หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 478 ว่าจ้าง (2)
ขณะที่เพิ่งจะถือซาลาเปาและน้ำเต้าหู้เดินเข้ามาในเรือนสี่ประสาน โก่วซินเจียก็เดินออกมารับ และหัวเราะพูดว่า “เยี่ยเทียน ศิษย์พี่รองของเธอกลับมาแล้ววันนี้ และหาเหตุผลที่นายจะไปพม่าได้แล้ว”
“หืม? ศิษย์พี่รองมาที่ปักกิ่ง เกี่ยวกับอะไรกับที่ผมจะไปพม่า?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึงไปชั่วครู่ เขากะจะใช้เหตุผลในการเดินทางว่าไปเที่ยว สำหรับพวกมาราไกย์และคนอื่นๆ นั้นต่างแยกกันเข้าประเทศ แบบนี้เป้าหมายก็จะเล็กลงมาก
“เขาไม่ได้เปิดร้านเครื่องประดับสองสามร้านไม่ใช่เหรอ อีกไม่กี่วันก็ต้องนำเข้าสินค้าจากพม่าพอดี ถึงเวลานายก็อาศัยชื่อบริษัทที่ฮ่องกงของเขาเดินทางไป เมื่อถึงพม่าแล้วนายค่อยพาพวกของนายแยกเดินทางต่อก็ได้แล้ว”
แม้ว่าโก่วซินเจียไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเดินทางไปที่พม่าด้วยตัวเอง แต่ว่าเขายังให้ความใส่ใจกับเรื่องราวคาราคาซังที่ทิ้งมานานกว่าห้าสิบปีเป็นอย่างมาก หลังจากได้ฟังว่าลูกสาวและลูกเขยของจั่วเจียจวิ้นจะไปพม่าด้วย เขาจึงรีบนึกถึงเยี่ยเทียนทันที
“ได้ ศิษย์พี่ พวกพี่ทานข้าวเช้าก่อน เซี่ยวเทียน หยิบซาลาเปามาสองลูกแล้วไปกับฉัน!”
หลังจากได้ฟังคำของโก่วซินเจียแล้ว เยี่ยเทียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบวางมือทุกอย่างแล้วเรียกโจวเซี่ยวเทียน ทั้งสองคนไปที่โรงรถด้านหลังและขับรถออกมา ตรงไปหาโรงเรียนศิลปะต่อสู้อันเต๋อของชิวเหวินตง
พอขับไปได้ครึ่งทางเยี่ยเทียนก็โทรหาชิวเหวินตง หลังจากถึงโรงเรียนต่อสู้แล้ว ชิวเหวินตงก็พาลูกศิษย์จำนวนหนึ่งมายืนรอที่หน้าปากซอย ทั้งศิษย์อาจารย์สองคนนี้กลับมาดึกกว่าเยี่ยเทียน ทำให้ท่าทางในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
“น้องเยี่ย มีธุระอะไรก็โทรมา ให้เหล่าชิวคนนี้ไปหาก็พอแล้ว ทำไมน้องถึงต้องมาด้วยตัวเอง?”
รถของเยี่ยเทียนเพิ่งจอด ชิวเหวินตงก็รีบออกมารับและเปิดประตูให้ การกระทำนี้นอกจากอู่เฉินแล้ว เหล่าลูกศิษย์คนอื่นต่างบ่นอุบอยู่ในใจ ถึงอย่างไรในเมืองปักกิ่งนี้ชิวเหวินตงก็ถือว่าเป็นบุคคลระดับสูงที่มีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับเยี่ยเที่ยนขนาดนี้หรอกกระมัง?
แต่ว่ามีเพียงชิวเหวินตงและอู่เฉินถึงรู้ว่า เด็กหนุ่มตรงหน้านี้น่ากลัวแค่ไหน หากไม่พูดถึงความสามารถของเยี่ยเทียน เพียงแค่เมื่อวานตอนที่คุยกับจู้เหวยเฟิงและได้แอบแย้มถึงชาติกำเนิดออกมาเล็กน้อย ก็ทำให้ชิวเหวินตงและลูกศิษย์ตกใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
ในยุทธภพแห่งนี้แบ่งคนออกเป็นสองประเภท ประเภทที่หนึ่งเป็นพวกจ่ายเงินทองและของมีค่าซื้อเสียงเพลงเพื่อความสำราญ เมื่อเมามายไม่ได้สติก็ลืมว่าตัวเองเป็นแม่ทัพท่านอ๋อง พวกเขาไม่สนใจว่าเงินน้อยหรือเยอะ ท่านอ๋องแม่ทัพในสายตาของพวกเขานั้นเหมือนกับธุลีดืน ในอดีตมีคำเรียกที่ตรงกับพวกเขานั่นก็คือพวกฤาษี
แต่อีกประเภทหนึ่งเป็นคนที่ร่ำเรียนวิชาและศิลปะการต่อสู้ เป็นคนของราชวงศ์ พวกเขาเรียนหนังสือและฝึกวิชา เป้าหมายสุดท้ายก็คือประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ชิวอันเต๋อพ่อของชิวเหวินตงก็เป็นคนลักษณะแบบนี้ แม้แต่พาชิวเหวินตงไปพบกับข้าราชการก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า
“พี่ชิว เกรงใจไปแล้ว วันนี้ที่มามีเรื่องที่ต้องขอรบกวนพี่หน่อย” เยี่ยเทียนมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ชิวเหวินตงกลับอายุใกล้ห้าสิบปีแล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับเรียกเข่าว่าพี่ชิวอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ชิวเหวินตงฟังแล้วก็รู้สึกรื่นหู
“น้องเยี่ย เชิญด้านใน เสี่ยวอู่ ไปรินน้ำชามาสองแก้วไป!”
