หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 492 เดินทางมาถึงก่อน
จากนี้ไปอีกสิบกว่าปีข้างหน้า ความกลัวนั้นก็จะติดตามชีวิตของตะขิ่น บา เตง ตินมาโดยตลอด สภาพจิตใจของเขาเกิดความผิดปกติบ้างมีสติบ้างเป็นบางเวลา จึงทำให้เขาเหมือนเป็นคนบ้าๆ บอๆ วิ่งเพ่นพ่านอยู่ในหมู่บ้านทุกวัน
ในเวลาตอนที่รู้ตัว ตะขิ่น บา เตง ตินรู้สึกเสียใจ เสียใจกับความโลภที่ทำร้ายตัวเองและเพื่อนสนิท สุดท้ายเพื่อนสนิททั้งสามก็ต้องเสียชีวิต และทองคำที่พันอยู่รอบเอวนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไร
เวลาที่ตะขิ่น บา เตง ตินเกิดจิตฟั่นเฟือน ก็จะชอบตะโกนเสียงดังว่าในภูเขานั้นมีทองคำและปีศาจอยู่ ทองคำทั้งหมดนั้นเจ้าปีศาจสร้างขึ้นมา พวกมันจะสามารถกลืนกินคนเป็นๆ ลงไปในท้องได้
ตามตำนานเล่าขานของโบราณบวกกับวิธีการพูดของตะขิ่น บา เตง ตินแล้วจะมีใครหน้าไหนกล้าเข้าไปในภูเขาปีศาจอีก? อย่าว่าแต่เรื่องทองคำที่พูดออกมาจากปากของคนบ้าคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นเรื่องจริง สภาพน่าเวทนาของตะขิ่น บา เตง ตินก็มากพอที่จะทำให้คนเห็นภูเขาปีศาจแล้วก็ต้องถอยกลับทันที
ถ้าหากว่าไม่ใช่หลังจากนี้อีกสิบกว่าปี คำพูดบ้าๆ บอๆ ของตะขิ่น บา เตง ตินได้ถูกคิตะมิยะ นาโอกิได้ยินเข้า บางทีเขาอาจจะยังโทษตัวเองและจมอยู่กับความเสียใจและความหวาดกลัวที่ไม่อาจถอนตัวได้
“ตะขิ่น บา เตง ติน ตอนที่นายพบทองคำข้างบนนั้นมีตัวหนังสืออะไรไหม?”
หลังจากฟังการบรรยายของตะขิ่น บา เตง ตินจบแล้ว ดวงตาของคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เป็นประกายขึ้นมา เขาเกือบจะแน่ใจว่า ทรัพย์สินและทองคำพวกนั้นของตระกูลตัวเองที่หายไป ถูกซ่อนอยู่ภายในภูเขาปีศาจ
ต้องรู้ว่า อยู่ในพม่าตามหามาแล้วหลายปีแล้ว คิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภูเขาปีศาจ หนำซ้ำยังเคยส่งคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปค้นหาในภูเขา เพียงแต่คนที่เขาทยอยส่งไปสิบกว่าคนนั้น ไม่มีใครมีชีวิตรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว
คนที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะส่งไป ล้วนเป็นคนฝีมือดีติดอาวุธพรั่งพร้อมและกำลังใจก็ฮึกเหิมของตระกูล คาดไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งกองทัพเมื่ออยู่ในภูเขา จึงทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะคิดว่าที่นั่นคือสถานที่อันตราย คนจีนจึงไม่สามารถเข้าไปและซ่อนของทองคำได้อย่างแน่นอน
บวกกับตะขิ่น บา เตง ตินที่บ้าๆ บอๆ วิ่งร่อนไปทั่วนั้น จึงไม่ถูกคนในตระกูลคิตะมิยะค้นพบเข้า ดังนั้นจนถึงตอนนี้ คิตะมิยะ ฮิเดโอะเพิ่งจะได้ข่าวที่แน่นอนของสมบัติและทรัพย์สินก้อนนั้น
“ผมไม่รู้จักตัวหนังสือ แต่ว่าพวกลวดลายคดๆ งอๆ ที่อยู่บนภาพวาดเหล่านี้!” ตลอดชีวิตของตะขิ่น บา เตง ตินไม่เคยได้ออกจากหมู่บ้านบนภูเขานั้นเลย และเนื่องจากถูกปิดกั้นด้านข่าวสาร กระทั่งคนญี่ปุ่นเคยยึดครองพม่าทั้งหมดเขาก็ยังไม่รู้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขารู้จักตัวหนังสือญี่ปุ่นไหม
“คุณวาดภาพออกมาได้ไหม?” เสียงของคิตะมิยะ ฮิเดโอะสั่นเครือเล็กน้อย ถึงแม้ภายในใจเขาจะมั่นใจแล้วว่าตะขิ่น บา เตง ตินเคยเห็นทองพวกนั้น มันได้หล่นหายไปตอนอยู่ที่พม่า แต่กลับตามหามากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ทำให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีก
“ได้สิ!”
ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ในหัวของตะขิ่น บา เตง ตินจะนึกถึงพวกทองคำกับงูอนาคอนดายักษ์ ลวดลายที่อยู่บนทองคำ เขาได้จดจำอยู่ภายในใจได้อย่างแม่นยำ ตอนที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะยื่นกระดาษกับปากกาให้เขา จากนั้นเขาก็ลงมือวาดมันขึ้นมา
“โชวะ?!”
ถึงแม้ว่าตะขิ่น บา เตง ตินจะวาดภาพขยุกขยิกไปมาบนกระดาษ แต่ว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะมองปราดเดียวก็จำได้ ตัวหนังสือสองตัวที่อยู่ด้านบนนั้นก็คือ “โชวะ” อีกทั้งยังเป็นรัชสมัยของจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่ท่านนั้นที่เปิดฉากการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นในตอนนั้น
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คนญี่ปุ่นมีนิสัยเคยชินอย่างหนึ่ง นั้นก็คือหลังการปล้นสะดมทองคำและเครื่องเงินเหล่านั้น พวกเขาก็จะนำทองคำเหล่านั้นไปหลอมละลาย หลอมทั้งหมดให้กลายเป็นเหมือนทองคำแท่งเล็กใหญ่ จากนั้นก็ขนกลับไปยังญี่ปุ่นถิ่นฐานเดิม
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความแจ่มแจ้งถึงฐานะที่สูงส่งของจักรพรรดิญี่ปุ่นและกำลังทหารของพวกเขา บนทองคำเหล่านี้จะถูกสลักชื่อรัชสมัยของ “จักรพรรดิโชวะ” หลังจากที่ได้เห็นตัวหนังสือสองตัวนี้แล้ว คิตะมิยะ ฮิเดโอะจึงไม่เกิดความสงสัยใดๆ อีก
“สิ่งที่ผมรู้ก็พูดออกมาหมดแล้ว ผมจะกลับบ้านได้เมื่อไร?”
ต่อให้ตะขิ่น บา เตง ตินจะต้องโง่มากกว่านี้ ก็สามารถดูออกว่า เป้าหมายของคนพวกนี้ก็คือทองคำเหล่านั้น ทว่าตอนนี้ความปรารถนาที่จะได้ทรัพย์สินเหล่านั้นของเขานั้นได้หายไปนานแล้ว เพียงแค่คิดว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นเพื่อเลี้ยงดูตัวเองยามแก่เฒ่า
“ตะขิ่น บา เตง ติน คุณไปพักผ่อนได้แล้ว วางใจได้ ไม่ช้าพวกเราจะส่งคุณกลับไปโดยเร็วที่สุด!” ใบหน้าที่เคร่งขรึมของคิตะมิยะ ฮิเดโอะได้เป็นการทำสัญญากับให้กับตะขิ่น บา เตง ติน จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้คิตะมิยะ นาโอกิให้หาคนส่งเขากลับไป
“หัวหน้าครับ พวกเราควรที่จะ?” หลังจากให้ลูกน้องนำตะขิ่น บา เตง ตินออกไปจากห้อง คิตะมิยะ นาโอกิก็ทำท่าบางอย่างที่ลำคอ
“บากะ (ไอ้โง่) เมื่อกี้ที่ฉันพูดแกไม่ได้ยินหรือไง?”
