หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 479 เครื่องเคลือบในวัง
ลูกศิษย์ของชิวเหวินตงพวกนี้ ยังมีตำแหน่งอยู่ในบริษัทของเขาด้วย แต่ละเดือนได้เงินราวสามถึงห้าพันหยวนในสมัยปีเก้าศูนย์ เงินเดือนเท่านี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว
เดิมทีมีบางคนที่ภายในใจมองว่าการติดตามเยี่ยเทียนไปพม่านั้นไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่เยี่ยเทียนเสนอให้หนึ่งล้าน พลันทำให้ความคิดพวกนั้นหายไปทันที หากรับแค่เงินเดือน เงินจำนวนหนึ่งล้านเท่ากับพวกเขาทำงานสิบกว่าปี
รวมอู่เฉิน เยี่ยเทียนจ้างคนจากสำนักของชิวเหวินตงรวมท้งหมดแปดคน รวมเขาและหูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนสองคน แล้วยังมีมาลาไกย์ชาวต่างชาติสี่คน เยี่ยเทียนคิดว่าทั้งหมด 15 คนเดินทางไปค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากเลือกคนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนมองไปที่ชิวเหวินตง กล่าวว่า “พี่ชิว ภายในห้าวันสามารถทำพาสปอร์ตให้พวกเขาสำหรับไปพม่าทันหรือไม่ หากว่าไม่ทัน ผมจะคิดหาวิธี”
การยื่นทำพาสปอร์ตตามขั้นตอนปกตินั้นต้องใช้เวลาสิบกว่าวัน แต่เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเทียนรอไม่ได้นานขนาดนั้น หากว่าชิวเหวินตงทำไม่สำเร็จ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องใช้เส้นสายทางหูจวินหรือเถ้าแก่เหลยเสียหน่อยแล้ว สำหรับพวกเขานั้น ทำพาสปอร์ตแค่ไม่กี่เล่มไม่น่ามีปัญหา
“น้องเยี่ย ดูถูกเหล่าชิวหรือว่าอย่างไร แค่พาสปอร์ตไม่กี่เล่ม วันมะรืนก็ได้แล้ว มั่นใจได้ว่าไม่รบกวนเวลาของนายให้ล่าช้าไป”
ในใจของชิวเหวินตงนั้นเปล่งประกายเป็นอย่างมาก แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ปริปากถึงเรื่องที่ไปพม่าว่าไปทำอะไร เขาก็ไม่ได้สอบถามต่อ ตบหน้าอกตัวเองแสดงว่าเรื่องพาสปอร์ตนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขา ใช้ชีวิตที่ปักกิ่งนี่มาก็นาน เส้นสายแค่นี้ชิวเหวินตงก็พอมีอยู่บ้าง
เยี่ยเทียนให้เขาไปทำพาสปอร์ต แน่นอนว่าต้องการเป็นหนี้บุญคุณเขา นี่เป็นสิ่งที่ชิวเหวินตงให้ความสำคัญมากที่สุด มีหนี้บุญคุณนี้กับเยี่ยเทียนอยู่ ในอนาคตไม่แน่ว่าอาจจะช่วยปัญหาใหญ่ได้
ชิวเหวินตงนั้น เดินทางทั้งทางขาวและดำ ปกติดูแล้วน่าเกรงขาม แต่ในใจเขานั้นชัดเจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากอยากเก็บเขา ไม่ได้ยากเย็นไปกว่าการฆ่าไก่ตัวหนึ่ง
ดังนั้นชิวเหวินตงจึงได้ผูกสัมพันธไมตรีกับพวกพี่น้องลูกท่านหลานเธอที่มีอำนาจ ก็เพื่อเป็นทางว่าอีกหน่อยมีคนจะคิดบัญชีกับเขา คนพวกนั้นสามารถช่วยเขาพูดได้ นั่นก็เท่ากับรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้
