หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 535 มังกรจากต่างถิ่น
ห้องที่เปาเฟิงหลิงพักอยู่เป็นห้องสำหรับสองคน มีพื้นที่เพียงสิบกว่าตารางเมตรเท่านั้น นอกจากตั้งเตียงเดี่ยวไว้สองหลังแล้ว แม้แต่ที่จะตั้งโต๊ะสักตัวก็ไม่มี
ตำแหน่งใกล้กับหน้าต่างมีโต๊ะน้ำชาตัวเล็กอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีถุงจากร้านสะดวกซื้อกองอยู่เต็ม กลิ่นเชื้อราโชยมาเตะจมูก ดูจากฝุ่นที่เกาะอยู่บนหน้าต่าง ห้องนี้น่าจะไม่มีลมถ่ายเทมานานโขแล้ว
เมืองที่อยู่ทางใต้ของแม่น้ำฉางเจียงโดยปกติก็ไม่ได้อากาศร้อน และในที่พักแบบนี้ก็คงไม่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศอยู่แล้ว เมื่อเปิดม่านหน้าต่างออก แสงจากดวงไฟด้านนอกก็สาดส่องกระทบลงไปบนหิมะสีขาวและสะท้อนเข้ามาในห้อง ทำให้แลดูอับชื้นและหนาวเย็นผิดธรรมดา
“ไปนอนบนเตียงซะนะ แล้วห่มผ้าไว้อีกชั้นด้วย!”
เยี่ยเทียนพิจารณาดูภายในห้อง แล้วโยนเปาเฟิงหลิงซึ่งแทบจะไร้น้ำหนักอยู่แล้วไปบนเตียงเดี่ยวตัวนั้น เพราะเขากลัวว่าเจ้าหมอนี่จะหายใจไม่ทันแล้วขาดใจตายไปเสียก่อน
“ท่าน…ท่านเยี่ยครับ ผม…ผมไม่ได้หนาวนะ!” เปาเฟิงหลิงใช้แขนเสื้อนวมที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกเช็ดน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้า จนโจวเซี่ยวเทียนเห็นสภาพนั้นแล้วตะลึงตาค้างไปเลย
เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหมอนี่ยังเพิ่งจะวางท่าเป็นอาเสี่ยอยู่เลย แล้วทำไมกลายเป็นสภาพนี้ไปได้ล่ะ? โจวเซี่ยวเทียนจึงถามหยั่งเชิงดูอย่างอดไม่ได้ “แก…แกคือเปาเฟิงหลิงจริงๆ หรือ?”
“ก็ผมนี่แหละครับท่านโจว!” เปาเฟิงหลิงเค้นรอยยิ้มที่ดูขี้เหร่ยิ่งกว่าตอนร้องไห้เสียอีกออกมา
“แก…แกทำไมถึงกลายเป็นสารรูปนี้ไปได้ล่ะ?” เมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะอันเป็นเอกลักษณ์ของเปาเฟิงหลิง ในที่สุดโจวเซี่ยวเทียนก็ยอมเชื่อจนได้
“ผม…ท่านเยี่ยครับ ท่านยกโทษให้ผมเถอะนะครับ!” หลังจากได้ยินโจวเซี่ยวเทียนถาม เปาเฟิงหลิงก็ยิ้มไม่ออกแล้ว และหันไปโขกศีรษะคำนับอ้อนวอนเยี่ยเทียน
เปาเฟิงหลิงรู้ว่า สาเหตุที่สารรูปของตัวเองกลายเป็นไม่ใช่คนไม่ใช่ผีแบบนี้ เป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้านี้นี่เอง มิน่าเล่าเขาถึงได้ยอมปล่อยพวกตนทั้งสองไปอย่างโอบอ้อมอารีเช่นนั้น
หลังจากที่ออกจากเมืองหลวง เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะกลับไปตามหาจี๋เหล่าต้าเลย ทั้งสองรู้ธรรมเนียมของจี๋เหล่าต้าดี ถ้ากลับไปเจียงซีก็มีแต่ไปหาความตายเท่านั้น
