หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 491 ภูเขาปีศาจ (2)
“หัวหน้า สติของเขาไม่ค่อยดี จำเป็นต้องฉีดยากล่อมประสาทให้เขา!”
คิตะมิยะ นาโอกิรู้ตั้งนานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น รีบหยิบเข็มกล่อมประสาทจากกล่องโลหะขนาดเล็กที่เขาพกติดตัวมา หลังจากนั้นให้อีกสองจับตัวของตะขิ่น บา เตง ตินไว้ แล้วเขาก็ฉีดยาเข้าไปที่แขนของเขา
การฉีดยานี้ ผ่านไปหนึ่งนาทีกว่า แววตาของตะขิ่น บา เตง ตินก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา แต่ความกลัวในตาก็ค่อยๆ ลดลง เขาทำปากขมุบขมิบเป็นเวลานานไม่ได้พูดอะไร
“เทน้ำให้เขาสิ!”ในตอนนี้คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็ได้ใจเย็นลง เขาก็รู้ว่า ตะขิ่น บา เตง ตินยู่ในที่เรียกว่าเขาภูตผีปีศาจ จะเจอตัวอะไรกันแน่ ผ่านไปครึ่งศตวรรษมันก็ยากที่จะลืม
“ตอนที่พวกเราเพิ่งเข้ามาในภูเขา ทุกอย่างดูเงียบสงัดมาก…”หลังจากดื่มน้ำเย็นจากคิตะมิยะ นาโอกิส่งให้ ตะขิ่น บา เตง ตินก็เพิ่มความกล้าหาญของเขา แล้วเล่าประสบการณ์ครึ่งศตวรรษเมื่อครู่ต่อไป
ตะขิ่น บา เตง ตินและพรรคพวกของเขาสามคน ไม่เคยเข้ามาในเขาภูตผีปีศาจ เมื่อพวกเขาเข้าไปในปากทางเข้าหุบเขา ก็พบว่าภูเขาเงียบสงบมากป่าที่หนาทึง และดูไม่ต่างจากภูเขาลูกอื่น
และนี่ก็ทำให้พวกของตะขิ่น บา เตง ตินรู้สึกอารมณ์เริ่มผ่อนคลายลง และเดินเข้าไปในภูเขาต่อ
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ เป็นป่าดงดิบที่ไม่มีมนุษย์คนไหนพิชิตได้ เดิมทีไม่มีถนนหนทางเลย ก่อนหน้านี้สองปีมีร่องรอยของคนจีนเข้ามา แต่ดูเหมือนว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่หนาบนพื้นดิน
เพราะคำบรรยายที่แปลกประหลาดและน่ากลัวของบรรพบุรุษที่มีต่อเขาภูตผีปีศาจ ทุกครั้งที่เดินไปสามถึงห้าเมตร ต้องใช้มีดทำสัญลักษณ์บนต้นไม้ เพื่อไม่ให้หลงทางบนภูเขา
ภูเขาที่นี่ไม่สูงชัน ในทางตรงกันข้ามกลับแบนราบ และช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างต้นไม้ไม่น้อย รถก็ยังสามารถผ่านไปได้ แค่ตรงกลางจะมีพวกหญ้าขึ้นเต็มไปหมดก็เท่านั้น ตะขิ่น บา เตง ตินและพรรคพวก และชาวจีนที่เข้ามาในภูเขาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็เดินไปตามเส้นทางนี้
และที่พวกเขาคาดไว้ก็ถูกต้อง เพราะเมื่อพวกเขาเดินออกไปประมาณหนึ่งไมล์ ทันใดนั้นตะขิ่น บา เตง ตินรู้สึกว่าวัตถุแข็งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เท้าที่มีรองเท้าฝารองรับรู้สึกเจ็บไปหมด
จากนั้นก็เปิดใบไม้ที่หนาๆ ดู วัตถุขนาดเล็กใหญ่สีเหลืองส้มปรากฎต่อหน้าของทุกคน
“ทองคำ ต้องเป็นทองคำแน่!” แม้ว่าสีของทองคำโลหะสี่เหลี่ยมนี้จะไม่เงาอยู่บ้าง ต่อให้พวกตะขิ่น บา เตง ตินจะไม่เคยเห็นทองคำมาก่อน แต่เมื่อครั้งแรกที่เห็น ก็มีความคิดนี้โผล่ขึ้นมา
