หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 536 จี๋เหล่าต้า
“พี่จี๋คะ พี่ไปหลงพวกสาวเวียดนามมาใช่ไหมล่ะ? คราวนี้ไปเสียนานเลยนะ ฉันคิดถึงพี่แทบแย่แน่ะ…”
ผู้หญิงที่ถูกจี๋เหล่าต้าเย้าแหย่อยู่นี้ หลังจากใช้มือคลำน้องชายที่อ่อนปวกเปียกนั้นเป็นนานสองนานก็ยังไม่เกิดปฏิกิริยา จึงอดก่นด่าในใจไม่ได้ ‘ไอ้ตัวไร้ประโยชน์นี่ อยู่บนเตียงได้แค่ไม่ถึงห้านาที เดี๋ยวแม่ก็ต้องกลับไปจัดการเองอีกแล้วสิเนี่ย’
“นังร่าน มีแต่ฉันถึงจะทำให้แกสมใจได้ใช่ไหมล่ะหา?”
จี๋เหล่าต้ามีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก แต่ถ้าเขารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายกำลังเรียกเขาในใจว่า ‘พี่เหี่ยว’ ละก็ ไม่รู้จะบีบคอหล่อนตายไปเลยไหม?
“ก็แน่สิคะ พี่จี๋น่ะเก่งที่สุดเลย” ร่างอันนุ่มนิ่มของฝ่ายหญิงเกาะเกี่ยวจี๋เหล่าต้าอย่างกับเป็นงูตัวหนึ่ง “พี่จี๋ ทำไมพี่ไม่พาสาวกลับมาจากเวียดนามด้วยสักสามสี่คนล่ะคะ?”
หญิงคนนั้นรู้ว่า อาศัยความสามารถของจี๋เหล่าต้า วันนี้อย่าหวังว่าจะมีรอบสองเลย ถึงปากจะกำลังพูดถึงหญิงคนอื่น แต่ดวงตากลับกวาดไปที่กระเป๋าถือของจี๋เหล่าต้าที่วางอยู่บนหัวเตียงเป็นระยะๆ
“ฮ่าๆ พี่จี๋ชอบแกก็ที่ตรงนี้แหละ เวลาอยากได้อะไรก็จะพูดอ้อมๆ ไม่เหมือนพวกต่ำๆ พวกนั้น แค่ถอดกางเกงก็แบมือจะเอาเงินแล้ว!”
จี๋เหล่าต้าเป็นคนประเภทไหนกัน? ตั้งแต่สมัยอายุเจ็ดแปดขวบก็หัดล้วงกระเป๋าตามสถานีรถไฟแล้ว ความสามารถในการอ่านภาษากายของเขาไม่ใช่ระดับที่คนทั่วๆ ไปจะทำได้เลย ยามนั้นจึงยื่นมือไปหยิบหยกสีเขียวเข้มชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือบนหัวเตียง “เอาไปซะสิ เจ้านี่น่ะมีค่าหลายหมื่นเลยละ”
“ขอบคุณค่ะพี่จี๋” ฝ่ายหญิงหอมแก้มจี๋เหล่าต้าหนึ่งฟอด หลังจากรับหยกชิ้นนั้นไปแล้ว ดวงตาก็กลับยังแลไปที่ธนบัตรปึกหนาในกระเป๋าถือใบนั้นอีก
“ปัดโธ่ ตาแกเห็นอยู่แค่เงินเนี่ยนะ?” จี๋เหล่าต้าตบก้นของฝ่ายหญิงอย่างแรงหนึ่งที แล้วหยิบเงินปึกนั้นออกมา แบ่งมาครึ่งหนึ่งแล้วโยนให้ฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิงดีใจมาก ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้จี๋เหล่าต้า แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ “พี่จี๋คะ หรือไม่…คืนนี้ไม่ต้องไปแล้วดีไหมคะ?”