แต่ในคืนวันที่ทั้งสองนั่งเครื่องบินกลับไปไปถึงตงเป่ย ร่างกายก็เกิดอาการขึ้น ตอนแรกเริ่มนั้นรู้สึกหนาวสั่น อาการคล้ายกับเวลาเป็นไข้ หลังจากไปหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลไปขวดหนึ่ง อาการก็ดีขึ้นมาก
แต่หลังจากทั้งสองนอนหลับไปก็ฝันร้ายติดต่อกัน ถ้าไม่ถูกภูตผีในนรกผ่าจมูกดึงลิ้น ก็ถูกยมบาลโยนลงไปในกระทะน้ำมัน ทำเอาทั้งสองตกใจกลัวจนไม่กล้าหลับตาไปหลายวันหลายคืน
เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ก็เป็นชาวยุทธภพ ขบคิดดูแล้วตัวเองน่าจะถูกมารเข้าสิง จึงไปหาแม่มดหมอผีทันที
แต่หลังจากทำพิธีทรงเจ้าขับไล่ปีศาจไปหนึ่งรอบ ต้องเสียเงินไปไม่ใช่น้อยๆ กลับไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว ฝันร้ายเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปเลยสักนิด แต่กลับยิ่งน่าสยดสยองกว่าเดิมเสียอีก
ทั้งสองอยู่ที่ตงเป่ยไปได้หนึ่งเดือนเศษ แต่ละวันได้นอนหลับไม่เกินห้าชั่วโมง ร่างกายก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งสองครุ่นคิดดูแล้ว ต้นตอก็น่าจะมาจากเยี่ยเทียนนี่เอง
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เยี่ยเทียนกำชับไว้ตอนที่จะปล่อยพวกเขาไป ด้วยความจนปัญญา เปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์จึงได้แต่แอบกลับไปที่รังเก่าของจี๋เหล่าต้า
จะว่าไปแล้ว การที่เปาเฟิงหลิงฝันร้ายมาหลายเดือนติดต่อกัน แต่ยังสามารถอยู่รอดมาได้นั้น ก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วๆ ไปละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะเสียสติเป็นบ้าไปแล้วก็ได้
“เอาเถอะ ยื่นมือมานี่ซิ!”
เมื่อเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของเปาเฟิงหลิง เยี่ยเทียนก็ชักจะใจอ่อน จับมือข้างขวาของเขาไว้ แล้วส่งพลังชี่เข้าไป
เปาเฟิงหลิงที่ตอนแรกถึงจะห่มผ้าไว้แล้วก็ยังหนาวสั่นไปทั้งตัวนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีความร้อนแผ่จากบริเวณข้อมือเข้าสู่ร่างกาย เขารู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างทันที และรู้สึกสบายจนเกือบจะร้องครางออกมา
“ท่านเยี่ย ขอบคุณครับ…ขอบคุณครับท่าน!” ตอนนี้เปาเฟิงหลิงแน่ใจแล้วว่า ฝันร้ายที่คอยรุมเร้าเขามานานนั้น เป็นฝีมือของชายหนุ่มตรงหน้านี้นี่เอง
เยี่ยเทียนโบกมือ “อย่าพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์เลย เรื่องที่ฉันให้แกไปสืบมาน่ะ ได้ความแล้หรือยัง? จี๋เหล่าต้ากลับมาแล้วจริงหรือเปล่า?”
