หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 518 ผ่าหิน (2)
“เยี่ยเทียน ผ่าตรงไหนลงไปก็ได้ครั้งหนึ่งก็พอแล้ว วัตถุดิบชิ้นนี้ดูเหมือนจะเป็นหินผสมหยกพม่า ถึงจะมีสัญลักษณ์ของหยกดิบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีหยกพม่าออกมาแน่นอน”
ได้ยินคนรอบข้างวิจารณ์ ใบหน้าของหลิ่วซีกั๋วรู้สึกถึงไอร้อนผ่าว ครั้งนี้เกรงว่าตระกูลจั่วอัญมณีจะโด่งดังอีกแล้ว งานประมูลครั้งนี้จัดมาสิบกว่าวันยังไม่มีใครสอบถามถึง “หินดิบชั้นเลิศ” เพราะถูกพวกเขาซื้อไปแล้ว
ดังนั้นคราวนี้หลิ่วซีกั๋วจึงไม่เกรงใจฐานะ “รุ่นพี่” ของเยี่ยเทียนอีก เผลอเอ่ยคำพูด “ตักเตือน” เขาออกมา รีบผ่าหินเร็วๆ แล้วจะได้ไป จะได้ไม่ต้องขายหน้าต่อคนมากมายอย่างนี้
“ซีกั๋ว คุณสามารถมองทะลุผิวหินนี้ว่าข้างในคืออะไรได้ไหม?”
เยี่ยเทียนหยุดมือ แม้ปากจะพูดอยู่กับหลิ่วซีกั๋ว แต่ดวงตากลับมองไปยังผู้คนเหล่านั้นที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่รอบทิศ
“ถึงผมจะมองไม่ออก แต่ว่าท่านอา การพนันหินนี่ก็ต้องใช้ทักษะนะครับ” หลิ่วซีกั๋วได้ยินแล้วชะงักงัน เขาเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน หรือเขาคิดว่าข้างในมีหยกพม่าอยู่จริง ๆ?
“มองไม่ออกก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นพวกคุณทุกคนก็คงรวยกันหมดแล้ว?” เยี่ยเทียนเหลือบมองหลิ่วซีกั๋วอย่างไม่พอใจ คำพูดนั้นราวกับตบหน้าฝูงชน ฟังดูออกจากกวนส้นเท้า
“พ่อหนุ่ม พนันหินมันไม่ง่ายอย่างที่นายคิดนะ อย่าคุยโม้ให้มากนัก”
“นั่นสิ เลือก ‘ก้อนขี้หมา’ มาส่งๆ แล้วหวังจะผ่าให้ได้หยกพม่า มันง่ายอย่างนั้นที่ไหนกัน?”
“ตระกูลจั่วมีคนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร? พวกเรามาดูกัน ว่าพวกเขาจะผ่าหยกพม่าแบบไหนออกมาได้?”
คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนทำให้ผู้คนเดือดดาล ผู้คนที่ยืนชมอยู่ต่างส่งเสียงฮึ่มฮั่ม ใบหน้าของแต่ละคนเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชา พวกเขาอยากดูว่าเจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้จะผ่าเอาหยกพม่าออกมาจาก “เศษขยะ” ชิ้นนี้ได้อย่างไร?
“ผมเองก็ไม่ได้เชิญพวกคุณมาดูการตัดหิน มีแต่พวกเสนอหน้ามาโดยไม่ได้เชิญกันทั้งนั้น!”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก เขาไม่คิดจะคลุกคลีในวงการนี้แม้แต่น้อย และไม่กลัวจะไปหนักหัวใคร คำพูดพึมพำกับตัวเองนี้กลับทำให้ผู้คนได้ยินอย่างชัดเจน ทำเอาเหล่าอาวุโสวงการพนันหินเหล่านั้นต่างก็โกรธจนควันออกหู
“ท่านอา ท่านยังต้องร่างเส้นอีกหรือเปล่า? ถ้าไม่ร่างล่ะก็รีบผ่าเร็วๆ กันเถอะ?”