เมื่อได้ฟังว่าเยี่ยเทียนมีเรื่องให้ช่วย ในใจของชิวเหวินตงพลันตะลึงงัน ความเหนื่อยล้าจากเมื่อวานราวกับมลายหายไป การที่สามารถได้ช่วยเหลือเยี่ยเทียน สำหรับเขาแล้วนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีงามอันใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง
เมื่อสั่งงานให้พวกลูกศิษย์ฝึกอยู่ด้านหน้าลาน ชิวเหวินตงจึงพาเยี่ยเทียนมาในห้องด้านข้าง และไม่อ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมา “น้องเยี่ย มีเรื่องอะไรน้องบอกได้เลย ขอเพียงชิวเหวินตงทำได้ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่เสียดายชีวิต!”
เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้นั้นแปลกมาก คนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แต่สวรรค์กลับไม่เปิดทางให้ แต่ยังมีคนบางกลุ่ม ขอเพียงแค่พูดออกมาเล็กน้อย โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากอะไร ก็มีคนคิดอยากจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้หากจะใช้ศาสนาพุทธมาอธิบาย ก็หนีไม่พ้น “เวรกรรม” สองคำนี้ พวกคนที่ทำเวรกรรมนั้น อาศัยกรรมดีเป็นฐานก็จะเกิดผลดี เผื่อในวันหน้าตัวเองตกที่นั่งลำบาก จะได้มีผู้มีบุญญาธิการมาช่วยเหลือ แต่พวกประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้มีประวัติและไม่มีความสามารถ แน่นอนว่าไม่มีใครยอมไปร่วม “เวรกรรม” กับพวกเขาแน่นอน
“ท่านเยี่ย เชิญดื่มน้ำชา!” ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ อู่เฉินก็ยกน้ำชาสองแก้วเข้ามา วางบนโต๊ะแล้วก็ถอยออกไป เขารู้ดีว่าตัวเองมีฐานะห่างจากเยี่ยเทียนมาก และไม่กล้าอยู่ต่อเพื่อฟังพวกเขาพูดคุยกัน
“พี่อู่ เรื่องนี้อาจจะต้องรบกวนพี่ช่วยเหลือด้วย พี่อยู่ต่อเถอะ” เมื่อเห็นว่าอู่เฉินจะออกไป เยี่ยเทียนจึงรีบตะโกนเรียกไว้
“ท่านเยี่ย ผมไม่กล้าให้ท่านเรียกแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงลำดับศักดิ์ยุ่งยาก!” อู่เฉินหัวเราะแกนๆ เพื่อนซี้ของอาจารย์ของเขาเหอเป่ย เฝิงเหิงอวี่ และเขาที่ได้เรียนวิชามาด้วยกันนั้นต่างก็เป็นรุ่นหลังของเยี่ยเทียน หากคิดดูแล้วเขากับเยี่ยเทียนนั้นลำดับอาวุโสห่างกันไม่รู้เท่าไร
“เอาเถอะ ฉันเรียกชื่อนายก็แล้วกัน” เมื่อเห็นอู่เฉินหวาดกลัว เยี่ยเทียนก็พยักหน้ากล่าวว่า “อีกไม่กี่วันฉันจะออกไปทำธุระข้างนอกหน่อย วันนี้ที่มาก็จะมาถามพี่ชิวขอยืมคนที่เชื่อมือได้สักสามสี่คน และอู่เฉินเป็นหนึ่งในนั้น!”
