หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 486 ของขวัญ
เยี่ยเทียนเชื่อว่า ประเทศใดก็ตามที่มีอำนาจอธิปไตย แม้จะอยู่ในท่ามกลางสงคราม จะคอยสอดส่องผู้ที่มาจากต่างประเทศอย่างเคร่งครัด เขากลัวว่าตัวเองจะปล่อยข่าวลือโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนแล้ว แม้แต่หลิ่วติ้งติ้งก็ไม่รู้เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้
ส่วนสำหรับพวกอู๋เฉินแล้ว เยี่ยเทียนยิ่งไม่พูดถึง เมื่อตอนที่ขนย้ายทอง พวกเขาถึงจะได้รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่พม่าในครั้งนี้ ส่วนในอนาคตจะถูกทางพม่ารู้หรือไม่นั้น เยี่ยเทียนไม่สนใจแล้ว เรื่องสำคัญต่อไปนี้อาจจะถูกทางพม่าไม่ต้อนรับเป็นบุคคลไปก็ช่างเถอะ
วันที่สองตอนเช้า หลังจากที่กินข้าวเช้าที่โรงแรม พวกของอู๋เฉินก็รอที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม หลังจากผ่านมาประมาณยี่สิบนาที ทางโรงแรมก็ได้จัดรถตู้ขนาดกลางมาคันหนึ่ง นี่คือรถที่เยี่ยเทียนได้จองไว้เมื่อวาน
แขกที่มาเที่ยวที่พม่าหรือเข้าร่วมการพนันหิน ก็ต้องไปเจดีย์ชเวดากองสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่างกุ้ง ทุกวันทางโรงแรมจะมีการจัดให้แขกบางส่วนในการไปเที่ยวชม ดังนั้นพฤติกรรมของเยี่ยเทียนก็เลยไม่ได้ดึงดูดสายตาคนอื่น
หลังจากที่ขึ้นรถ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้คุยกับพวกอู๋เฉิน แค่พูดเล่นเรื่องทั่วไปเสียงเบาๆ กับหูหงเต๋อก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุที่กระดาษหน้าต่างขาดหรือไม่ วันนี้หลิ่วติ้งติ้งค่อนข้างเงียบเป็นพิเศษ เยี่ยเทียนบังเอิญเงยหน้ามาเจอเขา ใบหน้ายัยผู้หญิงคนนี้แดงเป็นเลือดฝาด
เมื่อรถแล่นมาถึงเจดีย์ชเวดากอง เมื่อกี้ช่วงเวลาแปดโมงกว่า แต่ในฐานะเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของพม่า ที่นี่ก็มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก นอกจากใบหน้าเอเชียแล้ว ก็มีใบหน้าของคนขาวและคนดำ
“เพื่อน คืนนี้พวกเราจะพักที่นี่ ไม่ต้องมารับแล้ว!”
เยี่ยเทียนหยิบเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์แล้วส่งให้คนขับรถตู้ขนาดกลาง พวกพี่ชายนั้นก็ดีใจแล้วก็พยักหน้า ปกติพวกเขาก็ได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่ใจกว้างแบบเยี่ยเทียนนี้ไม่เคยเจอมาก่อน
เมื่อรอรถตู้ขับไปไกลจากสายตาของตัวเอง เยี่ยเทียนถึงโบกไม้โบกมือให้กับพวกอู๋เฉิน ที่นี่เป็นจุดนักท่องเที่ยว ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง ที่พักเมื่อวานโอเคไหม”
“ดีครับ ทั้งชีวิตพวกเรานี่คือการที่ได้กินอาหารทะเลครั้งแรก หูฉลามนั้นกับวุ้นเส้นไม่แตกต่างกันมากนะครับ”
“แหะแหะ ขอบคุณท่านเยี่ย ที่นี่อบอุ่นมากกว่าปักกิ่งเสียอีกครับ”
“ก็จริง เป็นครั้งแรกที่พวกเราออกนอกประเทศ เพราะบารมีของท่านเยี่ยจริงๆ!”