เวลานี้หลิ่วซีกั๋วแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว คนอื่นทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่ไม่แน่อาจเจะมินใส่ตระกูลจั่วอัญมณีในภายหลัง และในสถานที่แห่งนี้มีบริษัทค้าอัญมณีที่มีอิทธิพลไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ต่างก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลจั่วค้าอัญมณีของพวกเขา
“ได้ งั้นผมจะผ่าเลย”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่คิดจะอยู่ในพม่านานนัก หลังจากวางตำแหน่งหินดิบก้อนนั้นดีแล้ว มือซ้ายก็กดเปิดสวิตช์เครื่องผ่าหิน ฟันเลื่อยอัลลอยสีเงินทั้งแผ่นนั้นพลันเหวี่ยงหมุนอย่างรวดเร็วทันที
มือขวาจับยังมือจับล้อเฟือง เยี่ยเทียนค่อยๆ กดฟันเลื่อยลงไป เมื่อฟันเลื่อยสัมผัสกับหินดิบ ฝุ่นหินก็ปลิวกระจายขึ้นมา
เครื่องตัดหินชิ้นนี้ที่เยี่ยเทียนเลือก เป็นชิ้นที่ใหญ่ที่สุดภายในลาน รัศมีของฟันเฟืองลึกถึงสี่สิบเซนติเมตร แต่ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนต้องการจะตัด ลึกลงไปเพียงประมาณสามสิบห้าเซนติเมตรเท่านั้น หมายความว่า พอตัดลงไปก็จะผ่าให้เห็นผิวด้านในออกมา
เยี่ยเทียนเคลื่อนไหวไม่ว่องไวนัก แต่ใช้ความเร็วคงเส้นคงวาในช่วงเวลาระหว่างมีดตัดลงไปจนถึงตอนใกล้จะผ่าหินออกจากกัน หลังจากเสียง “แกร๊ก” ของฟันเฟืองเสียดสีกับหิน เสียง “ปึง” หนักหน่วงก็ดังขึ้น หินดิบหนักสามสิบกว่ากิโลกรัมก็แตกออกจากกัน กระแทกลงอย่างรุนแรงบนพื้นดินใต้เครื่องตัดหิน
“ดูสิ มีอะไรออกมาไหม?”
“รีบใช้น้ำล้างให้สะอาดเร็ว หมอนี่ผาหินไม่เป็นจริงๆ ทำพื้นที่สกปรกไปหมด”
พอผ่าผิวหินออกมา ผู้ชมต่างขยับเขยื้อนตัว ถึงขั้นมีคนลากสายฉีดน้ำมา ใช้น้ำฉีดขึ้นไปยังผิวตัดบนเครื่องตัดหิน ทำให้เยี่ยเทียนต้องขยับไปอีกทาง ราวกับคำเย้ยหยันเมื่อครู่ไม่ได้ออกมาจากปากพวกเขา
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันน่ะ?”
มือของเยี่ยเทียนจับแน่นบนเครื่องตัดหิน ออกจะสับสนในความคิด หรือว่าคนพวกนั้นจะมีสายตาที่แหลมคม สามารถมองทะลุผิวตัดชิ้นนี้ของตัวเอง จนสามารถมองเห็นของข้างใน? แต่…แต่เยี่ยเทียนเองยังไม่รู้เลยว่าของที่โผล่ออกมาจากข้างในนั้นที่แท้คืออะไรกันแน่
“ซีกั๋ว พวกเขาทำอะไรน่ะ?” เยี่ยเทียนวางมือจับฟันเลื่อยลง หันหน้าไปทางหลิ่วซีกั๋ว หากไม่ใช่เพราะคำเยาะเย้ยของคนเหล่านี้เมื่อครู่ เยี่ยเทียนคงคิดว่าพวกเขาล้วนเป็นเหลยเฟิงผู้มีน้ำใจแห่งยุคปัจจุบัน
หลิ่วซีกั๋วไม่เห็นด้วยกับสถานการณ์นั้นนัก มองยังเยี่ยเทียนแล้วหัวเราะตอบ “ท่านอา พนันหินก็เป็นแบบนี้แหละ พอผ่าหินออกมาแล้ว ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าได้กำไรหรือขาดทุน!”
