากก็บอกว่าวิถีดาบญี่ปุ่น ของพวกแกนั่นน่ะเค้าเรียกว่าวิชาดาบที่ไม่ได้รับความนิยมเท่านั้นแหละ!”
ดาบซามูไรของญี่ปุ่น เดิมทีก็มาจากดาบราชวงศ์ถัง หากพูดถึงตรงนี้แล้วก็ต้องพูดถึงความล้าหลังของญี่ปุ่น หลังจากราชวงศ์ถัง ดาบฮั่นก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่ดาบซามูไรกลับสืบต่อกันมาแบบนี้เรื่อยๆ ไม่ได้มีการดัดแปลงใดใด
จนกระทั่งในปัจจุบัน ในบรรดาอาวุธต่อสู้ของประเทศจีน มีเพียงแต่ดาบแม้วที่เป็นดาบแหลมสองมือจับ แต่ดาบแม้วนั้นอาศัยทิศทางการออกแรงจากล่างขึ้นบน อาศัยการกระโดดในการส่งแรงและขณะเดียวกันก็ใช้การหมุนร่างกายในการกลบช่องว่าง โบราณเรียกว่า “ดาบกระโดดแม้ว”
แต่วิถีดาบของญี่ปุ่นนั้นกลับไม่ได้มีการใช้ร่างกายใดใด หากว่าเกิดช่องว่างก็ต้องตายสถานเดียว ชาวแม้วและกษัตริย์ราชวงศ์หมิงรบรากันมาสามร้อยปี ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของจีน มีแต่ชาวแม้วเท่านั้นที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองแบบเผด็จการของจักพรรดิจูหยวนจาง ชาวแม้วกล้าหาญจริง ๆ แล้วประสบการณ์การรบรานั้นก็เต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่าญี่ปุ่นอยากจะทำอะไรก็ได้ตามใจ
คาโต้ ทาคุมิที่ยกดาบขึ้นขนานกับไหล่เป็นเส้นตรง มีท่าทางและเสียงดูน่ากลัว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว กลับเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
คนญี่ปุ่นไม่เข้าใจจริงๆ การฟันจากบนลงล่างดูไปแล้วน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก แต่ว่าช้าเกินไป! การฟันจากบนลงล่าง ไม่ว่าอย่างไงก็จะต้องยกดาบขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงทิ้งแรงฟันลงไป ในตอนที่ปล่อยออกไปนั้นให้พลังทำลายมากจึงเกิดการบาดเจ็บหนัก เมื่อเทียบกับน้ำหนักของเอวและขาแล้ว การปล่อยพลังมากนั้นก็มีอัตราความเร็วเป็นขีดจำกัด
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะได้สัมผัสกับอาวุธพลังโบราณไม่มากนัก แต่เขาก็รู้ว่า ผู้มีฝีมือภายในนั้น การใช้กระบอง ใช้ดาบจะไม่ออกแรงมั่ว ฟันมั่ว พลังล้วนมาจากจุดศูนย์ถ่วงทั้งนั้น เก็บรวบรวมเป็นจุดเดียวปล่อยออกไปเร็วและเก็บกลับมาเร็ว
ใน “ซ้องกั๋ง”หยางจื้อฆ่าคนเลวหนิวเอ้อ ดาบเล่มงามแค่ตวัดออกไปด้านหน้า หนิวเอ้อก็เลือดกระฉูดเต็มตลาด ดังนั้นจึงบอกว่าคนญี่ปุ่นเรียนอะไรไม่เรียนให้รู้จริง วิถีดาบของจีนดั้งเดิมนั้นไม่มีการฟันข้างล่าง ล้วนแต่ใช้ดาบเป็นตัวขับเคลื่อน ตวัดโดยใช้ปลายดาบสามนิ้ว ดาบนั้นไม่ยกสูง หากยกสูงการถ่ายเทความสมดุลก็หายไป แต่หากเพียงว่าจุดศูนย์ถ่วงนั้นอยู่ ต่อให้เป็นค้อนเหล็กหนักเป็นตันตีลงมาก็ไม่กลัว