เดิมทีชิวเหวินตงก็ให้พรรคพวกอู๋เฉินอยู่ในคณะทัวร์ แต่ทันทีที่อู๋เฉินเข้าไปในโรงแรมและพบกับไกด์ หลังจากที่ยัดเงินสามพันดอลลาร์ ในระยะสิบห้าวันตามที่ระบุในวีซ่า ไกด์จะไม่มายุ่งกับพวกเขาอีก
เงินสามพันดอลลาร์นี้และเงินที่พวกอู๋เฉินกินข้าวเมื่อวาน เป็นเงินที่เยี่ยเทียนออกให้ทั้งหมด โบราณกล่าวว่า จักรพรรดิที่จะให้ลูกน้องสู้รบ จะไม่ให้ลูกน้องหิวโหยเป็นอันขาด เยี่ยเทียนก็จะไม่ประหยัดเงินเล็กน้อยเป็นอันขาด เมื่อวานไม่เพียงแต่จัดข้าวมื้อใหญ่ให้พวกเขา ยังออกเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเขาใช้ชีวิตตอนกลางคืนในพม่า
ดังนั้นหลังจากที่เยี่ยเทียนถาม สองสามคนก็ต่างแย่งกันพูดขึ้น คนพวกนี้นอกจากอู๋เฉินที่อายุเยอะหน่อย อายุของคนที่เหลือก็ไม่แตกต่างกับโจวเซี่ยวเทียน และนี่ก็เป็นการออกนอกประเทศครั้งแรก ยังรู้สึกแปลกใหม่กับความแตกต่างของต่างประเทศ
“พอแล้ว อย่าเอะอะโวยวายไป”อู๋เฉินขมวดคิ้ว หลังจากที่ตำหนิเสียงดังเสร็จ ก็หันมาพูดกับเยี่ยเทียน “ท่านเยี่ย มีเรื่องอะไรที่จะสั่งพวกเราก็พูดมาเถอะครับ อย่างอื่นพวกเราอาจจะไม่ได้ แต่เรื่องพละกำลังมีแน่นอน”
เมื่ออู๋เฉินเห็นท่าทางของจู้เหวยเฟิงที่อยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน เขารู้ว่า เรื่องครั้งนี้ถ้าทำให้เยี่ยเทียนพอใจได้ งั้นหอศิลปะการต่อสู้อันเต๋อที่ปักกิ่งของพวกเขายังสามารถมีรากฐานที่ยึดอยู่ได้ ก็คงไม่มีใครมารังแกได้อีก
ดังนั้นอู๋เฉินและพรรคพวกของตัวเองก็ตกลงกันดีแล้ว การเดินทางนี้คือไม่พูดไม่ถาม เพียงแค่เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนสั่ง จะทำให้สุดความสามารถมากที่สุด!
“เสี่ยวอู่ พาลูกน้องตามผมมา ถนนเส้นนี้ไกล ทุกคนต้องตามให้ทันนะ”คนที่เยี่ยเทียนใช้เงินจ้างมา ตอนนี้ก็ไม่ได้เกรงใจอะไร หลังจากที่ทักทายทุกคน แม้แต่ประตูภูเขาของเจดีย์ชเวดากองก็ไม่เข้าไป และเดินตรงไปทางทิศเหนือ
เนื่องจากพม่ามีภูเขาจำนวนมาก ถนนเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจของพม่าพัฒนาอย่างจำกัด และการเดินทางของคนพม่าเอง ปกติก็อาศัยรถไฟ หลังจากที่พวกเยี่ยเทียนเดินทางมาประมาณสามสี่ลี้ ถนนยางมะตอยนั้นกลายเป็นถนนหิน บางทีก็เป็นหลุมเป็นบ่อทำให้เดินไม่สะวก
ยังดีที่คนพวกนี้เป็นหนุ่มไฟแรง ยกเว้นหูหงเต๋อและหลิ่วติ้งติ้ง ปกติทก็ทรมานร่างกายทั้งวันอยู่แล้ว ตลอดเส้นทางถึงแม้ว่าทุกคนจะเหงื่อไหลไคลย้อย กลับไปมีใครร้องโอดอวยสักคน
จนกระทั่งสิบโมง เยี่ยเทียนมาถึงที่นัดหมาย นี่เป็นพื้นที่เนินเขาแห่งหนึ่ง เดินไปทางทิศเหนืออีกจะเป็นป่าหนาทึบ ห่างไปหลายร้อยเมตร เยี่ยเทียนก็มองเห็นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ทางด้านหน้า
“หยุด พวกคุณเป็นใครกัน”เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น มีใบหน้าที่เข้มแข็งบึกบึนขึ้น อายุราวๆ ประมาณสามสิบปี มีเจ้าหน้าที่สวมชุดทหารพม่าที่มียศพันเอกปรากฏตัวออกมา
“ท่านเยี่ย นี่เกิดอะไรขึ้น”
พวกอู๋เฉินเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่ตึงเครียด พวกเขาถึงแม้จะกล้าหาญต่อสู้ราวกับหมาป่า แต่นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกปืนชี้มา เมื่อมองไปที่รูดำๆ ในกระบอกปืน กลัวว่าลูกกระสูนที่อยู่ข้างในจะเกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวไป พวกเดียวกัน”เยี่ยเทียนเดินไปทักทาย และพูดกับพันเอกคนนั้น “ผมคือเยี่ยเทียน ไม่ทราบว่าคุณคือพันเอกจางซานใช่ไหมครับ”
“คุณก็คือเยี่ยเทียนเหรอครับ” จางซานยกมือทักทายทำความเคารพแบบทหาร พูดเสียงดังว่า “เป็นคำสั่งของนายพลเฟิงปอกาง รถขนย้ายหุ้มเกราะสามคันมาส่งให้แล้วครับ เชิญคุณเยี่ยตรวจสอบสักหน่อยครับ!”