ถึงแม้อู่เฉินรูปร่างไม่สูง แต่คิ้วเข้ม ใบหน้าเหลี่ยม ริมฝีปากบางและหนาสมส่วนกัน เมื่อสบตากับคนอื่นแววตามุ่งมั่นไม่ลอกแลก ในด้านศาสตร์การดูใบหน้าคน คนประเภทนี้จิตใจกว้างขวาง ช่วยเหลือคนอื่นอยู่ในศีลธรรม ปกติจะไม่ทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย
“น้องเยี่ย เรื่องนี้ไม่ยาก เหล่าชิวอย่างฉันถึงแม้จะไม่กล้าบอกว่ามีลูกศิษย์สามพันคน แต่หนี่งร้อยแปดสิบนั้นก็ยังมี น้องต้องการเท่าไรบอกได้เลย ฉันจะรีบเรียกพวกเขามารวมตัวกัน”
ชิวเหวินตงก็เป็นผู้สืบทอดทางสายเลือดของวิชาฮวงจุ้ย ในด้านฝีมือนั้นพอมีอยู่บ้าง บวกกับเขามีชื่อเสียงมากที่ปักกิ่ง คนที่มากราบไหว้เป็นอาจารย์นั้นจึงมีไม่ขาดสาย หลายปีมานี้แค่ลูกศิษย์ที่ได้เข้าสำนักอย่างเป็นทางการนั้นมีร้อยแปดสิบกว่าคน
เยี่ยเทียนหัวเราะกล่าวว่า “ไม่ต้องการเยอะขนาดนั้น สิบกว่าคนก็พอแล้วครับ พี่ชิว หาคนที่มีพลังเยอะหน่อย ครั้งนี้งานที่ทำเป็นงานใช้แรง อืม อีกอย่างขอคนที่ไม่พูดมาก พวกคนที่เห็นอะไรก็เอาไปบอกต่อประเภทนั้นไม่เอา”
โรงเรียนต่อสู้ของชิวเหวินตง จริงๆ แล้วก็เป็นยุทธภพย่อยๆ มีอู่เฉินที่ซื่อสัตย์ช่วยเหลือคนอื่น คนที่ลักเล็กขโมยน้อยแน่นอนว่าจะต้องมี การที่มาขอยืมคนจากชิวเหวินตง เยี่ยเทียนก็คือไม่มีทางอื่น เพราะคนของเขานั้นมีไม่กี่คนที่ใช้ได้
“ตกลง คนของฉันน้องเยี่ยวางใจได้”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ชิวเหวินตงก็ไม่ได้ตามถามต่อ พลางมองไปทางอู่เฉินกล่าวว่า “เสี่ยวอู่ ไป….เรียกพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องมาให้หมด ส่วนพวกที่อ้อยอิ่งไม่ฝึกวิชาพวกนั้นไม่ต้องเรียกมา”
ชิวเหวินตงถึงแม้จะรับลูกศิษย์ไม่น้อย แต่คนที่เขาให้ความสำคัญนั้นก็มีอยู่แค่สิบกว่าคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ในการฝึกวิชาได้ดี แต่จะต้องมีคุณธรรมชอบช่วยเหลือผู้อื่น และก็เป็นสิ่งที่ครูมวยหลายคนชมชอบ
อู่เฉินออกไปและกลับเข้ามาใช้เวลาแค่หนึ่งนาทีกว่าเท่านั้น คนหนุ่มร่างกำยำสิบเจ็ดสิบแปดคนก็ถูกเรียกมาที่เรือนกลาง ยืนเรียงกันเป็นแถวด้านหน้าประตูห้องเรือนกลาง
“เฮ้อ เมื่อไรสำนักเสื้อป่านของพวกเราจะมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์แบบนี้บ้าง?”
เมื่อเห็นชิวเหวินตงเลือกคนหนุ่มที่มีพละกำลังที่ดูแววแล้วไม่เลวออกมา แล้วนึกถึงสำนักของตัวเอง เยี่ยเทียนก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ตอนที่อาจารย์สิ้นลม ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าจะทำให้สำนักเสื้อป่านกลับมาผงาดรุ่งโรจน์อีกครั้ง แต่ตอนนี้รอบตัวมีแต่โจวเซี่ยวเทียนที่เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว
“เซี่ยวเทียน นายไม่มีอะไรทำก็ไปหาลูกศิษย์มาสามสี่คนสิ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องมาขอยืมคนแบบนี้หรอก” ตอนที่เห็นโจวเซี่ยวเทียนเดินออกจากห้อง เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ
“ให้ผมรับลูกศิษย์เหรอ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนพลันหัวเราะแกนๆ เขาอายุน้อยกว่าเยี่ยเทียนสองปี ต่อให้อยากจะตั้งโต๊ะรับสมัครเปิดสำนัก นั่นก็ต้องมีคนอยากจะไหว้เขาเป็นอาจารย์ก่อนถึงจะได้?