“พี่ชิว ในภายหน้าเยี่ยเทียนจะต้องตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน ได้ วันนี้ก็เท่านี้ก่อน สองสามวันนี้ผมมีเรื่องให้สะสางเยอะ รอให้กลับมาจากพม่าแล้วค่อยคุยกัน”
เยี่ยเทียนเปลี่ยนอารมณ์ขึ้นมานั่นก็เย็นชาเหลือแสน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร แค่คำพูดธรรมดาไม่กี่คำก็ทำให้ชิวเหวินตงสีหน้าดีใจจนห้ามไม่อยู่ เดินตามไปส่งเยี่ยเทียนและลูกศิษย์ถึงหน้าซอย
“อาจารย์ ผม…ผม…” หลังจากขับรถออกมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่บริเวณข้างคนขับก็ทำท่าอยากจะพูดแต่ก็หยุดไป
“มีอะไร ถ้ามีก็พูดออกมาเถอะ” เยี่ยเทียนมองไปที่โจวเซี่ยวเทียน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจ้าเด็กนี่หน้าบางไปหน่อย
โจวเซี่ยวเทียนรวบรวมความกล้าออกมา กล่าวว่า “อาจารย์ ท่านไปพม่า พาผมไปด้วยได้มั๊ย”
จะยังไงก็แล้วแต่โจวเซี่ยวเทียนก็เติบโตมาในครอบครัวธรรมดา ถึงแม้จะร่ำเรียนวิชาและการต่อสู้ แต่เนื้อแท้แล้วไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา เห็นว่ามีโอกาสไปต่างประเทศ พลันในใจก็เกิดความอยากแบบซื่อๆ ขึ้นมา ต่อให้ประเทศที่จะไปยากจนข้นแค้นก็ตาม
“เหอะ ฉันไม่ได้บอกจะไม่พานายไปด้วยนี่ นายกับเหล่าหูไปทั้งสองคนนั้นแหละ” เยี่ยเทียนกล่าวไปหัวเราะไป โจวเซี่ยวเทียนและหูหงเต๋อถือว่าเป็นคนที่เขาเชื่อใจได้มากที่สุด ทั้งสองคนนี้ไปที่พม่าจะเป็นมือที่คอยช่วยเขาได้มาก
“เอ้อ ขอบคุณอาจารย์!” โจวเซี่ยวเทียนดีใจจนร้องออกมา สำหรับคนอายุเท่าเขาแล้ว โลกกว้างด้านนอกมักทำให้อยากออกไปเผชิญ โดยเฉพาะโจวเซี่ยวเทียนที่ตอนนี้ความสามารถไม่ได้อ่อนด้อยแล้ว ยิ่งอยากออกไปเห็นโลกกว้างซักครา
“อย่าเพิ่งดีใจไป ที่นายไปครั้งนี้ลำบากน่าดู”
เห็นโจวเซี่ยวเทียนทำท่าทางดีใจ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาเบรกเขาไว้ ศิษย์อาจารย์ทั้งสองคุยหยอกล้อกันจนรถมาถึงซอยด้านนอกของเรือนอาศัย
“เสี่ยวเทียน สองสามวันมานี้ไปไหน ทั้งวันไม่เห็นนาย” เพิ่งเดินเข้ามาในเรือนก็เจอเยี่ยตงผิงออกมาต้อนรับ มือทั้งสองของเขากอดกล่องไม้อยู่ กำลังเดินออกไปด้านนอก
“พ่อ ผมก็ไปหาที่หายไปมาเติมให้เต็มอยู่ไง” เยี่ยเทียนตอบอย่างขำๆ แต่เห็นสีหน้าของพ่อสลดลงไป พลันก็รู้ว่าตัวเองกล่าวผิดไป รีบกล่าวต่อว่า “พ่อ ผมล้อเล่น พ่ออย่างใส่ใจเลย”
“เจ้าตัวดี ฉันจะไปใส่ใจคำพูดของแกทำไม ” เยี่ยตงผิงฝืนยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “ป้าใหญ่ของแกกำลังทำข้าวกลางวัน ประเดี๋ยวไปเรียกศิษย์พี่ของแกมากินด้วยกัน ฉันออกไปทำธุระซักเดี๋ยว”