ตามวิธีการสอนโดยคนรุ่นเก่า ตะขิ่น บา เตง ตินเอาทองคำที่มีออกซิเดชันอยู่ผิวนอกของตัววัตถุเข้าในปาก และกัดอย่างแรง หลังจากกัดแล้ว บนทองคำนั้น ก็จะมีรอยฟันที่จางๆ ติดอยู่
ต้องรู้ว่า ทองคำนั้นค่อนข้างอ่อน ต่อให้ใช้ตะปูขีดข่วนรอยบนทองคำจริง ทองคำที่มีคุณภาพสูงมากจะทิ้งร่องรอยไว้เล็กน้อย การทดลองของตะขิ่น บา เตง ตินพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาได้ทองคำนั้นแล้ว
การค้นพบครั้งนี้ ทำให้พวกตะขิ่น บา เตง ตินดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่า ทองคำก้อนนี้ก็คือทองคำที่พวกคนจีนขนมา แต่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงตกที่นี่เพียงก้อนเดียว โชคดีที่พวกเขาได้มันแล้ว
แม้ว่าสกุลเงินของทุกประเทศในโลกจะแตกต่างกันในเวลานั้น แต่ทองคำ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ประเทศไหน ต่างก็เป็นเงินตราสกุลแข็ง ทองคำดังกล่าวมีน้ำหนักเกือบสองกิโลกรัม ตามมาตรฐานการครองชีพในพม่าในเวลานั้น ก็เพียงพอสำหรับพวกเขาสองสามคนที่จะใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลในเวลาสิบกว่าปี
แต่ความโลภของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด พวกตะขิ่น บา เตง ตินถึงจะรู้ดีว่าทองคำก้อนนี้มีมูลค่ามาก แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังปรารถนา ที่จะหาความมั่งคั่งที่พวกคนจีนซ่อนไว้ เมื่อนึกถึงทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาค้นพบนั้น ทั้งสองสามคนถึงกับสั่นเทาไปทั้งตัวและดีใจมาก
ทองคำที่อยู่ตรงหน้า ทำให้พวกเขาลืมว่าตัวเองยังอยู่ที่กลางหุบเขาภูตผีปีศาจ หลังจากตะขิ่น บา เตง ตินเก็บทองคำได้แล้ว ทุกคนก็ได้ตัดสินใจที่หาทองคำที่เหลือให้เจอโดยไม่ต้องปรึกษากันเลย
แล้วก็เดินเข้าไปในภูเขาต่อ ทุกคนก็พูดคุยกันอย่างเมามัน หลังจากที่พวกเขาหาทองคำเจอ ทุกคนต่างก็พูดว่าจะไปแต่งเมียสามคน หรือเอาไปแต่งเมียห้าคนดี ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่มีความสุขและคึกคัก ทั้งหมดไม่รู้เลย พวกภูตปีศาจต่างก็โบกเคียวใส่พวกเขาอยู่
ต่อมาก็มีม้าล่อที่ผ่านมาทางนี้ ชายหนุ่มหลายคนที่ตกตะลึงหมกมุ่นความปรารถนา ไล่ตามมันไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้เข้าไปในหุบเขาภูตผีปีศาจที่ลึกสุดแล้ว
เมื่อตะขิ่น บา เตง ตินรู้สึกว่าดวงอาทิตย์อยู่เหนือเขาดูเหมือนจะไม่เปล่งแสงและความร้อนออกมาอีก ถึงรู้สึกได้ว่า พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเข้ามาในถ้ำที่กว้างใหญ่มาก
ถ้ำแห่งนี้มีความสูงประมาณ 20 เมตรและภูเขาด้านบนนั้นบางมาก ก้อนหินหลายที่ได้มีการแตกออกมา แสงแดดบางๆ ยังคงส่องแสงลอดถ้ำ นี่เป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อคิดถึงการกำชับของเหล่าบรรพบุรุษ รู้สึกถึงความมืดมนในถ้ำที่แสงสลัวอยู่แล้ว พวกตะขิ่น บา เตง ตินก็ขนลุกชู่ขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่าด้านหน้าจะเกิดอันตรายอะไรขึ้น