และยิ่งกว่านั้นฝีมือของเยี่ยเทียนสูงกว่าเขาเป็นร้อยเท่า จนถึงตอนนี้ก็มีเขาเป็นลูกศิษย์แค่คนเดียวเหรอ? แต่ถึงในใจจะมีข้อขัดแย้ง ทว่าปากของโจวเซี่ยวเทียนกลับไม่กล้าพูดออกไป และทำสีหน้าแปลกประหลาดเดินตามเยี่ยเทียนออกไปจากห้อง
“ท่านเยี่ยมีธุระ ต้องการพาคนติดตามไปด้วยสามสี่คน นี่คือบุญของพวกนาย ทุกคนยืนตัวตรง!” อู่เฉินในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์น้องเหล่านี้จึงมีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง เมื่อแผดเสียงเล็กน้อย คนสิบกว่าคนนั้นจึงยืดหน้าอก สองตามองตรงไปข้างหน้า
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไร เดินมาอยู่ตรงหน้าคนแรก และมองดวงตาคู่นั้นของเขา
วิชาการมองคนของเสื้อป่านนั้น อันดับแรกดูดวงตา หากว่าจิตใจไม่บริสุทธิ์ มักจะไม่กล้าสบตาคน หลักการนี้ก็เหมือนขโมยเจอตำรวจ ไม่ต้องพูดใจก็สั่น
วัวสันหลังหวะสำนวนนี้ จริงๆ แล้วมาจากดวงตา แน่นอนว่า นอกจากดวงตาทั้งคู่แล้ว เยี่ยเทียนยังมีวิชาลับในการมองคนอยู่ หลังจากเดินไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็เลือกมาเจ็ดคน
จากสัญญาณของเยี่ยเทียน อู่เฉินให้คนที่เหลือออกไป และพาเจ็ดคนที่เลือกไว้เข้ามาในห้องด้านข้างเรือนกลาง
“ครั้งนี้ฉันจะไปทำธุระที่พม่าหน่อย ต้องการความช่วยเหลือจากพวกนาย แต่อยากจะบอกเรื่องที่ไม่ดีเอาไว้ก่อน เมื่อไปถึงพม่าแล้ว พวกนายทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข มิเช่นนั้นฉันไม่อาจจะรับประกันความปลอดภัยของชีวิตพวกนายได้”
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเหลวไหล แต่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตอนนี้หากมีใครไม่อยากไป สามารถถอนตัวออกไปได้ เรื่องนี้จะไม่บังคับกัน พวกนายก็ไม่ต้องกังวลใจอะไร ฉันเยี่ยเทียนรับรองว่า เหล่าชิวจะไม่ไปหาเรื่องกับพวกนายแน่นอน!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ทั้งเจ็ดคนตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องออกนอกประเทศ และเหมือนกับว่ามีอันตรายอยู่บ้าง ในตอนแรกถึงแม้ไม่มีคนก้าวออกมา แต่สีหน้านั้นปรากฏความลังเล มองไปทางชิวเหวินตง
เมื่อเห็นสีหน้าของลูกศิษย์แล้ว ชิวเหวินตงก็อดไม่ได้ที่จะดุว่า “ตามเยี่ยเทียนออกไป เป็นโอกาสอันดีของพวกนาย เจ้าพวกตัวกระเปี๊ยกนี่ ใครไม่อยากไปก็รีบไสหัวกลับไปที่ลานด้านหน้า!”
“อาจารย์ ผมไปครับ!”
“อาจารย์ ผมก็ไปครับ!”
ปกติชิวเหวินตงจะใจกว้างต่อลูกศิษย์มาก ขอแค่มีชื่ออยู่กับชิวเหวินตง แต่ละเดือนก็จะจ่ายเงินเดือนให้พวกเขาสามถึงห้าพัน ทำให้พวกลูกศิษย์เชื่อมั่นในตัวเขามาก ดังนั้นเมื่อพูดคำนี้ออกมา พวกนั้นจึงเหมือนกินยาตัดสินใจเข้าไป ทยอยเปิดปากตกลงกันเป็นแถว
เห็นคนพวกนั้นเปิดปาก เยี่ยเทียนก็พยักหน้า กล่าวว่า “คราวนี้ก็ถือว่าเยี่ยเทียนคนนี้จ้างพวกนาย หลังจากกลับมาจากพม่าแล้ว พวกนายทุกคนจะได้รับเงินค่าจ้างหนึ่งล้าน แต่มีอีกนิดหนึ่ง เรื่องที่เกิดที่พม่า ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด”
“คนละหนึ่งล้าน? ฉันว่าน้องเยี่ย ถ้าอย่างนั้นนายพาเหล่าชิวคนนี้ไปด้วยก็พอแล้ว!” ชิวเหวินตงที่พูดจาแปลกประหลาดทำให้ลูกศิษย์พากันหัวเราะขึ้นมา และความรู้สึกกดดันที่เกิดเมื่อซักครู่จึงจางหายไป
……