“อย่าสิ พ่อ มีเรื่องอะไรรอให้กินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยไปจัดการก็ได้ มองดูก็อีกแป๊บเดียวจะถึงเวลากินข้าวแล้ว”
เยี่ยตงผิงอยากออกไป แต่กลับถูกคำพูดของเยี่ยเทียนปิดทางเอาไว้ กลัวว่าจะทำให้กล่องในอ้อมกอดตก เยี่ยตงผิงได้แต่หยุดยืน กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ฉันนัดกับคนอื่นเอาไว้แล้ว ไปกินข้างนอกก็ได้”
เยี่ยเทียนไม่รามือ ตาจับจ้องกล่องที่อยู่ในอ้อมกอดของพ่อ เปิดปากถามว่า “พ่อ พ่อจะไปขายของใช่มั้ย อีกฝ่ายให้ราคาเท่าไหร่”
อาศัยกับเยี่ยตงผิงมายี่สิบกว่าปี เยี่ยเทียนทำไมจะไม่รู้ว่าพ่อจะทำอะไร
หากว่าเป็นตอนปกติ เยี่ยเทียนจะไม่สนใจธุรกิจค้าขายของพ่อ แต่ว่าพอเกิดเรื่องถูกโกงนั้นขึ้น เยี่ยเทียนกลัวพ่อจะคิดไม่ได้ เอาของที่เก็บสะสมมาเป็นสิบปีเอาออกไปขาย ถึงแม้จะไม่ได้เล่นของเก่า แต่เยี่ยเทียนก็พอจะรู้ว่าของบางอย่างนั้นมีราคาขึ้นค่อนข้างมาก
“เป็นของที่ไม่มีราคาอะไร ฉันเก็บเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้ พอดีมีคนต้องการ ก็เลยว่าจะส่งต่อให้เขา”
เยี่ยตงผิงก้มหน้าลง สายตามองลงบนพื้น เมื่อพูดออกมาเห็นได้ชัดว่าโกหก แต่ว่าเขาก็ตอบสนองกลับมาได้ทันที กล่าวว่า “ยุ่งเรื่องของแกเถอะ เรื่องของพ่อจะมายุ่งทำไมกัน”
“ได้ ขอดูหน่อยไม่ได้เหรอ”
มือขวาของเยียเทียนอ้อมไปที่ข้อมือของพ่อนิดเดียว เยี่ยตงผิงพลันรู้สึกข้อมือชา กล่องที่เดิมทีกอดอยู่แนบอกก็ตกลงไปยังพื้น อาการตกใจนั้นไม่ธรรมดา
“รีบรับไว้ อย่าให้ตกแตกล่ะ!” ถึงแม้ว่ากล่องนั้นจะมีผ้ารองและยัดนุ่นเข้าไปแล้ว แต่ว่าเครื่องเคลือบด้านในกล่องเดิมทีเป็นของแตกง่าย หากว่าตกแตกไปจริง ๆ เยี่ยตงผิงคงมีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมาเลยทีเดียว
“ตกไม่แตก” เยี่ยเทียนแค่ยื่นมือออกไปก็รับกล่องไม้ไว้ในมือ หลังจากนั้นก็เปิดออก ของสิ่งหนึ่งที่มีความยาวประมาณสามสิบเซ็นติเมตร เครื่องเคลือบที่มีรูปลักษณะกลมสามข้อก็ปรากฏด้านหน้าของเขา
สีเครื่องเคลือบตลอดทั้งอันเป็นสีขาวของพระจันทร์ วัสดุหนาหนัก โดยเฉพาะด้านเคลือบที่แตกลายนั้นให้ความรู้สึกอ่อนช้อยมาก เหมือนกับกระแสน้ำไหล เหมือนคริสตัลใส รอยแตกลายงาไม่เพียงแต่ดูลื่นไหล แถบใหญ่นั้นเหมือนกับผิวปลาไหล ทำให้คนรู้สึกว่ารอยแตกลายงาเหล่านี้ทำให้คนที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
คอของเครื่องเคลือบดูสง่างดงามมีความหมายแผง ถึงแม้ไม่ได้วิจิตรตระการตาจนทำให้สะดุดตา แต่การลงสีนั้นประณีตสะกดใจ การลงสีที่ดูเรียบง่ายนั้น แม้แต่เยี่ยเทียนก็มองเห็นว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป
“พ่อ ของแบบนี้ทำไมพ่อคิดจะขายล่ะ ขายน่ะง่ายแต่จะหาซื้อแบบนี้อีกน่ะมันยากนะ!”