“ท่านครับ กระผมผู้แซ่เปาตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยพูดพล่อยมาก่อนเลย อ้าวดูปากผมซิเนี่ย…”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม เปาเฟิงหลิงก็เริ่มสบถสาบานด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ได้สติขึ้นมาทันที ตบปากตัวเองอย่างแรงหนึ่งฉาด แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านเยี่ยครับ ผมอาจจะกล้าหลอกคนอื่น แต่ไม่กล้าหลอกท่านหรอกครับ ไอ้สารเลวแซ่จี๋นั่นกลับมาแล้วจริงๆ ครับ…”
“เซี่ยวเทียน รินน้ำมาให้มันแก้วนึงซิ”
เมื่อเห็นเปาเฟิงหลิงหน้าแดงขึ้นมาผิดปกติ เยี่ยเทียนก็โบกมือแล้วพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องรีบ แกค่อยๆ พูดเถอะ…”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับท่านโจว!” เปาเฟิงหลิงใช้สองมือถือประคองเหยือกชาใบใหญ่นั้น “ท่านเยี่ยครับ ต้องเป็นจี๋เหล่าต้าแน่นอน ตอนนั้นหลิวเหล่าเอ้อร์ตามมันไปแล้ว แต่…แต่ตั้งแต่นั้นก็ยังไม่ได้กลับมาเลย…”
ตอนแรก หลังจากกลับไปถึงรังเก่าของจี๋เหล่าต้าที่หนานชางแล้ว เพราะกลัวจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งสองจึงไม่กล้าเปิดเผยตัว ยิ่งไม่กล้าไปติดต่อพวกเพื่อนอันธพาลสมัยก่อน ทั้งสองรู้ดีว่าจี๋เหล่าต้ามีอิทธิพลที่นี่มากขนาดไหน
แต่ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็เคยติดตามจี๋เหล่าต้ามานานปี จึงรู้ตำแหน่งสถานที่กบดานของจี๋เหล่าต้าซึ่งค่อนข้างเป็นความลับอยู่หลายแห่ง และไปซุ่มอยู่ตามสถานที่เหล่านั้นทุกวัน เฝ้าจับตาดูอยู่เช่นนี้มาหลายเดือนแล้ว
แล้วสวรรค์ก็มีความกรุณา ตอนกลางคืนเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ ในที่สุดการซุ่มดูของทั้งสองก็เป็นผล จี๋เหล่าต้าออกมาจากบ้านของชู้รักคนหนึ่งของมัน และประจันหน้ากับเปาเฟิงหลิงเข้าพอดี
ตอนนั้นเปาเฟิงหลิงตกใจจนขวัญกระเจิง แต่ตอนนี้เขามีสารรูปเหมือนผี จนจี๋เหล่าต้าจำไม่ได้ ทั้งสองจึงเพียงเดินสวนกันไป
เปาเฟิงหลิงรู้ว่า จี๋เหล่าต้าเป็นคนขี้สงสัยขนาดหนัก ถ้าฝ่ายนั้นเห็นหน้าตัวเองบ่อยครั้งเข้า ก็อาจจะถูกสงสัยขึ้นมาได้
ดังนั้นเปาเฟิงหลิงจึงหลบไปข้างๆ และรีบโทรศัพท์หาหลิวเหล่าเอ้อร์ เพื่อเรียกเขาให้ออกมาจากโรงแรม และคอยสะกดรอยตามจี๋เหล่าต้าต่อไป
แต่ที่เปาเฟิงหลิงคาดไม่ถึงคือ หลังจากกลับไปถึงโรงแรมได้ครึ่งชั่วโมง เขาก็ขาดการติดต่อจากหลิวเหล่าเอ้อร์ไปเลย ตอนนั้นเปาเฟิงหลิงเห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบร้อนหนีออกมาจากโรงแรมโดยไม่ได้เก็บข้าวของที่อยู่ในห้องมาด้วยเลย
เปาเฟิงหลิงซึ่งหลบอยู่ที่มุมหนึ่งมองเห็นกับตาว่า มีคนเจ็ดแปดคนเข้าไปในโรงแรมระดับหลายดาวที่เขาพักอยู่นั้น และผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงเอะอะก่นด่าดังขึ้นมา ไม่ต้องถามก็รู้ว่า พวกนี้ต้องแห่กันมาหาตัวเขาแน่นอน
เปาเฟิงหลิงตื่นตระหนกเสียขวัญจนไม่กล้าอยู่ที่เมืองหนานชางต่อไปอีก จึงเรียกรถมาที่เฟิงเฉิง หลังจากอยู่ที่ห้องมืดๆ แคบๆ นี้ไปได้สองวัน ถึงจะออกไปโทรศัพท์หาเยี่ยเทียน
“ท่านเยี่ย ท่าน…ท่านมากันแค่สองคนหรือครับ?”