เสน่ห์ยิ่งใหญ่ที่สุดของการพนันหิน แน่นอนว่าต้องอยู่ที่การผ่าหิน ระหว่างขั้นตอนการผ่า แม้เป็นผู้สูงอายุที่คลุกคลีอยู่ในวงการมาหลายสิบปีพวกนั้น ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกันทุกคน เพราะนั่นไม่เพียงเป็นการพิสูจน์สายตาตัวเอง แต่เป็นการตัดสินเงินในกระเป๋าพวกเขาด้วย
ที่สำคัญ ต่อให้เป็นปรมาจารย์พนันหินผู้มีประสบการณ์ ก็ยังไม่กล้ายืนยันว่าภายในหินหนึ่งก้อนมีหยกพม่าหรือคุณสมบัติดีหรือไม่ดีอยู่ภายใน หากอยากรู้ผลลัพธ์ มีแต่ต้องพึ่งการผ่าหินเท่านั้น การผ่าหินจึงมีคำกล่าวว่า “หนึ่งดาบสู่สวรรค์หนึ่งดาบสู่นรกอเวจี” มาตลอด โชคและการเสี่ยงพนันของวลีนี้ เมื่อใช้วงการพนันหินนับว่าเหมาะสมเป็นที่สุด
พอเวลาผ่านไปก็กลายเป็นกฎเกณฑ์ ขอเพียงบนลานมีการผ่าหิน ล้วนสามารถดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก แม้จะไม่ใช่หินของพวกเขาก็ตาม คนพวกนี้ก็พร้อมจะส่งเสียงเชียร์เมื่อมีกำไร และถอนหายใจเมื่อพบว่าขาดทุน
แน่นอนว่า เหล่าผู้ชมตรงหน้าในวันนี้ กลัวว่าจะพลิกกลับตาลปัตร พวกเขาล้วนกลั้นใจรอดูเยี่ยเทียนขาดทุน และเกรงว่าความคิดแบบนี้น้อยนักที่จะเห็นในกลุ่มนักพนันหิน
“เป็นยังไงบ้าง? ผ่าได้อะไรออกมา?”
“นั่นสิ ขอพวกเราดูหน่อย ผ่าออกมาแล้วขาดทุนใช่ไหม?”
ผิวตัดนี้มีพื้นที่ให้เห็นเพียงหนึ่งตารางฟุต พอมีคนสามถึงห้าคนเดินมาล้อมรอบ คนที่อยู่ด้านหลังก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว ต่างเกาหัวเกาหูด้วยความสงสัย แทบจะอยากยันเท้าลงบนก้นที่อวบอ้วนอยู่ข้างหน้าเสียให้ได้
“อ้าว ทำ…ทำไมถึงกลายเป็นเนื้อหมอกล่ะ แบบนี้ แบบนี้ก็บอกไม่ได้ว่าได้กำไรหรือขาดทุนน่ะสิ”
ท่ามกลางความเร่งรัดของผู้คนที่อยู่ด้านหลัง ชายชราผมหงอกเต็มหัวผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย เขาอยู่ในวงการพนันหินมาสี่สิบกว่าปีแล้ว คลุกคลีอยู่ในเขตชายแดนจีนพม่ามาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติเศรษฐกิจ แต่ยังไม่เคยพบเห็นสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน
“ถังเหล่า นี่มันเรื่องอะไรกัน? หินนั่นคืออะไรกันแน่ อธิบายให้พวกเราฟังหน่อยสิ!”
เมื่อเห็นผู้เฒ่าคนนั้นลุกขึ้นยืน ผู้คนด้านหลังก็หยุดส่งเสียงฮือฮาทันที ทุกคนที่คลุกคลีในวงการพนันหิน ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับคนผู้นี้ เพราะชื่อเสียงของเขาในวงการนั้นโด่งดังมากจริงๆ
ตระกูลของถังเหล่ามีธุรกิจทำการค้าเกี่ยวกับอัญมณีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ในอดีตแหวนหยกที่สวมหัวแม่มือทำจากหยกเขียวพม่าของท่านยายองค์ชายกงชินหวังที่ถูกซูสีไทเฮาช่วงชิงไปชิ้นนั้น ก็ได้มาจากมือของต้นตระกูลถังเหล่า ภายหลังเครื่องประดับศีรษะที่ตกแต่งไปด้วยหยกพม่าชิ้นนั้นของซูสีไทเฮาก็ได้มาจากการถวายของตระกูลถัง
พักเรื่องประวัติความเป็นมาของครอบครัว ถังเหล่าเองก็วนเวียนอยู่เขตชายแดนจีนพม่ามาตั้งแต่วัยหนุ่ม ทำอาชีพพนันหินมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ตอนที่ลงมือคัดหินแทบไม่เคยพลาดมาก่อน จึงได้รับการขนานนามจากคนในวงการว่าเป็น “ราชาแห่งหยกพม่า”
พวกผู้ชมเหล่านี้กล้าเหยียดหยามเยี่ยเทียน แต่ว่าต่อหน้าถังเหล่าต่างนอบน้อมกันอย่างมาก เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วครุ่นคิด ภายในลานก็เงียบสงบลงทันที
“วัตถุดิบชิ้นนี้ฉันเคยเห็นมาก่อน ผิวภายนอกเขียวภายในแดงก่ำ ราวถูกแร่เหล็กกัดกร่อน ผิวตัดไม่มีเนื้อหมอกและไม่เห็นเนื้อหยกพม่า หากว่ากันตามทั่วไปคือเศษขยะชิ้นหนึ่ง”
ถังเหล่าครุ่นคิดอยู่สักครู่ เห็นผู้คนล้วนรอฟังเขา ก็ยิ้มแย้มกล่าวว่า “แต่น้องชายคนนี้ตัดออกมาเป็นเนื้อหมอก อีกทั้งภายในยังมองเห็นสีแดงเลือนราง ดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหยก!”