ของคิตะมิยะ ฮิเดโอะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตบเข้าไปที่หน้าของคิตะมิยะ นาโอกิ พลางสั่งสอนเสียงดังว่า “มันเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าไปในเขาปีศาจและรอดชีวิตกับมาได้ ถ้าพวกเราอยากได้ทองคำพวกนั้น ก็จำเป็นต้องยืมใช้ตัวมันก่อน หรือว่าแกอยากจะฆ่ามันให้ตายนักใช่ไหม?”
“รับทราบ(ไฮ) ผมบุ่มบ่ามไปหน่อยครับ!” ถึงแม้ว่าปากจะมีเลือดซิบ แต่ว่าคิตะมิยะ นาโอกิก็ไม่กล้าเอามือไปเช็ด สองเท้าชิดกันก้มหน้า และยืดหน้าอกตรง
ที่ญี่ปุ่น ไม่สนว่าจะเป็นเขตทหารรัฐบาลหรือครอบครัวของประชาชนทั่วไป จะมีนิสัยอย่างหนึ่งคือไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องหรือหัวหน้ากับลูกน้องก็จะใช้วิธีตบหน้าสั่งสอนจนเคยชิน เพื่อที่จะบอกว่าพวกเขานั้นไม่รู้จักเจียมตัว หลังจากที่ถูกตบหน้าสั่งสอนแล้ว จะไม่อนุญาตให้หลบเด็ดขาด อีกทั้งยังจำเป็นต้องยืดอกตั้งตรงและก้มหน้า
คนญี่ปุ่นคิดว่า สิ่งที่สูงส่งที่สุดคือศีรษะของคนเรา คำขอโทษของคุณ ถ้าศีรษะยิ่งก้มต่ำลงมากเท่าไร ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในละครหรือชีวิตจริง สิ่งที่ทให้คนมีความทรงจำที่ลึกซึ้งของคนญี่ปุ่น ก็คือเป็นเพราะว่าภาพลักษณ์ของการตบหน้าสั่งสอนอย่างหนักหน่วง
“หัวหน้าครับ ตามที่ตะขิ่น บา เตง ตินได้บอกไว้ ภูเขาปีศาจนั้นมีอันตรายเป็นอย่างยิ่ง พวกเราต้องระวังตัวเป็นพิเศษเช่นกัน!”
หลังจากที่เห็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องโดนตบ คิตะมิยะ ฮิโคโตชิจึงรีบประเด็นพูดทันที เมื่อครู่การบรรยายของตะขิ่น บา เตง ตินก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญหายเช่นกัน ในหัวจึงจิตนาการภาพที่งูอนาคอนดายักษ์กินคนเป็นๆ เป็นอาหาร
และคนของตระกูลคิตะมิยะที่มาในครั้งนี้นั้นล้วนแล้วมีความกล้าหาญฮึกเหิม คิตะมิยะ ฮิโคโตชิก็กลัวว่าจะทำให้แผนของตระกูลคิตะเสียหาย แม้ว่าเขาจะรับช่วงต่อจากหัวหน้า แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย
พวกคนในพื้นที่ไม่รู้ประสาเหล่านี้ พวกเธอก็เชื่อในเทพพระเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ด้วยอย่างนั้นหรือ
คิตะมิยะ ฮิเดโอะไม่ได้ไว้หน้าให้แก่บรรพบุรุษของตัวเองแม้แต่น้อย “คิตะมิยะ นาโอกิ ทันใดนั้นก็รับไปจัดเตรียมของใช้ที่จำเป็นและยาที่สำคัญไว้สำหรับการเข้าไปในภูเขา พรุ่งนี้เช้า ทุกคนมาเจอกันที่รัฐฉาน นี้เป็นโอกาสที่จะได้เชิดหน้าชูตาของตระกูลคิตะมิยะ!”