หลังจากเล่าลำดับเหตุการณ์จนจบ เปาเฟิงหลิงก็มองไปที่เยี่ยเทียนอย่างผิดหวัง ตอนแรกเขานึกว่า เยี่ยเทียนคงจะพาคนจากสำนักมาด้วยสักเจ็ดแปดคน
ควรทราบว่า เพื่อเป็นการเชิดชูตัวเอง จี๋เหล่าต้าจึงเรียกกลุ่มนักต้มตุ๋นเหล่านั้นว่า ‘สำนักต้มตุ๋น’ และยังตั้ง ‘แปดขุนพลสำนักต้มตุ๋น’ ขึ้นมาในกลุ่มอีกด้วย
อย่างเปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ก็มีตำแหน่งเป็นขุนพล ‘หลัก’ และขุนพล ‘แย้ง’ มีหน้าที่จัดฉากต้มตุ๋นให้สำนักโดยเฉพาะ นับเป็นขุนพลฝ่ายบุ๋นในบรรดาแปดขุนพล
นอกจากนี้จี๋เหล่าต้ายังมีกลุ่มขุนพล ‘ลม’ และ ‘ไฟ’ อีก ซึ่งเป็นตำแหน่งฝ่ายบู๊ในบรรดาแปดขุนพล
การตีรันฟันแทงครั้งใหญ่กับพวกคนตงเป่ยซึ่งเกิดขึ้นที่หนานชางเมื่อสมัยก่อน ก็มีคนกลุ่มนี้เป็นกำลังสำคัญ และสามารถขับไล่แก๊งตงเป่ยออกไปจากมณฑลเจียงซีได้ ทำให้สถานะของจี๋เหล่าต้าในยุทธภพมั่นคงยิ่งขึ้น
เฉพาะคนกลุ่มที่เปาเฟิงหลิงรู้จัก ก็มีพวกที่เป็นอาชญากรหลบหนีอยู่ถึงสิบกว่าคนแล้ว และมือก็เปื้อนเลือดกันมาแล้วทุกคนด้วย
ถึงเยี่ยเทียนจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ภาษิตว่ามังกรแกร่งไม่อาจข่มอสรพิษเจ้าถิ่น เปาเฟิงหลิงจึงไม่เชื่อว่า ลำพังพวกเขาสองคนจะบุกไปถึงตัวอีกฝ่ายได้
เยี่ยเทียนอมยิ้มมองดูเปาเฟิงหลิง แล้วถามว่า “สองคนก็พอแล้วนี่ ทำไม? กลัวรึไง?”
“ท่านเยี่ย ไอ้แซ่จี๋มันค้ายาด้วยนะครับ แล้วมันก็มีปืนด้วยนะ”
เปาเฟิงหลิงจะไม่กลัวได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนใช้วิธีอำมหิตเหลือเกิน ชาตินี้เขากับหลิวเหล่าเอ้อร์ก็คงไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว เมื่อก่อนพวกเขาเคยเห็นจี๋เหล่าต้าจับคนเป็นๆ ใส่กระสอบไปโยนถ่วงลงแม่น้ำมากับตาเลยด้วยซ้ำ
“ยังค้ายาด้วยรึ? โอเค ฉันรู้แล้ว”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ดวงตาฉายแววดุร้ายออกมาแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ ตามไปเปลี่ยนที่อยู่กับฉัน ต่อให้งูเจ้าถิ่นจะร้ายกาจแค่ไหน มันก็ยังเป็นแค่งูอยู่ดี ถ้าเจอกับมังกรตัวจริงเข้ามันก็ต้องขดตัวหัวหดไปอยู่ดีนั่นแหละ”
สมัยก่อนหลี่ซั่นหยวนเคยผ่านช่วงสมัยที่คนสูบฝิ่นกันทั้งประเทศมาแล้ว จึงเกลียดชังพวกเดนสังคมที่ค้าฝิ่นทำลายคนในประเทศชาติอย่างเข้ากระดูก