“อะไรนะ? ถังเหล่า ความหมายของคุณคือ เขาผ่าออกมาได้กำไรเหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้ ขยะ…ขยะชิ้นนี้นะหรือจะเป็นหยกแดงไปได้?”
“ราคาหยกแดงก็ไม่สูง อย่างมากก็ได้กำไรนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่างจะมีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
ถังเหล่าพูดออกมาครั้งนี้ ภายในลานกลับกลายเป็นฮือฮาขึ้นมาทันที บางคนเผยสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ บางคนที่ยืนอยู่ใกล้ ถึงกับเอาไฟฉายกำลังสูงส่องเข้าไป เอากระจกไฟฉายแนบชิดกับผิวตัดของหินดิบ ด้วยอยากเห็นสีของแสงที่ส่องจากภายใน
คราวนี้เยี่ยเทียนกลับกลายเป็นคนอยู่เฉยๆ ใช้แขนกระทุ้งหลิ่วซีกั๋วที่ยืนเหม่ออยู่นิดนึง แล้วถาม “ซีกั๋ว หยกแดงนี่มันคืออะไรกัน? ก็คือหยกใช่ไหม?”
“หยกแดงก็คือหยกแหละครับ” หลิ่วซีกั๋วแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ตอบว่า “ท่านอา ท่าน…ท่านช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ หยกแดงนี้ถึงแม้ราคาไม่สูงมาก แต่…แต่ก็นับว่าผ่าได้กำไรแล้ว”
ในวงการหยกพม่า มีคำอธิบายเรื่องหยกพม่าสีแดงและสีเขียวมาแต่โบราณ สีสันของหยกพม่า ถูกสร้างขึ้นโดยการกัดกร่อนของแร่ใต้ดิน เช่นหยกแดงส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากแร่เหล็กแดงผสมผสาน ด้วยใต้ดินมีแร่เหล็กมาก ดังนั้นหยกแดงจึงพบเห็นได้บ่อยกว่า ราคาในตลาดจึงไม่ค่อยสูงนัก มักจะถูกจัดเป็นสินค้าระดับกลางหรือระดับล่าง
แต่ว่าแม้หยกแดงจะถูกแค่ไหน เยี่ยเทียนก็ยังทำกำไรได้ไม่ขาดทุน วัตถุดิบชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เขาจ่ายไปด้วยราคาเพียงสามร้อยดอลลาร์สหรัฐ จึงนับว่าไม่ต่างจากได้ของฟรี ที่สำคัญ วัตถุดิบชิ้นใหญ่ขนาดนี้ต่อให้นำหยกดิบสีแดงออกมาได้เพียงสิบกว่าชั่ง ก็ยังมีมูลค่าหลายแสน
เวลานี้ผู้คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างเครื่องตัดหิน ล้วนเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา พวกเขานึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะโชคดีจริงๆ กลับผ่าเอาหยกพม่าออกมาจากหินดิบขี้หมาก้อนนี้ได้
โบราณว่าผู้ชนะคือผู้ตัดสิน การพนันหินเองก็เป็นเช่นนั้น แม้จะยังไม่ผ่าหยกแดงออกมาจนเสร็จสิ้น แค่เพียงปรากฎเนื้อหมอกออกมาอย่างนี้ ผู้คนจึงเปลี่ยนสายตามองเยี่ยเทียนเสียใหม่ ท่าทียโสโอหังที่เยี่ยเทียนแสดงออกมาเมื่อครู่ ราวกับกลายเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นไปเช่นเดียวกัน
ขณะที่ผู้คนกำลังตกตะลึงในความโชคดีของเยี่ยเทียน ถังเหล่ากลับคุกเข่าตรวจสอบผิวตัดด้วยตัวเอง หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็พูดกับเยี่ยเทียนว่า “น้องชายท่านนี้ ด้านล่างตัดต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ คุณใช้เครื่องขัดแซะเข้าไปข้างในเพียงหนึ่งนิ้ว ก็คงจะเห็นเนื้อหยกแล้ว”
“ครับ ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า ยกเอาเครื่องขัดที่อยู่ด้านข้างเครื่องตัดหินขึ้นมา
…………………….