เมื่อจางซานพูด ทหารหลายสิบคนที่เดิมที่อยู่ด้านหน้าของรถก็ถอยออก รถหุ้มเกราะสามคันที่ทาสีด้วยลายพราง ปรากฏต่อหน้าพรรคพวกของเยี่ยเทียน
“แม่ง เหล่าถังนี่เส้นใหญ่จริงๆ?”
ที่จริงเยี่ยเทียนคิดว่าปอกางจะให้ยืมรถที่คล้ายกับรถบรรทุกทางตะวันตกมาสองสามคัน คาดไม่ถึงว่าปอกางจะให้ยืมรถที่หุ้มเกราะทั้งหมด ดาดฟ้าที่หนาๆ นั้นปืนธรรมดาไม่สามารถยิงทะลุไปได้แน่นอน
รถทั้งสามคันนี้มีความยาวประมาณห้าเมตร กว้างสามเมตร มีล้อรวมกันทั้งหมดแปดล้อ และล้อยางมีขนาดใหญ่มาก ฐานด้านล่างสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะสำหรับการขับขี่บนภูเขา และถ้ามองจากด้านนอก รถทุกคันนั่งประมาณเจ็ดแปดคนก็คงไม่ใช่ปัญหา
“พันเอก ขอบคุณครับ!”
หลังจากที่เยี่ยเทียนรับเอกสารฉบับหนึ่งที่จางซานส่งมาให้ ด้านบนก็เขียนชื่อเขาเอง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าดำจากโจวเซี่ยวเทียน และส่งมอบให้กับจางซานพร้อมกัน พูดว่า “นี่เป็นของขวัญที่เพื่อนของนายพลปอกางฝากผมมาจากเกาะฮ่องกง ซิการ์คิวบาแท้ๆ รวมกันประมาณสิบแปดกล่อง ที่เหลืออีกหกกล่องเป็นของคุณพันเอก!”
ของพวกนี้ถังเหวินหย่วนเป็นคนเตรียมทั้งหมด เยี่ยเทียนก็ไม่รู้มูลค่าว่าเท่าไหร่ แต่หลังจากที่จางซานในยินว่าเป็นซิการ์คิวบา ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึม จู่ๆ เป็นครั้งแรกที่มีรอยยิ้มออกมา
“ขอบคุณครับ ผมกับท่านนายพล ชอบของขวัญชิ้นนี้มาก!”