ในปีนั้น หานมู่เสีย เคยใช้พลังภายในเป็นฐาน เพื่อสร้างวิถีดาบให้กับทหารทั้งยี่สิบเก้าคนสำหรับใช้ในการต่อกรกับดาบของญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นใช้ใบเหล็กบางท่อนเดียว เคลื่อนจากไหล่ด้านบนลงล่าง มีดดาบเล่มใหญ่ใช้วิถีแนวนอนในการฆ่าม้า หนักแน่นราวเขาไท่ซาน ออกแรงจากจุดศูนย์ถ่วงยกขึ้น ดาบสองอันปะทะกัน หากว่าด้านล่างมีพลังเยอะ ดาบของญี่ปุ่นจะต้องหักในตอนนั้นอย่างแน่นอน หากไม่หักก็กระแทกจนกระเด็น ในตอนนี้ ดาบใหญ่ก็จะมีช่องว่าง พุ่งไปข้างหน้าตวัดออกไป แค่ดาบเดียวก็เด็ดหัวคนญี่ปุ่นได้
ดาบใหญ่ของทหารทั้งยี่สิบเก้านายนั้นในตอนทำศึกที่กำแพงเมืองจีน ฟาดฟันจนคนญี่ปุ่นอับจนหนทาง จึงคิดค้นเหล็กรัดคอเอาไว้ใช้ป้องกันคอ ก็น่าประหลาดที่พวกนั้นคิดมาได้ พวกทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมถึงได้พ่ายแพ้ หลังจากนั้นอีกสิบปี สรุปจากประสบการณ์ที่ได้ จึงมีการคิดค้นท่าฟันดาบใหม่ ๆ ขึ้นมา
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกหดหู่อย่างห้ามไม่ได้ เนื่องจากก่อนยุคปลดแอก นักสู้มากฝีมือหลายคนนั้นมีสัมพันธ์กับพรรคชาตินิยม หลังจากปลดแอกแล้วก็ถูกตามคิดบัญชีไปไม่น้อย สำนักมวยภายในหลายแห่งปิดประตูไม่ออกมา
ก็เหมือนกับคนรุ่นหลังของซุนลู่ถังอาศัยหลบซ่อนอยู่ที่บ้านเกิดมาตลอด ไม่ว่าคณะกรรมการกีฬาจะว่าอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา แต่พวกอาจารย์ที่โอ้อวดตัวเองว่าเป็นอาจารย์มีวรยุทธ์มาก กลับผุดขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด ตั้งแต่นั้นมา ศิลปะภูมิปัญญาของประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไป ดังนั้นจึงมีเจ้าคนญี่ปุ่นตัวกระจ้อยมาทำตัวเป็นหมาบ้าอยู่ในประเทศของเราในตอนนี้
“รีบสู้กันสิ เร็วสิ ฆ่าเขาเลย!”
“รีบฆ่าผีร้ายญี่ปุ่นให้ตายไปเลยสิ!”
เยี่ยเทียนหลบดาบของคาโต้ ทาคุมิแล้ว ร่างกายไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย แต่คาโต้ ทาคุมิฟันความว่างเปล่า ภายในใจก็เตือนตัวเองว่า คนหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองไปเหมือนกับพวกนักศึกษาที่อ่อนแอ แต่เหมือนกับว่าจะรับมือไม่ได้ง่ายๆ เหมือนที่เห็น
ทั้งสองคนไม่มีใครขยับ เวทีพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ ทำให้ผู้ชมด้านล่างรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ต่างตะโกนเป็นการใหญ่ ร้องให้เยี่ยเทียนฆ่าคาโต้ ทาคุมิ
เมื่อได้ฟังเสียงตะโกนของคนพวกนั้น สีหน้าของคาโต้ ทาคุมิก็เริ่มรู้สึกเสียหน้า เขาคิดไม่ถึงว่าการมาพิชิตประเทศจีนของเขาในครั้งนี้ จะมาเจอคนแบบนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาพูดไม่ออก ถูกดูแคลนเหลือประมาณ แม้กระทั่งฝีมือก็ยังลึกล้ำสุดหยั่งคาด
“สารเลว ให้แกได้ลิ้มรสวิชาดาบที่แท้จริงของพวกเราชาวญี่ปุ่น!”
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจเสียงโห่ร้องด้านล่าง แต่คาโต้ ทาคุมิกลับอดรนทนไม่ไหว หลังจากเดินดูท่าทีรอบเยี่ยเทียนรอบหนึ่งแล้ว ก็โถมตัวเข้ามา ดาบคาตาคานะในมือจับอย่างกระชับ ฟันลงมาบริเวณหน้าของเยี่ยเทียน
“ตึง..ตึงตึง!”