เพราะเห็นแก่เงินเหล่านี้ ฝ่ายหญิงจึงพร้อมใจที่จะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้จี๋เหล่าต้าได้เสร็จสมอีกสักครั้งหนึ่ง แน่นอนว่า เป้าหมายหลักของเธอก็คือเงินอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋านั่นเอง
“ถ้ายังไม่ไปอีกเดี๋ยวก็โดนแกสูบจนหมดตัวกันพอดีน่ะสิ ทำความสะอาดเดี๋ยวนี้เลย”
จี๋เหล่าต้าส่ายหน้า ขยุ้มผมของฝ่ายหญิงไว้ กดหน้าของหล่อนลงไปที่กายส่วนล่าง หลังจากคราบเปรอะเปื้อนที่กายส่วนล่างถูกเลียไปจนเกลี้ยงแล้ว ก็ผลักฝ่ายหญิงออกไป แล้วเริ่มหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่
จี๋เหล่าต้าเป็นคนหื่นกามมาก เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในถิ่นเจียงซี
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ตั้งแต่จี๋เหล่าต้านอนกับผู้หญิงครั้งแรกตอนอายุสิบสาม จนถึงตอนนี้ก็สี่สิบกว่าปีมาแล้ว เขายังไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนข้ามคืนเลยสักคน
สาเหตุนั้นมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของจี๋เหล่าต้าในอดีต
พ่อของจี๋เหล่าต้า ก็คือทายาทอีกสายหนึ่งของตระกูลโจวที่เจียงซีนั่นเอง หลังจากแอบขโมยวิชายุทธที่ถ่ายทอดในตระกูลสายตรงมาได้ พวกนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ของวงการศาสตร์ลี้ลับในมณฑลเจียงซีทันที
แต่พ่อของจี๋เหล่าต้าไปจนถึงรุ่นปู่นั้น ต่างก็เป็นพวกใจคดกันทั้งนั้น ในสมัยที่กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกจีน เพียงไม่นานตระกูลสายนี้ก็ถูกแก๊งมังกรดำของญี่ปุ่นทุ่มเงินฟาดหัวไป กลายเป็นตัวการผู้ขายชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในมณฑลเจียงซีสมัยนั้น
เวลาที่คนในวงการศาสตร์ลี้ลับก่อเรื่องเลวทรามขึ้นมา ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ระดับที่คนธรรมดาจะเทียบได้เลย ตระกูลโจวไม่เพียงพาพวกคนญี่ปุ่นมาล้อมโจมตีกลุ่มศาสตร์ลี้ลับในประเทศเท่านั้น แต่ยังนำศาสตร์ลับไปใช้ในการขโมยข้อมูล ส่งผลให้กองทัพฝ่ายจีนในสนามรบแนวหน้าพ่ายแพ้ติดต่อกัน เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
พวกกากเดนในวงการศาสตร์ลี้ลับเหล่านี้ ย่อมไม่มีที่อยู่ในยุทธภพอยู่แล้ว โก่วซินเจียจึงยกค่ายสำนักต่างๆ ในประเทศไปบุกกวาดล้างในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษของตระกูลโจว
ครั้งนั้นเรียกได้ว่าเป็นการสัประยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการศาสตร์ลี้ลับในประเทศ มียอดฝีมือมาชุมนุมกันหลายร้อยคน ศาสตร์แต่ละแขนงถูกใช้ออกมาพร้อมกัน จนฟ้าสะท้านดินสะเทือน ทำให้เมืองเล็กๆ อันเป็นที่ตั้งของตระกูลโจวนั้นพังไปครึ่งหนึ่ง
แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังสามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดในวันเดือนปีนั้นได้อยู่ แต่แน่นอนว่า ความจริงได้สูญหายไปกับสายธารแห่งประวัติศาสตร์เสียนานแล้ว
ในการบุกโจมตีครั้งนี้ ตระกูลโจวสายข้างแทบจะถูกขุดรากถอนโคน แต่มีอยู่หนึ่งคนที่รอดพ้นมาได้เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น และเขาก็เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในตระกูลโจวเช่นกัน
คนผู้นี้ก็คือโจวต้าหมาจื่อ พ่อของจี๋เหล่าต้านั่นเอง เขาเป็นคนมักมากในกามตัณหาอย่างร้ายแรง ตอนนั้นแม้จะกลับบ้านไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่พิธียังไม่ทันเสร็จสิ้น เขาก็แอบหนีไปหาผู้หญิงที่หอนางโลมในเมืองเสียก่อน
เสียงระเบิดดังสนั่นในยามดึกปลุกโจวต้าหมาจื่อให้ตื่นขึ้นมาจากอ้อมอกของผู้หญิง เมื่อเขาเห็นว่าทิศทางที่เกิดการระเบิดขึ้นนั้นตรงกับตำแหน่งบ้านตระกูลของตัวเองพอดี ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใส่เสื้อผ้ามุดออกไปทันที
ตระกูลอันยิ่งใหญ่ถูกกวาดล้างไปจนหมดแล้ว และโจวต้าหมาจื่อก็ไม่กล้าไปหาเจ้านายชาวญี่ปุ่น จึงไปอาศัยตามลำพังที่ชนบท ระหว่างนั้นก็แต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้าน และให้กำเนิดจี๋เหล่าต้ามา
ผ่านไปไม่ถึงสองปีญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สงคราม ส่วนตระกูลโจวก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว และเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน ประเทศจีนในสมัยนั้นยังเกิดศึกภายในขึ้นอีก สถานการณ์จึงกลับวุ่นวายยิ่งขึ้น
โจวต้าหมาจื่อใช้ชีวิตอย่างหรูหราจนเคยชินมาตั้งแต่เด็ก และตอนนั้นเพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ ก็ต้องไม่อยากอุดอู้อยู่ในชนบทแบบนั้นไปทั้งชาติเป็นธรรมดา
ดังนั้นโจวต้าหมาจื่อจึงพาลูกชายที่เพิ่งเกิดมาไปยังเมืองอีกเมืองหนึ่งในมณฑลเจียงซี และเปลี่ยนจากแซ่โจวเป็นแซ่จี๋ พึ่งพาอดีตลูกน้องสมัยที่ทำการขายชาติคนหนึ่ง จนกลายสถานะเป็นรองผู้บัญชาการกองรักษาการณ์ประจำเมือง
หลังจากอุดอู้อยู่ในชนบทมานานหลายปี พอโจวต้าหมาจื่อได้ไปอยู่ในเมืองก็เริ่มออกลายทันที วันๆ ไปเที่ยวอยู่แต่ในหอนางโลมตามตรอกซอย ภรรยาที่บ้านตักเตือนไปไม่กี่คำ ก็ถึงกับถูกเขาบีบคอตายไปเลย
จะว่าไปแล้วโจวต้าหมาจื่อนี่ก็พิลึกคนแท้ๆ พอลูกชายไม่มีแม่ดูแลแล้ว เขาก็ดันพาลูกที่เพิ่งจะอายุไม่กี่ขวบไปเที่ยวหอนางโลมด้วย ชีวิตผ่านไปแบบนี้ประมาณสองสามปี ตอนนั้นจี๋เหล่าต้าก็อายุได้ห้าหกขวบแล้ว
แม้ว่าโจวต้าหมาจื่อจะพรางตัวได้ดีมากแล้ว แต่เพราะเหตุบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาจึงถูกคนในวงการศาสตร์ลี้ลับคนหนึ่งพบตัวเข้าจนได้ ในคืนหนึ่งที่โจวต้าหมาจื่อไปพักอยู่ที่หอนางโลม ก็ถูกคนฟันศีรษะขาดลงมา