แต่เมื่อนึกถึงทองคำที่เอวของตะขิ่น บา เตง ติน บวกกับคนจีนเหล่านั้นก็ออกมาจากภูเขาซึ่งไม่เป็นอันตราย ในที่สุดความกล้าของพวกเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง จุดไฟเตรียมพร้อมแล้ว ก็เดินเข้าไปในถ้ำต่อ
อาจเป็นเพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตและพืชในถ้ำ หลังจากเดินเข้าไปอีก 50 หรือ 60 เมตรแล้ว พวกเขาพบว่า ก็มีร่องรอยของคนทิ้งไว้เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ บางที่ก็มีน้ำขัง จู่ๆ ก็เห็นรอยเท้าของม้าล่ออย่างชัดเจน จึงทำให้พวกของตะขิ่น บา เตง ตินดีใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ที่ก้อนหินด้านบนแตกและสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้ จู่ๆ ก็พบว่า ทางด้านหน้าของพวกเขา ก็มีทางแยกที่ปรากฎขึ้นสามารถไปได้ทุกๆ ทาง ทางแยกนี้ล้อมรอบไปด้วยน้ำที่ขัง ก่อตัวเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ กลางทางแยกตรงนั้น กลายเป็นเวทีเล็กๆ ที่ตั้งอยู่โดดๆ มีพื้นที่ประมาณยี่สิบกว่าตารางเมตร
ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องมาจากด้านบน ทำให้พวกตะขิ่น บา เตง ตินพบว่า บนเวทีเล็กๆ นั้น จู่ๆ ก็มีกล่องทำจากไม้ไผ่หวายและพวกไม้ 40 หรือ 50 กล่อง
อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่นี่ชื้น กล่องไม้จำนวนมากได้เน่าเปื่อย ในไม้ที่แตกออก ตะขิ่น บา เตง ตินก็เห็นแสงสีทองที่สว่างอยู่ข้างในนั้นได้ชัดเจน
ขุมทรัพย์ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ตะขิ่น บา เตง ตินและพรรคพวกก็อดไม่ได้ ทิ้งไฟลงไปในบ่อน้ำ รีบแย่งกันไปที่เวทีเล็กๆ สูงๆตรงนั้น
ในใจของตะขิ่น บา เตง ตินถึงแม้จะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่การเดินทางในครั้งนี้เขาเป็นคนที่เริ่มต้นขึ้น ในใจจึงเกิดความระมัดระวังตัวมากขึ้น ในขณะที่เพื่อนร่วมทางกระโดดโลดเต้นเข้าไปในบ่อน้ำ เขาก็ถือคบเพลิงยืนอยู่บนบก ไม่ได้ลงไปกับพวกเขา
และเป็นเพราะการระมัดระวังของตะขิ่น บา เตง ตินนี้ ถึงรักษาชีวิตเขาไว้ได้ เพราะคนนั้นที่วิ่งไปเวทีเล็กๆ เร็วที่สุด ก็เกิดตกใจขึ้น
ชายผู้ก้าวเท้าลงบนแท่นด้วยเท้าข้างหนึ่ง จู่ๆ ก็ตกลงไปในแอ่งน้ำโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า และแม้แต่ฟองคลื่นก็ยังไม่ได้พัดมา จู่ๆ ก็หายเข้าไปในน้ำแล้ว
ต้องรู้ว่า บ่อน้ำแห่งนี้ลึกแค่เอวเท่านั้น ในขณะที่คนยืนเป็นไปไม่ได้ที่จะท่วมเลยคอ ทันใดนั้นเหตุการณ์นี้ได้ทำให้ใบหน้าของตะขิ่น บา เตง ตินที่ยิ้มอยู่บนฝั่งถึงกับตกตะลึงทันที
ฉากที่อยู่ด้านหน้านี้ คนที่เหลือที่อยู่ในบ่อน้ำสองคนกลับไม่รู้สึกตัว ความสนใจของพวกเขาพุ่งไปที่ขุมทรัพย์ทองคำและเงินที่อยู่บนเวที ในขณะที่ตะขิ่น บา เตง ตินส่งเสียงเรียกออกมา พวกเขาเหมือนกับคนที่หนึ่ง แม้แต่ร้องตะโกนออกมาหนึ่งคำก็ไม่มี แล้วจึงหายไปในน้ำ สองมือคว้าตะเกียกตะกายออยู่บนผิวน้ำแค่สองสามครั้ง
“อ๊า!”
มีหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากผิวน้ำ หลังจากที่ส่งเสียงตกใจออกมา มันเหมือนกับถูกลากลงโดยมืออันใหญ่ของปีศาจ นี่เป็นคนแรกที่ประสบอุบัติเหตุในแอ่งน้ำ
แอ่งน้ำนี้ถึงแม้จะใสจนมองทะลุได้ และแสงสว่างที่สาดส่องลงมาบนหัว ตะขิ่น บา เตง ตินที่ยืนอยู่ด้านบนก็ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ความหวาดกลัว ทำให้ตัวของเขาแข็งทื่อ แม้แต่ความคิดที่จะหลบหนีนี้ก็ไม่ได้โผล่ขึ้นมา
ในสายตาของตะขิ่น บา เตง ตินเดิมทีในน้ำนั้นไม่มีตัวอะไรเลย แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเงายาวและร่างกำยำหลายสิบตัว พวกมันเหมือนมังกรเจียวหลง กลิ้งไปมาในสระน้ำ หางใหญ่ๆ โผล่ออกมาผิวน้ำเป็นครั้งคราว มากระทบกับผิวน้ำ
ตะขิ่น บา เตง ตินสะบัดฝันร้ายนี้ไม่ลงนานกว่าครึ่งศตวรรษ เป็นเพราะเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขาอย่างชัดเจน แม้แต่ฉากของสามคู่หูก็โดนงูอนาคอนดาตัวนั้นกัด ก็เห็นได้อย่างชัดเจน
จนถึงตอนนี้เขายังจำได้ ดวงตาที่สยดสยองและไร้ประโยชน์ของสหายเหล่านั้นที่อยู่ใต้น้ำ เงาที่เหมือนปีศาจ พันและกดทั้งสามคนตลอดเวลา ในท้ายที่สุดมันก็ดันลูกกระตาที่แข็งๆ ของทั้งสามคนออกมา ร่างกายที่เสมือนเป็นอัมพาตที่ลอยขึ้นเหมือนวัชพืชที่อยู่บนผิวน้ำ
จนถึงตอนนี้ งูอนาคอนดาเหล่านั้นเริ่มกินศพของทั้งสามคน งูอนาคอนดาอ้าปากกว้างและแบ่งกินส่วนแขนขาและหัวตามลำดับ ด้วยความพยายามทั้งหมด สระทั้งหมดก็กลายเป็นสระเลือด และตะขิ่น บา เตง ตินก็ไม่ได้เห็นสภาพน้ำที่ใสๆ อีก
ทันใดนั้นราวกับมีลมพัดเข้าตะขิ่น บา เตง ตินสั่นเทาไปหมด เมื่อสมองได้ฟื้นขึ้น หลังจากที่ควบคุมตัวเองได้ เขาก็ไม่กล้าที่จะหันไปมองที่บ่อน้ำ หันหลังกลับและหนีออกมา
ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะปีศาจที่กำลังกัดกินอาหารอยู่หรือไม่ ที่ด้านหลังของตะขิ่น บา เตง ตินก็ไม่มีงูอนาคอนดาตามา และในสมองของเขาก็มีแค่ความคิดที่จะหลบหนี จู่ๆ ก็หนีออกจากถ้ำปีศาจได้สำเร็จ และมาปรากฏตัวบนพื้น
แค่ได้สัมผัสกับแสงแดด ตะขิ่น บา เตง ตินก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา เรื่องที่เหลือเขาก็ไม่รู้แล้ว และตัวเองก็ไม่รู้กลับมาที่หมู่บ้านเล็กๆในภูเขาได้อย่างไร
……