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา ร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งเตี้ยแยกจากกัน ผู้ชมด้านล่างประหลาดใจเมื่อพบว่า เยี่ยเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่คาโต้ ทาคุมิถอยหลังไปไกล ด้านหลังติดกับตาข่ายของขอบเวที หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าการโจมตีเมื่อซักครู่ทำให้เสียพลังไปไม่น้อย
หูหงเต๋อและจู้เวยเฟิงที่มีพลังสายตาสูงก็ดูออกแล้วว่า เมื่อซักครู่ในระหว่างการโจมตีนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้ถอยซักก้าวเดียว เพียงแค่ใช้ทวนเหล็กในมือทั้งตีทั้งรับ ทำให้กระบวนท่าการโจมตีของคาโต้ ทาคุมิถูกทำลายลงไปจนหมด
วรยุทธ์ของทั้งสอง ใครสูงใครต่ำในตอนนี้ปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว หากเทียบกับคาโต้ ทาคุมิที่หอบหายใจอย่างหนัก เยี่ยเทียนกลับดูว่ามีท่าทีสบายใจ สีหน้านั้นไม่ได้ต่างออกไปจากตอนที่ขึ้นเวที ทำให้คนรู้สึกว่าอยู่ในสภาวะที่เกียจคร้านปล่อยตัว
นี่เป็นเอกลักษณ์ของคนที่ฝึกมวยภายใน ให้ความสำคัญกับการที่ ดูเหมือนเคลื่อนไหวแต่ไม่เคลื่อนไหว หากขยับก็จะมีอะไรให้ตกใจ เหมือนกับแม่ทัพโบราณที่นั่งอยู่บนที่สูง ตลอดทั้งร่างผ่อนคลาย ท่าทางเหมือนสาวงามที่เอ้อระเหย แต่พลังจิตนั้นมีสมาธิแน่วแน่ ทหารสามพันรายล้อม เมื่อขยับก็มีพลังทำลายล้างมาก นั่นถึงเรียกว่าเทพสงคราม
“เป็นอย่างไร ฉันยืนเฉยๆ อยู่ตรงนี้รอให้แกมาฟัน แต่แกกลับทำให้ฉันบาดเจ็บไม่ได้ บอกว่าวิชาดาบของพวกญี่ปุ่นไร้ประโยชน์ ตอนนี้เป็นไงเชื่อแล้วใช่มั๊ยล่ะ”
เยี่ยเทียนปรายตาไปมองคาโต้ ทาคุมิที่ยืนหอบเป็นการใหญ่อยู่แวบหนึ่ง ส่ายหัวกล่าวว่า “คนเราควรจะรู้ที่ต่ำที่สูง อาศัยแค่เทคนิคเล็กเล็กน้อยน้อยของประเทศเกาะเล็กๆ ของแกยังกล้ามาอวดอ้างที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ของฉัน ไม่ได้รู้ที่ต่ำที่สูงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่านะ ไหนไหนก็มาแล้ว ก็ทิ้งอะไรเป็นที่ระลึกก่อนกลับบ้านก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนพลันตั้งเอวตรง ท่าทางขี้เกียจเหนื่อยหน่ายหายไป เมื่อซักครู่เขาเหมือนเสือหลับ ตอนนี้เหมือนกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง แผ่ไอรังสีทำให้คนอึดอัดออกมา เหมือนไอพลังทำลายล้างพุ่งตรงไปยังคาโต้ ทาคุมิ
“ฉัน…ฉัน…”
คาโต้ ทาคุมิคิดยังไงก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนแค่พริบตาเดียว พลังก็เปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้ พลังบนตัวของเขานั้น ทำให้จิตใต้สำนึกของคาโต้ ทาคุมิเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา เหมือนกับว่ายืนเผชิญหน้าอยู่กับภูเขาสูงตะหง่านที่ไม่มีทางปีนขึ้นไปได้
โบราณว่าไว้ไม่ผิดบุรุษที่ฉลาดย่อมหาทางเอาตัวรอดเมื่อเสียเปรียบ คาโต้ ทาคุมินั้นไม่ได้มีความคิดเข่นฆ่าเหมือนกับคนญี่ปุ่นทั่วไป เจ้านี่ปฏิกิริยารวดเร็ว ในตอนนั้นเองก็เอ่ยยอมแพ้ เพียงแต่ว่าเมื่อพูดสองคำนั่นออกมาแล้ว ก็ถูกพลังพิฆาตที่ปล่อยออกมาบังคับให้หุบปาก
“มาอ้อนวอนตอนนี้ สายไปแล้ว…”
มุมปากของเยี่ยเทียนยกขึ้นยิ้มเย็นยะเยือก ถอยหลังกลับหนึ่งก้าวใช้เท้าขวาเตะไปที่ด้ามทวน ทันใดนั้นทวนที่ยาวสามเมตรก็ลอยขึ้นมาทางด้านข้าง เยี่ยเทียนใช้สองมือจับ ชี้ปลายทวนไปที่คาโต้ ทาคุมิที่ยืนอยู่ไกลออกไปหกเจ็ดเมตร
ท่านี้ดูเหมือนง่าย แต่กลับเป็นแก่นของวิชาทวนตระกูลเยว่ ที่ว่า “มีกระบวนท่าเดียวสามารถลงเขาช่วยอาจารย์ ขจัดหมู่มาร อภิบาลคนดีในโลกหล้า” เยี่ยเทียนจริงๆ แล้วก็เป็นแค่เปลือก ที่ใช้กระบวนท่านี้ออกมาก็เพื่อให้คาโต้ ทาคุมิตกใจ หวาดกลัว ให้เขาบุกเข้ามาเอง เพราะกระบวนท่าอื่นเยี่ยเทียนก็ทำไม่เป็น
ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้บุกเข้ามาก่อน แต่ความรู้สึกกดดันที่เยี่ยเทียนปล่อยออกไปใส่คาโต้ ทาคุมินั้นมีมากเพิ่มขึ้น ทำให้คาโต้ ทาคุมิรู้สึกว่าแค่เพียงเยี่ยเทียนขยับ จุดจบนั่นก็คือทวนได้แทงทะลุหัวใจไปแล้ว
“สารเลว!”