ฉากนี้จี๋เหล่าต้าในตอนนั้นได้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจลืมภาพที่เลือดของพ่อสาดเปื้อนไปบนผิวหนังขาวผ่องของหญิงคนนั้นได้เลย รวมถึงดวงตาที่ตายตาไม่หลับของพ่อด้วย
เมื่อไม่มีพ่อแล้ว จี๋เหล่าต้าจึงกลายเป็นเด็กจรจัด เคราะห์ดีที่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการสถาปนาประเทศ และเขาก็ถูกรัฐบาลส่งไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง
แต่หลังจากเรียนหนังสืออยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปได้ไม่กี่ปี จี๋เหล่าต้าก็ทนการถูกควบคุมแบบนั้นไม่ได้ จึงแอบหนีออกมา วันๆ ก็ไปลักเล็กขโมยน้อยตามสถานที่ที่มีคนมากๆ อย่างสถานีรถ จนเกิดเป็นความชำนาญขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
เมื่อถึงตอนที่อายุสิบสามสิบสี่ปี จี๋เหล่าต้าก็กลายเป็นหัวโจกของพวกขโมยในถิ่นนั้นแล้ว ร่างกายก็เติบโตขึ้นจนเริ่มใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ในใจจึงเริ่มเกิดความใคร่ต่อสตรี
ตอนที่จี๋เหล่าต้ากดผู้หญิงลงไปกับพื้นเป็นครั้งแรกนั้น ในสมองเขาก็ฉายภาพของพ่อที่เขาเห็นสมัยเด็กขึ้นมาเอง เจ้าน้องน้อยที่อยู่ส่วนล่างนั้นอยู่ไปได้แค่สองนาทีก็เหี่ยวแล้ว ไม่ได้สมกับกิตติศัพท์ของพ่อเลยสักนิด
แต่จี๋เหล่าต้ายังนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง เขาจำได้ว่า พ่อเคยพาตัวเองไปที่ถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วฝังเงินทองจำนวนหนึ่งและกล่องอีกหนึ่งใบไว้ในนั้น
จี๋เหล่าต้าอาศัยความทรงจำในวัยเด็ก และใช้เวลาไปหนึ่งปี เที่ยวลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาหลายแห่ง ในที่สุดก็หาพบถ้ำแห่งนั้น และนำสิ่งของที่พ่อฝังไว้ออกมาได้
ของที่นำออกมานี้ประกอบด้วยทองคำแท่งละหนึ่งตำลึงสิบแท่ง นอกจากนี้ก็มีกล่องใส่หนังสือที่จี๋เหล่าต้าอ่านไม่รู้เรื่องเลยอีกหลายเล่ม
ตอนนั้นจี๋เหล่าต้าก็ไม่ค่อยสนใจหนังสือเหล่านี้เท่าไรนัก แต่เพราะเป็นมรดกตอทอดจากพ่อ เขาจึงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ส่วนทองคำเหล่านั้นก็ถูกเขานำไปใช้พัฒนาแก๊ง
เนื่องจากสมัยเด็กอยู่กับพ่อและได้เห็นการหลอกโกงสารพัด จี๋เหล่าต้าจึงไม่เพียงแค่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ยังระแวงผู้อื่นอย่างยิ่งอีกด้วย เมื่อถึงตอนที่เขาอายุยี่สิบกว่าปี ก็ได้กลายเป็นหัวโจกของหมู่นักต้มตุ๋นทั้งหมดในหลายเมืองละแวกนั้นอย่างรวดเร็ว
แต่โชคของจี๋เหล่าต้าก็ไม่ได้ดีนัก ขณะที่เขากำลังกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมจะทำการใหญ่ การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งนั้นก็เริ่มขึ้นเสียก่อน จี๋เหล่าต้ารู้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนดีอะไร ตัวเขาคงไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบแน่ๆ จึงได้แต่ยุติแผนการและเร้นกายอยู่ตามลำพัง