เห็นคอของเครื่องเคลือบ ตาของเยี่ยเทียนโตเท่าไข่ห่าน นี่เป็นเครื่องเคลือบที่พ่ออยู่ในวงการนี้มาสิบกว่าปีที่สะสมมาเป็นของมีค่าที่สุดที่เก็บไว้ เมื่อก่อนตอนที่เยี่ยเทียนยังเรียนมหาวิทยาลัย เยี่ยตงผิงไม่รู้ว่าหยิบสิ่งนี้มาให้เค้าดูกี่รอบต่อกี่รอบ
นี่เป็นเครื่องเคลือบลายครามในสมัยซ่งเหนือ ปรับปรุงพัฒนาวิธีการเผาไฟแบบสกุลหรู่ เป็นเครื่องเคลือบที่ทำไว้ใช้เฉพาะในตำหนักฝ่ายในของฮ่องเต้ และยังเป็นเครื่องเคลือบเดียวในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนผ่านไปมาเพียงหนึ่งเดียวอีกด้วย เครื่องเคลือบในตำหนักฮ่องเต้ มีแค่เพียงชิ้นเดียว ใช้สำหรับฮ่องเต้เท่านั้น
“คนอื่นเสนอราคาแปดสิบล้าน นี่ก็สูงมากแล้ว ไม่ขายจะเก็บไว้ทำอะไร” ถูกลูกชายเห็นของที่ตนเองจะขาย เยี่ยตงผิงสีหน้าปั้นยาก เพราะเขาเคยพูดหลายครั้ง ว่าจะยกให้เครื่องเคลือบพอร์ซเลนนี้เป็นสมบัติประจำตระกูลที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลเยี่ย
ตลาดค้าสินค้าศิลปะในปีเก้าศูนย์นั้น นอกจากเซรามิกสามสีสมัยราชวงศ์ถังที่ทำชื่อเสียงในต่างประเทศแล้วนั้น ราคาของเครื่องเคลือบอื่น ๆ ก็ไม่สูงมากนัก ปกติแล้วราคาจะอยู่ที่แสนถึงล้านหยวน เยี่ยตงผิงที่บอกว่าแปดสิบล้านนั้น ถือได้ว่าเป็นราคาที่แพงลิบลิ่วแล้ว
เพียงแต่ว่าหากตัวเองไม่ได้ก่อเรื่องนั้นขึ้นมา เยี่ยตงผิงก็คงจะไม่ขายเครื่องเคลือบนี้แน่ เพราะความหาได้ยากของเครื่องเคลือบจากยุคราชวงศ์ซ่ง ไม่ได้เป็นรองกระเบื้องลายครามสมัยหยวนและชิงและเครื่องลายครามจวินติ้งหรู่และเครื่องเคลือบมีชื่ออื่น ๆ เลย
เรื่องนี้ก็ถือเป็นเครื่องที่คลาสสิก คนสมัยราชวงศ์ซ่งนั้นชอบรูปวาดของมีค่าและคนที่มีฐานะในแวดวงศิลปะสูงที่สุดซ่งฮุยจง ในตอนที่กำลังจะถูกกองทหารจับนั้น กลับแลกชีวิตการเป็นฮ่องเต้ด้วยการลงมือทำลายเตาเผาเครื่องเคลือบด้วยตนเอง ทำให้เครื่องเคลือบทั้งวังเสียหายในคราเดียว
หลังจากผ่านการชำระล้างในครั้งนี้ เครื่องเคลือบราชวงศ์ซ่งที่สามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่กระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง มูลค่าทางศิลปะและมูลค่าเก็บสะสมระดับความแพงนั้นเป็นที่เด่นชัด