“ครับ!” เมื่อครู่ถูกตบสั่งสอนไปอีกครั้ง จึงทำให้คิตะมิยะ นาโอกิใจลอยไปบ้าง และไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อวาโสที่อยู่ตรงหน้าอีกเลย หลังจากที่ตอบรับแล้วนั้น จึงรีบเดินออกไปจากห้อง จนกระทั่งคิตะมิยะ ฮิโคโตชิส่งสายตาให้เขาก็ยังไม่เห็น
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า มีเงินทำอะไรก็คล่องตัว ภายใต้เงินมหาศาล การเตีรบมงานจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว คิตะมิยะ นาโอกิได้รวบรวมรถออฟโรดกว่าสามสิบคันมุ่งหน้าตรงไปยังรัฐฉาน และคนในตระกูลคิตะมิยะ ก็นั่งรถบัสเข้าไปในเช้าของวันที่สอง
…
ขณะที่คิตะมิยะ นาโอกิเดินทางมาถึงพม่าพร้อมกับหาคนไปช่วยล่าสมบัติ ส่วนเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ที่กำลังขับรถหุ้มเกราะมุ่งหน้าไปทางตองยี
อีกทั้งพื้นที่ของพม่าล้วนแล้วแต่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ภูมิประเทศเป็นลักษณะทิศเหนือสูงทิศใต้ต่ำ ทางทิศตะวันออกจึงเป็นที่ราบสูงรัฐฉาน และยังเรียกอีกอย่างว่ายอดเขาคากาโบราซีที่สูงที่สุดในพม่า เส้นทางค่อนข้างที่จะเดินทางลำบาก ถ้าเกิดว่าไม่ได้ยืมรถหุ้มเกราะนี้มาแล้วล่ะก็ กลัวว่าจะไปไม่ถึงตองยีต้องเสียเวลาอีกสองสามวัน
วันที่สองแสงยามค่ำคืนกำลังใกล้เข้ามา เยี่ยเทียนและพรรคพวกเพิ่งจะมาถึงตองยีทางใต้ที่มีระยะห่างจากทะเลสาบอินเลสิบกิโลเมตร
“เจ้านาย วันนี้พวกเราก็ตั้งแคมป์พักในป่านี้ก่อนแล้วกัน ของพวกนี้ทิ้งไว้ข้างนอกไม่ค่อยปลอดภัย”
มาราไกย์ที่เอารถหุ้มเกราะจอดไว้ไม่ไกลจากทะเลสาบอันเลในซอกหุบเขา รถของเขาเป็นเหมือนคลังแสงขนาดเล็ก ถึงแม้ว่าจะมีใบอนุญาตที่ออกโดยนายพลปอกาง แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าปลอดภัยมาก ถ้าเกิดว่ามีคนพบเห็นแล้วก็ พวกเขาก็จะเดินทางในพม่าลำบากเช่นกัน
เยี่ยเทียนพยักหัว หลังจากที่ดูแผนที่เรียบร้อยแล้ว พูดว่า “พรุ่งนี้พวกเราเราจะมุ่งหน้าไปทางดังหยางในเขตรัฐฉาน วันเดียวน่าจะไปไม่ถึง พวกเราพักระหว่างทางสักวัน”
ถึงแม้ว่าหัวหน้ากองทัพรัฐฉานคุณซาได้ยอมจำนน ขบวนรถของพวกเขาจะไม่ถูกรบกวนโดยกบฏรัฐฉาน แต่เมื่อยิ่งใช้เส้นทางของรัฐฉาน เส้นทางก็ยิ่งขรุขระ เยี่ยเทียนใช้ระยะเวลาสองวันในการเดินทาง นี่คือการมองโลกในแง่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากที่วางแผนการเดินทางกับมาราไกย์เรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็ขับรถเดินทางไปยังทะเลสาบอันเล หลายปีมานี้มีการทำสงครามอย่างต่อเนื่อง เจ้าพ่อค้ายามากมายหรือพวกมหาเศรษฐีพาหนะที่ใช้ในการโดยสารส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถหุ้มเกราะ เพราะฉะนั้นรถหุ้มเกราะของเยี่ยเทียนก็ไม่ได้เป็นที่ดึงดูดสายตาคนอื่นสักเท่าไร