ในช่วงหลายปีนี้ จี๋เหล่าต้าว่างจนสุดจะเบื่อ ก็เลยนำหนังสือที่พ่อทิ้งไว้ให้มาศึกษาอย่างละเอียด ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ประวัติของตระกูลโจวในช่วงหลายสิบปีมานี้ และสาเหตุที่แท้จริงที่ตระกูลถูกกวาดล้างไป
เรื่องนี้ทำให้จี๋เหล่าต้ายิ่งขี้ระแวงมากกว่าเดิม หลังจากการเคลื่อนไหวครั้งนั้นยุติไปหลายปีแล้ว เขาถึงจะเริ่มแอบสร้างอิทธิพลขึ้นมา แต่ตัวเองกลับหลบอยู่หลังฉาก
จะว่าไปแล้วจี๋เหล่าต้าก็นับว่ามีพรสวรรค์อยู่ อาศัยเพียงหนังสือศาสตร์ลับตระกูลโจวไม่กี่เล่มนั้น เขาก็ศึกษาแก่นสำคัญของวิชาเสี่ยงทายได้แล้ว อย่างสมัยที่มีมาตรการโหดเมื่อปี 1983 นั้น เขาก็หลบรอดไปได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย
ภาษิตว่า ยิ่งอยู่ในยุทธภพนานยิ่งขลาดเขลาขี้ระแวง ประโยคที่จี๋เหล่าต้าเชื่อถือมากที่สุด ก็คือคำพูดของตู้เยวี่ยเซิงในสมัยนั้นที่ว่า ‘คนขี้ขลาดมักจะสามารถทำการใหญ่ได้!’
จี๋เหล่าต้ายึดถือคำพูดนี้เป็นคติพจน์มาตลอด สิบกว่าปีที่ผ่านมาเวลาจะทำการใดก็จะระมัดระวังเป็นที่สุด ถ้ามีสัญญาณอะไรไม่ดีแม้แต่น้อย ก็จะหนีไปต่างประเทศทันที จนกระทั่งหายระแวงได้แล้วถึงจะกลับมา
เหตุการณ์ที่พ่อตายคาอกผู้หญิงสมัยเขาเป็นเด็กนั้น ทำให้จี๋เหล่าต้าทั้งรักทั้งชังผู้หญิง และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ชีวิตนี้เขายังไม่เคยนอนข้ามคืนกับผู้หญิงเลย
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว จี๋เหล่าต้าก็หยิกที่ทรวงอกอันชูชันของฝ่ายหญิงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเปิดประตูเดินออกไปจากห้องนอน
“พี่จี๋ จะไปไหนครับ?”
ในห้องรับแขกมีชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีนั่งอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าออกมาจากห้องก็รีบลุกขึ้นมา แต่สายตากลับแอบเหลือบไปมองข้างในห้องแวบหนึ่ง
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงจากข้างนอกห้อง หญิงที่อยู่บนเตียงนั้นก็จงใจยืดหน้าอกให้ชูขึ้น เสียงหัวเราะ “คิกๆ” ดังออกมาจากปาก จนชายหนุ่มที่อยู่ข้างนอกได้ยินแล้วรู้สึกปากแห้งผากไปทันที
“ไปบ้านริมน้ำน่ะสิไอ้ห่า ไปถามหลิวเอ้อร์มันอีกที ดูซิว่าไอ้แซ่เปามันยังเหลือที่ซ่อนที่อื่นอยู่อีกหรือเปล่า?”
จี๋เหล่าต้าถึงจะดูเหมือนเป็นคนหยาบ แต่ที่จริงอากัปกิริยาของลูกน้องอยู่ในสายตาของเขาหมดแล้ว เพียงแต่จี๋เหล่าต้ามีความคิดว่า ผู้หญิงก็เหมือนกับเสื้อผ้า ถ้าไม่ใส่แล้วจะโยนทิ้งไปเสียก็ได้ ให้ลูกน้องได้แอ้มเสียหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย
………………………………………