ในปีที่เยี่ยตงผิงได้รับคนโฑนี้มาจากตระกูลร่ำรวยที่เจียงหนาน ดีใจจนนอนไม่หลับไปหลายวัน พาลดึงเอาเยี่ยเทียนมานั่งฟังความรู้เกี่ยวกับเครื่องเคลือบในสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อย ความดีใจนั้นแสดงออกมาอย่างเต็มเปี่ยมผ่านคำพูด
เพียงแต่ครั้งนี้นำเงินของลูกชายไปใช้จนหมดไม่มีเหลือ และภรรยาก็จะกลับมาเดือนหน้า เยี่ยตงผิงไม่มีทางเลือก ถึงได้เลือกที่จะขายคนโฑนี้ออกไป แน่นอนว่า เขาเพียงแค่ปล่อยข่าวออกไป ก็มีคนเสนอราคาแปดสิบล้านมาให้
“พ่อ เก็บไปเถอะ พวกเราไม่ขาดเงินแปดสิบล้านนั่น!”
เห็นพ่อของตัวเองนำของล้ำค่าที่สำคัญกว่าชีวิตชิ้นนี้จะขายออกไป ในใจของเยี่ยเทียนนั้นก็รู้สึกเสียใจ ในตอนนั้นจึงกล่าวว่า “พ่อ ผมได้ข่าวคนที่โกงเงินเราไปแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมาหาเราถึงหน้าประตูบ้าน พ่อวางใจ เรื่องเงินทั้งหมดนั่นผมจะเอากลับคืนมาให้ได้ และต้องได้ก่อนที่แม่จะกลับมาด้วย!”
เรื่องทองนั้นพัวพันใหญ่โต และยังเป็นความลับของศิษย์พี่ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้พ่อได้รับรู้ หยิบยกเอาเรื่องที่เคยถูกหลอกมาเป็นเกราะกำบัง
หากพูดถึงเรื่องที่เคยถูกหลอกนั้น เยี่ยเทียนมีความคืบหน้านิดหน่อยจริงๆ เพราะเปาเฟิงหลิงนั้นทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว จึงได้โทรหาเยี่ยเทียน บอกว่ามีข่าวนิดหน่อยเกี่ยวกับเถ้าแก่จี๋ หลังจากยืนยันแล้ว จะรีบติดต่อเยี่ยเทียนมาทันที
“จริงเหรอ” เยี่ยตงผิงกล่าวอย่างตกตะลึง แล้วตามมาด้วยความดีใจ หากว่าไม่ได้เป็นเพราะอับจนหนทาง เขาจะตัดใจขายคนโฑที่เป็นเสมือนชีวิตของเขาได้อย่างไรกัน
“จริงแท้แน่นอน เซ่าเทียนอีกสองสามวันก็จะไปกับผม เจ้าคนนั้นรับรองว่าหนีไม่พ้นแน่นอน”
ในขณะที่กล่าวนั้นเยียเทียนก็ส่งสายตาให้กับโจวเซ่าเทียน โจวเซ่าเทียนรีบกล่าวขึ้นว่า “ลุงเยี่ย ถูกต้องที่สุด อาจารย์ออกหน้าแล้ว ลุงทำใจให้สบายรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้านเถอะนะ”
……