ทะเลสาบมีพื้นที่ครอบคลุมใหญ่มาก มีเกาะลอยจำนวนมากที่เกิดจากการสะสมของพืชน้ำที่ผุพังในน้ำทะเลสาบ ชาวบ้านสร้างบ้านบนเกาะลอยเพื่อให้แขกได้เยี่ยมชมและพักอาศัย ก่อตัวเป็นภูมิทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นที่ดึงดูดและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่อยากมาเที่ยวชมไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากทานอาหารประจำท้องถิ่นของพม่านิดหน่อย ยามราตรีก็ปกคลุมไปทั่ว แต่ทะเลสาบอันเลกลับมีแสงไฟสว่างออกมา ชาวบ้านเผ่าอินทาในท้องถิ่นจุดไฟบนเกาะลอย มีการแสดงการพายเรือสำหรับแขกที่อาศัยอยู่บนเกาะ จนกระทั่งตกกลางคืนทะเลสาบก็กลับสู่ความเงียบสงบขึ้นมา
เช้าของวันที่สองเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ออกจากทะเลสาบอันเล มุ่งหน้าไปยังรัฐฉาน ในเวลาเดียวกัน เส้นทางไปยังตองยีส่วนใหญ่จะเป็นจะถึงพื้นที่ราบของมัณฑะเลย์ กองทัพทหารขนาดใหญ่ก็เริ่มกำลังเดินทางไปยังพม่า
แต่ว่าระยะห่างของมัณฑะเลย์และระยะห่างของรัฐฉาน ค่อนข้างใกล้กว่าตองยี ตอนที่เยี่ยเทียนเดินทางได้ครึ่งทางก็ตั้งค่ายพักแรม รถออฟโรดสามสิบหรือสี่สิบคันได้รวมตัวกันในพื้นที่ภูเขาในดังหยางของรัฐฉาน แต่ที่นี่คือที่เดียวกันกับหมู่ในภูเขาที่ตะขิ่น ตะ เตง ตินอาศัยอยู่
กองทัพทหารขนาดใหญ่กว่าร้อยชีวิต ทำให้หมู่บ้านในภูเขาเกิดความคึกคักขึ้นมา แต่ว่าเมื่อได้ยินว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะจะมาทำลายคำสาปของภูเขาปีศาจและบุกยึดสิ่งของเหล่านั้น ชาวบ้านพวกนี้ต่างยกย่องให้คิตะมิยะ ฮิเดโอะและพรรคพวกเป็นแขกผู้เกียรติ ไม่มีการขัดค้านของการมาเยือนของพวกเขา
“หัวหน้า ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว พวกเราต้องเริ่มเข้าไปในภูเขาพรุ่งนี้เช้า?”
เมื่อมองไปยังทางเข้าภูเขาผีปีศาจที่มืดสนิทจากที่ไม่ไกล และไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด ภายในใจของคิตะมิยะ ฮิโคโตชิมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าให้เขาเลือกแล้วละก็ เขาก็จะพาทุกคนหันหลังกลับ ไม่มีทางที่จะเข้าไปในนั้นเด็ดขาด
คิตะมิยะ ฮิเดโอะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “กองทัพทหารกลุ่มหนึ่ง ที่ฉีดพ่นกำมะถันไปตามริมทางเดิน ส่วนคนที่เหลือ พรุ่งนี้เริ่มเดินทางขึ้นเขากันแต่เช้า”
……