คาโต้ ทาคุมิถูกแรงกดดันบีบจนทนไม่ไหว อารมณ์ฉุนเฉียวในใจจึงถูกกระตุ้นในที่สุด สองมือกำดาบแน่น แผดเสียงคำรามดังสัตว์ดุร้าย พุ่งไปที่เยี่ยเทียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขากระโดดตัวลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยว
“ฆ่า!!!”
เมื่อเห็นคาโต้ ทาคุมิอยู่นิ่งไม่ไหวแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ในขณะที่ร่างกายของอีกฝ่ายกระโดดออกมานั้น เยี่ยเทียนก็ใช้มือขวาจับด้ามทวนหมุนอย่างแรง พร้อมกับใช้มือซ้ายกดลงไป ทวนเหล็กที่ใช้แผ่นเหล็กหนักราวยี่สิบกิโลทำขึ้น ก็เหมือนกับมังกรร้ายพุ่งคว้านราวกับฟ้าแลบออกไป บรรยากาศรอบด้านกลับมีเสียง “แชะแชะ” ทำลายความเงียบออกมา
ตามหลักแล้วทวนเหล็กเดิมทีก็ไม่ได้มีความยืนหยุ่นอะไร ไม่สามารถเทียบได้กับทวนใหญ่ที่ทำจากไม้ไป๋ล่าได้
เพียงแต่เยี่ยเทียนใส่พลังเข้าไปด้วย พอทวนพุ่งออกไป ก็ทำให้ทวนใหญ่นี้มีความยืดหยุ่นขึ้นมา ประกายไฟที่ แล่บออกมานั้นเหมือนกับดอกเหมยที่หมุนคว้างก็ไม่ปาน ทำให้คาโต้ ทาคุมิที่ลอยตัวอยู่ในอากาศถูกดักเอาไว้ เขาไม่รู้เลยว่าจะป้องกันอย่างไร
“ขอเก็บดอกเบี้ยให้กับศิษย์พี่ก่อนแล้วกัน!”
มองลอดทางช่องเล็งเห็นสีหน้าตกใจและหวาดกลัวถึงขีดสุดของคาโต้ ทาคุมิ ในใจของเยี่ยเทียนก็แข็งขึงขึ้นราวกับเหล็ก มือไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย มือขวาดันและปล่อยไปข้างหน้า จากนั้นมือซ้ายจึงดีดทวนออกไป มือทั้งสองปล่อยทวนใหญ่ ร่างถอยกรูดไปด้านหลังอย่างไกล
การกระทำนี้ของเยี่ยเทียนนี้เร็วจนถึงขีดสุด แม้แต่หูหงเต๋อที่พลังสายตาดีที่สุดในที่นี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในตอนที่เงาร่างของเยี่ยเทียนถอยไปนั้น เสียงโหยหวนที่ไม่น่าเป็นเสียงคน ก็ดังขึ้นบนเวที
ในขณะเดียวกันนั้นเอง คาโต้ ทาคุมิที่กระโดดค้างอยู่กลางอากาศ สองมือสองเท้าพลันแยกออกจากตัว ตัวคนระเบิดกระจายเป็นกองเลือด ถูกทำให้เป็นร่างกายที่หนักทั้งห้าส่วนกระจัดกระจายบนเวทีมวย เสียงน่าเวทนานั้นทำให้คนทั้งหมดรู้สึกสะท้านใจ
“นี่…นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกัน”
“พระเจ้าช่วย นี่มันอะไร ห้าม้าแยกสังขารเหรอ”
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นอย่างเร็วมาก พวกเศรษฐีและผู้หญิงทั้งหลายที่จ้องมองทั้งสองประทะกันอยู่ ในตอนนั้นสติยังไม่กลับมา หลังจากผ่านไปได้หนึ่งนาทีกว่าเต็มๆ ภายในสนามเหมือนกับถูกระเบิดลงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงเซ็งแซ่วุ่นวายขึ้นมาทันที
……..