หลังจากที่จางซานรับกระเป๋า จากนั้นก็เปิดดู รอยยิ้มบนใบหน้าถึงกับเปล่งประกายขึ้น จากการติดตามนายพลปอกางเป็นเวลานาน แว๊บเดียวเขาก็ดูออกว่าซิการ์ที่บรรจุอยู่ในซองจะมีห้าตัว ราคาทุกตัวจะอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์ขึ้นไป
ทหารระดับสูงของพม่าชอบสูบซิการ์ ที่จริงก็สนิทสนมกับคุนซาด้วยแน่นอน เจ้าพ่อยาคนนี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตัวเขาเองไม่เคยยุ่งกับยาเสพติดมาก่อน แค่รู้ว่าซิการ์ทำด้วยมืออันดับต้นๆ ของบราซิล
มีช่วงเวลาหนึ่ง ตอนที่เจ้าพ่อยาเสพติดต่างชาติน้อยใหญ่พวกนั้นก่อนที่จะมาที่สามเหลี่ยมทองคำ ต่างก็ถือของขวัญสักชิ้นมาให้กับคุนซา สามเหลี่ยมทองคำครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่รวมกันของซิการ์คิวบาในเอเชีย
ในการรบทางทหารหลายครั้งในสามเหลี่ยมทองคำ ฝ่ายทหารพม่ายึดซิการ์ดังกล่าวไว้มากมาย ทหารธรรมดาไม่สามารถสูบได้ สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของพวกใหญ่คนโตในทหารทุกฝ่าย ที่สูบมันได้ พวกคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็ชอบรสชาตินี้
แต่พวกคนใหญคนโตพวกนี้ไม่มีคุนซาที่ทรงเกียรติแล้ว ก็ไม่มีใครที่ส่งส่งซิการ์ให้พวกเขา ถ้าอยากจะซื้อ พวกเขาไม่สามารถซื้อที่เป็นสินค้าคุณภาพดีและดั้งเดิมเช่นนี้ได้ นายพลบางคนมักจะภูมิใจที่ได้รับซิการ์คิวบาแท้ๆ แบบนี้
ดังนั้นของขวัญชิ้นนี้ที่หูหงเต๋อให้ ไม่สามารถประเมินราคาได้ เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของนายพลปอกาง นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พันเอกจางซานยิ้มขึ้นมา นายพลชอบกินเนื้อเขาชอบดื่มซุป ครั้งหน้าตอนที่รวมตัวกับพวกนายพล แค่เขาเอาซิการ์มาวางไว้ แน่นอนว่าคงจะสยบพวกเสนาธิการทหารนั้นได้
แน่นอน ไม่ทราบคุณค่าของซิการ์เหล่านี้และสถานะของมันในสายตาของทหาร ก็ไม่รู้ว่าถังเหวินหย่วนจะส่งออกมูลค่ากว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ในเวลานี้ในสายตาของชาวพม่านั้นคิดตื้นเกินไป แค่ให้ซิการ์ไม่กี่กล่องก็สามารถไล่พวกเขาไปได้
หลังจากส่งกระเป๋าหนังที่เต็มไปด้วยซิการ์ให้กับทหารที่อยู่ด้านหลัง จางซานก็ถามเหมือนที่อย่างใจคิด “คุณเยี่ย ไม่ทราบว่าคุณจะใช้รถที่หุ้มเกราะพวกนี้ไปทำอะไรกัน เขาไปในภูเขาเหรอ”
“แม่ง เพิ่งได้ออกไปก็เริ่มถามเข้าเรื่องเลยเหรอ”
เยี่ยเทียนก็ด่าในใจอย่างไปสบอารมณ์ แต่สีหน้าไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปสักนิด ยิ้มแล้วพูดว่า “ถังเหวินหย่วนช่วงนี้จะต้องได้รับการรักษาเหล้ากระดูกเสือจากที่แดนไกล จะต้องทำด้วยกระดูกเสือและปรุงนาสมุนไพรที่สดใหม่ นี่ถึงได้รบกวนนายพลปอกาง”
พอพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็แสดงของถึงความแปลกใจ “คุณก็รู้ คุณถังถึงแม้จะอายุมาก ร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ก็ผู้ชายเน๊อะ ชอบของพวกนี้เป็นพิเศษ…”
“ก็จริง ก็จริง ฮ่าๆ หากเหล้ากระดูกเสือนั้นใช้ได้ผล ยังส่งข้อความบอกคุณเยี่ยที่อยู่แดนไกลด้วยว่า ผมว่าคิดว่านายพลยินดีที่จะมอบกระดูกเสือสดให้กับคุณถังแน่นอน!”
คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนพูด จางซานหัวเราะเสียงดังขึ้น สิ่งที่เยี่ยเทียนสงสัย เพราะเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อปีที่แล้ว ถังเหวินหย่วยเคยขอกระดูกเสือจากนายพลปอกางจริงๆ แต่ตอนนั้นไม่ได้ถามและต้องการกระดูกที่สดก็เลยปล่อยไป
ส่วนเสือจะเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองหรือไม่ จางซานกลับไม่ไใส่ใจอะไรมาก ในระบบพวกคนใหญ่คนโตพวกนี้ในฝ่ายทหาร พวกเขาก็แทบกับระบบจักรพรรดิ ถึงแม้ว่าเสือจะถูกฆ่าตายจนหมด ก็ไม่มีกลุ่มอนุรักษณ์มาเดินประท้วงอย่างแน่นอน
……