แต่ตอนนั้นสถานการณ์ลุกลามเป็นวงกว้าง ผู้มีอำนาจทางทหารจำนวนมากมายก็ทำเรื่องแบบนี้อยู่ หลี่ซั่นหยวนจึงกำจัดไปไม่ได้มากนัก สมัยนั้นจึงตั้งกฎขึ้นในพรรคชิงปังว่า ห้ามสมาชิกพรรคชิงปังเสพหรือค้าฝิ่น
แต่ความมั่งคั่งก็ทำให้ใจคนหวั่นไหว กำไรอันมหาศาลจากฝิ่นจึงส่งผลให้กฎข้อนั้นไม่เป็นผล แม้แต่มิตรสหายที่สนิทกับหลี่ซั่นหยวนบางคนก็ยังไม่เห็นด้วย สาเหตุที่พรตเฒ่าออกจากพรรคชิงปังก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่มาก
เยี่ยเทียนได้รับอิทธิพลจากอาจารย์ จึงเกลียดชังพวกผู้ค้ายาเหล่านี้อย่างสุดจิตสุดใจ ดังนั้นพอได้ยินเปาเฟิงหลิงพูดมาอย่างนั้น ในใจก็เกิดจิตสังหารขึ้นมาเลย
เยี่ยเทียนพาเปาเฟิงหลิงซึ่งนำผ้าพันคอผืนหนึ่งมาปิดบังใบหน้าไว้อย่างหวาดผวาออกจากที่พักแห่งนั้น แล้วหาโรงแรมที่สภาพพอใช้ได้แห่งหนึ่งและเข้าพักอยู่ที่นั่น
เยี่ยเทียนเปิดห้องพักสองห้อง โจวเซี่ยวเทียนและเปาเฟิงหลิงอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนเขาเองอยู่อีกห้องหนึ่งคนเดียว ไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนถือตัวว่าเป็นอาจารย์ แต่สาเหตุหลักเพราะเขายังต้องทำนายตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันของจี๋เหล่าต้าอีก
—-
“พี่จ๋า แรงๆ เลย แรงๆ อีกสิค้า!”
ในห้องอพาร์ทเม้นท์ชั้นสูงแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหนานชาง ฉากสงครามอันดุเดือดกำลังดำเนินอยู่ เสียงเนื้อหนังกระทบกันดัง “แปะๆ” และเสียงหวีดร้องเกินเหตุของผู้หญิงดังอยู่ไม่ขาดหู
“นังร่าน ไหนล่ะเสียงแก?”
หลังจากสั่นระริกไปวูบหนึ่ง ชายคนที่คร่อมทับอยู่บนร่างของหญิงคนนั้นก็พลิกร่างออกมานอนหงายอยู่บนเตียง มือขวาหยิกไปบนจุดที่อวบอิ่มอย่างแรงหนึ่งหนับ
“พี่จี๋ เก่งขึ้นเรื่อยๆ เลยนะคะเนี่ย!”
หญิงคนนั้นข่มกลั้นความเจ็บปวด แล้วส่งใบหน้ายิ้มแย้มดั่งบุปผาให้อีกฝ่าย แต่ในใจกลับกำลังนึกดูแคลนอยู่ว่า ‘ตอนเริ่มอุตส่าห์กินยาปลุกไปตั้งหลายเม็ด เราเพิ่งจะเริ่มรู้สึกมันก็เหี่ยวไปก่อนแล้ว’
“แม่ง แกนี่อึดกว่าสาวเวียดนามพวกนั้นอีกว่ะ ต่อไปข้าจะไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว”
จี๋เหล่าต้ายื่นมือทั้งคู่ออกไปคลำเปะปะบนร่างของหญิงคนนั้นอย่างหื่นกาม แต่น้องชายที่อยู่ข้างล่างกลับอ่อนปวกเปียก ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
………………………………..